Indy Mania By พอล เฮง คอลัมน์ที่จะพาย้อนกลับไปในช่วงการปะทุและระเบิดของเพลงไทยนอกกระแส ในช่วงทศวรรษที่ 90s
ทศวรรษที่ 2530 ของไทย คนที่ข้ามพ้นกระแสคลื่นลูกนี้คือ อารักษ์ อาภากาศ ท่ามกลางการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงศิลปะนอกกระแสหลายๆ แขนงไปพร้อมกัน ภายใต้อุดมการณ์อุดมคติของศิลปะหัวก้าวหน้าที่ไม่ผลิตซ้ำและอิสระจากระบบการตลาดของงานดนตรีพาณิชย์ศิลป์
‘ฉันเดินทางตามเส้นทางของดวงจันทร์ ตามเส้นทางของดวงจันทร์
ประสบหรือพลาดหวังตามแต่เงาของท่าน ตามแต่เงาของท่าน…. ’
ท่อนหนึ่งของบทเพลงนี้เหมือนลอยล่องอยู่ในโสตของผู้อ่านนวนิยาย ‘พันธุ์หมาบ้า’ ของ ชาติ กอบจิตติ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร ‘ลลนา’ โดยทยอยตีพิมพ์ตั้งแต่ปักษ์แรกของเดือนสิงหาคม 2528 ถึงเดือนธันวาคม 2530 และมีการตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเมื่อปี 2531 และได้ตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน
ธีมหลักของนวนิยายเรื่องนี้คือ ‘เพื่อน’ ดังที่เขียนโปรยในตัวเล่มไว้ว่า
‘ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาทดลองให้ความเป็น ‘เพื่อน’ กับคนที่คิดว่าจะเป็นเพื่อนได้ แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง เพราะสิ่งที่เขายื่นให้นั้น มักจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นอาวุธยามเมื่อเขาหันหลังให้ เขาก็ถูกแทง เช่นเดียวกับครั้งนี้ ผิดแต่ว่า เขาไม่รู้ว่าใครเป็นมือมีด เท่านั้นเอง’

นวนิยายขนาดยาวเล่มนี้เขียนขึ้นหลังจากที่ ชาติ กอบจิตติ ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ของประเทศไทยในปี 2525 จากนวนิยาย ‘คำพิพากษา’ ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นนักเขียนระดับชั้นนำของเมืองไทย แต่ ‘พันธุ์หมาบ้า’ ทำให้ ชาติ กอบจิตติ กลายเป็นนักเขียนยอดนิยมของนักอ่านคนหนุ่มสาวในยุคนั้น
ต่อมา ‘พันธุ์หมาบ้า’ ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2533 ผลงานการกำกับของ สหรัฐ วิไลเนตร ที่ได้ 2 นักแสดงแห่งยุคนั้น อย่าง พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง รับบทเป็น อ๊อตโต้ เด็กหนุ่มที่ต้องหนีคดียิงคนตาย ไปใช้ชีวิตอย่างเสรีชน ร่วมกับกลุ่มเพื่อนแก๊งพันธุ์หมาบ้า และหนุ่ย-อำพล ลำพูน มารับบทเป็น ทัย หนุ่มนักดนตรีผู้รักสายควันชีวิตอิสระมาร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารและบังกะโลที่เกาะภูเก็ตในยุคบุกเบิกการท่องเที่ยวโดยมีบ้องฮิลล์เป็นฉากหลัง

ในปี 2534 มีอัลบั้มในสไตล์โฟล์ก-โฟล์คร็อก ที่อยู่ในขบวนเพลงชีวิตใต้ดินออกมา 1 อัลบั้ม นั่นคืออัลบั้ม ‘คนเดินดิน’ ของ อารักษ์ อาภากาศ บทเพลง ‘เงาดวงจันทร์’ ได้ปรากฏออกมาสนองโสตของผู้คนด้วยเสียงร้องและดนตรีที่เป็นบทเพลงจริงๆ ไม่ใช่จินตนาการเสียงในอากาศในหัวของผู้อ่านอีกต่อไป
ใน ‘พันธุ์หมาบ้า’ ตัวละครในเรื่องที่ชื่อ ทัย ชอบเล่นกีต้าร์และร้องเพลงของตัวเองที่แต่งขึ้น ซึ่งชาติ กอบจิตติ ได้สร้างขึ้นจากส่วนผสมชีวิตของ อารักษ์ อาภากาศ ได้อย่างกลมกลืน จนผู้อ่านเข้าใจว่า ทัย คืออารักษ์ แต่ความจริงคือไม่ได้ถอดแบบมาทั้งหมด เป็นจินตนาการในนิยายด้วยส่วนหนึ่ง ครั้นมีคนอ่านแล้วทึกทักว่าในหนังสือเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ชาติยืนยันว่า ไม่ใช่ โดยเฉพาะอย่างชีวิตของ ทัย ในเรื่องก็เป็นเรื่องของเพื่อนหลายคนมาผสมกัน
อารักษ์ อาภากาศ ในรูปรอยของ ‘ทัย’ ได้เดินออกมาสู่โลกจริงพร้อมบทเพลงของเขากับ 10 บทเพลงในอัลบั้ม นักอ่านและนักฟังเพลงได้รับการสนองตอบจากอัลบั้มของเขาที่เกิดมาในขบวนของ ‘เพลงชีวิตใต้ดิน’ ในยุคนั้น ซึ่งเปิดโอกาสให้บทเพลงและดนตรีนอกกระแสที่บันทึกเสียงกันเองด้วยงบประมาณอย่างจำกัดจำเขี่ย และไม่ต้องพึ่งระบบการจัดจำหน่ายเชิงธุรกิจและทำการตลาดในอุตสาหกรรมเพลงที่กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟูในต้นยุคทศวรรษที่ 2530
สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้น อารักษ์ อาภากาศ ได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมบนเวทีสีสัน อะวอร์ดส์ ครั้งที่ 4 เมื่อปี 2534 จากอัลบั้ม ‘คนเดินดิน’ เสมือนการการันตีคุณภาพของดนตรีใต้ดินอย่างเป็นทางการว่า มีคุณภาพและคุณค่าไม่แตกต่างจากดนตรีกระแสหลักแบบพาณิชย์ศิลป์แต่อย่างใด
แม้ว่าเพลงชีวิตใต้ดินยุคแรกๆ ส่วนใหญ่เป็นพวกเปิดหมวก เล่นที่สนามหลวงหรือลานท่าพระจันทร์ พอร้องแล้วก็อัดเทป นำผลงานมาวางขาย เป็นแนวโฟล์กที่ฟังง่ายๆ เนื้อหาส่วนมากสวยงามเชิงกวีและมีความหมายโน้มนำไปสู่คนฟัง อารักษ์ อาภากาศ โดยที่มาแล้วแม้ไม่ใช่สายนักเขียนและกวีหรือคนทำงานศิลปะที่มาสร้างสรรค์บทเพลง แต่เป็นสายนักดนตรีที่เติบโตมากับกลิ่นอายของบทเพลงยุคแสวงหาบุปผาชน เขียนบทเพลงที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง ใช้ภาษาเชิงกวี และสะท้อนมุมมองชีวิต สังคม และธรรมชาติ
ด้วยความเป็นนักร้อง/นักแต่งเพลงที่เขียนคำร้อง ทำนอง และขับร้องเอง โดดเด่นในการใช้ภาษาที่งดงามและมีไวยากรณ์ในการเล่าเรื่องผ่านบทเพลงของตัวเอง ด้วยเรื่องราวที่ลึกซึ้งงดงามจากภายใน สะท้อนเรื่องราวชีวิตของผู้คน ความเรียบง่าย ความจริงใจ และการตั้งคำถามต่อสังคม
ผลงานในอัลบั้มชุดแรกของเขาที่ทำกันในแบบใต้ดิน อย่างเพลงนำอัลบั้ม ‘คนเดินดิน’ ก็คือการนำเสนอชีวิตสามัญธรรมดาที่เรียบง่ายมีความเป็นปัจเจกเฉพาะตัวแต่มองกว้างและลึกลงไปในผู้คนและชีวิต ดังเช่นบทเพลงที่เหลือ ทั้ง ‘อโหสิกรรม’, ‘จะหยิบยอดเมฆ’ ฯลฯ

นอกจากนี้ บทเพลงยอดนิยมในอัลบั้ม แต่รู้จักกันในวงคนฟังเพลงไม่มากนัก บทเพลง ‘น้อยก็หนึ่ง’ ได้ถูกนำมาใส่ประกอบภาพยนตร์ ‘ฝัน บ้า คาราโอเกะ’ ในปี 2540 ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับที่มาจากสายโฆษณา เป็นเอก รัตนเรือง 2540 และออกฉายครั้งแรก รอบ World Premiere ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีในปีเดียวกัน ทำให้ขยายกลุ่มคนฟังไปอีกรุ่นและอีกระลอกหนึ่ง
เฟซบุ๊กเพจ อารักษ์อาภากาศ ได้เขียนอรรถาธิบายงานเพลงของ อารักษ์ อาภากาศ ในอัลบั้มชุด ‘คนเดินดิน’ ว่า ออกมา 4 ปก ภายใน 4ปี
ในปี 2534 ชุดนี้ถือเป็นงานใต้ดินที่สมบูรณ์แบบที่สุดวางแผงครั้งแรกเป็นเทปคาสเซท ภาพปกโดยกวีและจิตกร คำปัน สีเหนือ เป็นชุดที่ทำเองอัดเอง และก็ไปเดินฝากตามร้านขายเทปเอง ขายตามร้านตามผับบาร์ที่ไปเล่น ต่อมามีการพูดปากต่อปากในนักฟังเพลงที่ชอบคำสละสลวยและงานเพลงที่แตกต่างไปจากเพลงในกระแสหลัก

ปี 2535 หลังจากได้รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม สีสัน อะวอร์ดส์ เอสพี ศุภมิตร ค่ายเพลงในเครือช่อง 3 ได้ดึงอารักษ์มาอยู่ค่ายนี้ โดยให้นำอัลบั้ม ‘คนเดินดิน’ มาทำใหม่อีกครั้ง โดยเพิ่มบทเพลงใหม่อีก 2 เพลงคือ ‘แม่นางลูกชาวนา’ และเพลง ‘ไก่ชนคนสู้’ ซึ่งแต่งจากสถานการณ์หลังการทำรัฐประหารของคณะ รสช.จนเป็นชนวนของการลุกขึ้นสู้ของประชาชนและนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ โดยบทเพลงทั้งหมดได้ปรับปรุงดนตรีทั้งหมดโดยมีความเป็นอิเลคทรอนิกส์มากขึ้น แต่ถึงเครื่องดนตรีจะเปลี่ยนไปแต่ก็ไม่ด้อยในแง่คุณภาพของเพลง ยังได้อารมณ์ในแบบของอารักษ์ อาภากาศ เหมือนเดิม

อัลบั้มแบบฉบับปี 2536 เป็นชุดที่กลับมาทำใต้ดิน หลังจากออกจากค่ายเอสพี ศุภมิตร โดยเป็นการนำมาสเตอร์ออริจินอลดั้งเดิมของปี 2535 มาทำขายอีกครั้ง
ปี 2537ชุดนี้เกิดขึ้นจากการย้ายค่ายมาอยู่อาโป ปกนี้คนเขียนภาพชื่อ จีรศักดิ์ พัฒนะพงศ์ มีการทำ Remaster ใหม่เล็กน้อย

หลังจากนี้ อัลบั้ม ‘คนเดินดิน’ ก็ถูกผลิตออกมาอยู่เรื่อยๆ ต่างกรรมต่างวาระอยู่เสมอ หมุดหมายที่ปักลงของอัลบั้มชุดนี้ แสดงให้เห็นถึงการข้ามพ้นกระแสคลื่นของเพลงชีวิตใต้ดินสู่ความเป็นตัวของตัวเองในฐานะปัจเจกบุคคล และถูกคนฟังจดจำในความเป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงที่เป็นเอกเทศเฉพาะตัว ไม่ติดอยู่กับโหมดหรือการจัดหมวดหมู่ของเพลงเพื่อชีวิตเช่นกัน
อารักษ์ เคยให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงบทเพลงและดนตรีของเขาว่า
“ผมทำเพลงเพื่อตัวเอง แต่งไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต สิ่งที่เข้ามาถูกกระทบ หรือไปเจอมามากกว่า เพียงแค่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมจดจำเอามาร้องแบบตรงๆ ผมจะกลั่นกรองและร้องออกมาเป็นเนื้อเพลงแบบฉับพลันตอนที่เข้าห้องอัดสดๆ เลย ผมไม่อยากต้องมานั่งจำเนื้อเพลง มานั่งร้องต่างๆ นานา มันบ้าไปแล้ว! คุณรู้ไหม ตอนอัดเพลงผมมีกระดาษแผ่นเดียวเลยนะ และผมก็ร้องแค่รอบเดียวด้วย”
คำว่า สุนทรียภาพ ในความหมายของเขาคือ
“ผมแย่มากเลยนะ พอรู้สึกว่าตัวเองเก่งแล้วก็ไม่อยากทำต่อ ผมพบว่าความเก่งมีเต็มโลกไปหมดเลย แต่ทุกคนก็เดินทางไปสู่ความเก่งทิศทางเดียวกัน รูปแบบเดียวกัน ผมรู้สึกว่าถ้ายังทำต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยึดติดไปสู่ทิศทางเดิม พอผมไม่เดินตามแนวทางนั้น ผมกลับเข้าใจตัวเองมากกว่า วันที่ผมรู้สึกว่าไม่อยากเดินตามทางสู่ความสำเร็จแบบที่เป็นกันมันก็เป็นอีกรสชาติหนึ่งที่เป็นตัวผมดี ผมเริ่มทำอะไรฉับพลันมากขึ้น ตรงจุดนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่าตัวผมอยู่ใกล้กับคำว่าสุนทรียภาพมากที่สุด”
อารักษ์ อาภากาศ มีการรังสรรค์ผลงานเพลงอย่างเต็มที่และคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินคุณภาพในวงการเพลงที่อิสระมีครรลองเฉพาะตัวสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักร้องและคณะดนตรีรุ่นหลังรุ่นหลัง ดังที่มีอัลบั้ม ‘พวกเราร้องเพลง อารักษ์ อาภากาศ’ ในปี 2558 และเป็นหนึ่งในคนเปิดประตูและสร้างความมั่นใจให้กับขบวนดนตรีที่ตามในยุค Indy Mania