FEED ชวน 2 หนุ่ม มีน นิชคุณ และปิง กฤตนัน 2 นักแสดงนำจากซีรีส์ “อัยย์หลงไน๋” ที่ถึงแม้ซีรีส์จะจบไปแล้ว แต่ยังคงความฮอตข้ามปี ขโมยหัวใจใครหลายคนไปครอบครอง ซึ่งเราจะมาพูดคุยถึงเส้นทางเข้าสู่วงการบันเทิง ความฝัน ของพวกเขาเพื่อเปิดตัวตนให้แฟนๆ ได้รู้จักทั้ง 2 คน มากยิ่งขึ้น
ชีวิตวัยเด็ก มีน นิชคุณ
มีน : ชีวิตวัยเด็กก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ โตมากับย่าที่จังหวัดน่าน คืออยู่กับย่ามาตั้งแต่เด็ก จนอายุ 13-14 ปี ก็ย้ายไปอยู่กับแม่ประมาณ 3 ปี สาเหตุที่ย้ายไปเพราะเป็นนักกีฬาให้โรงเรียนที่นั่น พอ ม.4 ก็ได้มาคัดนักกีฬาที่อัสสัมชัญธนบุรี ก็เลยมาเป็นนักบาสที่กรุงเทพฯ ครับ
คุณย่าปลูกฝัง “มีน” เรื่องไหนเป็นพิเศษ
มีน : เรื่องไม่ให้เอาเปรียบคนอื่น ไม่ชอบให้ยืมของใคร ไม่ชอบยืมตังค์ใคร ปลูกฝังเรามาตั้งแต่ตอนนั้น
มีน : ส่วนชีวิตตอนอยู่ที่น่านก็ตะต่อนยอนนะ สโลว์ไลฟ์หน่อย ไม่รีบไม่มีรถติดมีไฟแดงน้อยมาก แต่ล่าสุดที่กลับไปมันจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้วเลยมีอะไรมากขึ้น แต่ตอนเด็กๆ นี่สโลว์ไลฟ์แบบเล่นกับเพื่อนไปโรงเรียนเรียนเสร็จเล่นกีฬากลับบ้านแค่นี้เลย มันไม่มีห้างไม่มีอะไรให้เดินเล่น มีแต่เพื่อนข้างบ้าน แก๊งเพื่อนให้มาเจอกัน ปั่นจักรยานไปแต่ละที่แต่ละโซน ไปเล่นบาสบ้าง ไปเล่นเกมบ้าง พอมาอยู่อัสสัมชัญธนบุรีก็อยู่หอกีฬา ตี 5 ตื่นมาซ้อม ไปเรียน เรียนเสร็จมาซ้อมต่อ กินข้าวเข้านอนมีแค่นี้เลย ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย ตอนนั้นติดเยาวชนทีมชาติแล้ว แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยเราเริ่มมีงานในวงการบันเทิง ก็เลยมีเวลาให้กับบาสน้อยลงไม่ค่อยได้ไปแข่ง
ชีวิตวัยเด็กของ ปิง กฤตนัน
ปิง : ชีวิตวัยเด็กก็เกเรระดับนึงครับ ขี้ขโมย โกหก แบบเด็กๆ เลย ไม่ได้บอกว่าเด็กทุกคนเป็นแบบนี้นะ แต่ผมน่ะเป็นอย่างนั้น เวลามีเรื่องที่โรงเรียนโดนตัดคะแนนจิตพิสัยก็เป็นเรื่องใหญ่โตเพราะป๊าม๊ารู้ ชีวิตวัยเด็กคือบ้านปิงจะอยู่ใกล้โรงเรียนมาก จากบ้านมาโรงเรียนถ้ารถไม่ติดมอเตอร์ไซค์เผลอๆ ไม่ถึง 5 นาที ตอนเช้าป๊าก็จะมาส่งที่โรงเรียน เรียนเสร็จป๊าก็มารับกลับแค่นี้เลย ไม่ได้ไปเที่ยวไหนต่อกับเพื่อน แต่พออยู่ชั้น ม.2 ถึงได้เริ่มเที่ยวสยามบ้าง
ป๊าม๊าปลูกฝัง “ปิง” เรื่องอะไรมากที่สุด
ปิง : อย่าลืมคุณคนเวลาคนทำดีกับเรา เราต้องอย่าลืมว่าเรามีวันนี้ได้อาจจะเพราะเขาคนนั้น เราต้องอย่าลืม ส่วนครอบครัวเราก็มีพี่สาวคนนึงครับโตกว่าปีนึง ตีกันทุกวันตั้งแต่เด็กจนโตขึ้น ทุกวันก็ยังตีกัน บางทีเถียงกันเรื่องปัญญาอ่อน เรื่องไม่เป็นเรื่องบ้าง
ความฝันวัยเด็กของ มิน-ปิง
มีน : อยากเป็นนักกีฬา อยากไปเล่นให้ลีกนอก แต่ด้วยความที่อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ได้เอื้อขนาดนั้น ตัวผมเล่นกีฬามาแต่อนุบาล เช่น วิ่งแข่ง กระโดดไกล กระโดดสูง ได้แชมป์มาแทบทุกกีฬาแล้ว บอลก็แข่ง ฟุตซอลก็แข่ง จนมาอยู่ที่บาส เพราะรู้สึกว่าตัวเองชอบถนัดทางนี้มากกว่า
ปิง : ตอนเด็กชอบฟุตบอลมาก อยากเป็นนักบอลมากๆ ชีวิตนี้แบบไม่มีบอลไม่ได้ แล้วก็เป็นนักบอลด้วย ตอนเด็กก็ฝันอยากเป็นนักพากย์บอลด้วย
เส้นทางชีวิตสู่วงการบันเทิงของ “มีน”
มีน : ตอนแรกเป็นนักบาสอยู่ที่อัสสัมชัญธนบุรี แล้วพอตอนอายุ 17 อยู่กรุงเทพฯ มาได้ปีนึง ก็เริ่มมีคนมาติดต่อให้เป็นนายแบบ ก็เลยเริ่มจากเดินแบบ และเริ่มแคสโฆษณา MV บอกเลยว่าช่วงแรกยากครับ เพราะเราโนเนมไปแคสมาหลายที่แต่ไม่ได้สักงานเลย เราก็แคสต่อไปเรื่อยๆ อย่างที่รู้แคสโฆษณามันยากมาก ต้องถูกใจลูกค้าด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ก่อนจะมีโอกาสได้มาเล่นละครก็ไต่ๆ มาจนถึงวันนี้ครับ
มีน : เคยท้อครับ ด้วยความที่เราเป็นนักบาส เราไม่ได้เรียนแอคติ้งมาก่อน แล้วให้เราแคสโฆษณาเราก็สู้นะ แต่พอเราไปแคสจริงๆ ก็มีคนที่บรีฟว่าเล่นอะไรเนี่ยจะไม่ถ่ายให้ใหม่แล้วนะ ผมก็แบบทำไมไม่พูดดีๆ กับเรา เราก็โอเคไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็อยู่ที่ลูกค้าอยู่ดีไม่ได้อยู่ที่คุณเลย จนสุดท้ายก็แคสจนได้งาน
เส้นทางชีวิตสู่วงการบันเทิงของ “ปิง”
ปิง : ก็คือพี่ก้องครับ มาเห็นจากในไอจี แล้วพี่ก้องก็ชวนไปเดินแบบ หลังจากนั้นก็อยู่กับพี่ก้องเลย รู้สึกดีใจครับ แปลกใหม่ เพราะเราไม่เคยเดินแบบว่าจะต้องเดินอย่างไร ตอนนั้นมีอย่างเดียวในหัวเลยคืออยากดัง แค่นี้เลย จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นคำเดิมว่าตัวเองอยากดัง ตอนนั้นก็อยากทำทุกอย่าง มันก็อยากทำหมด เล่นหนัง ร้องเพลง คืออะไรเข้ามาปิงพร้อมทำได้ทุกอย่าง
ปิง : ส่วนที่บ้านก็สนับสนุนนะครับ แต่ป๊าอาจจะไม่ค่อยเห็นด้วยนิดนึง เพราะว่าป๊าเป็นคนจีนแล้วเขาก็จะมีความคิดอะไรของเขา แต่หลังๆ เขาก็แบบเปิดใจมากขึ้น สนับสนุนเราไปรับไปส่ง
สไตล์แต่งตัวฉบับ “มีน-ปิง”
มีน : คือก่อนหน้านี้แต่งตัวไม่เป็นเลย ให้เพื่อนที่เคยอยู่มาก่อนที่เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกันมาสอน จำได้ว่าตอนนั้นไปเดินเดอะมอลล์บางแค ตื่นเต้นมากแต่งตัวอย่างนี้จริงเหรอ ปกติใส่ขาสั้นกางเกงบาสไปนั่นไปนี่ เพราะส่วนใหญ่ไปแค่สนามบาสกับยิมแค่นั้นเลย พอแต่งตัวเป็น แล้วพอเริ่มเข้าวงการก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีหน่อย ให้มันถูกกาลเทศะ
ปิง : ก็เด็กคนนึงอะครับ กิน เล่น นอน วนๆ ไป แต่งตัวแบบเสื้อโอเวอร์ไซส์ กางเกงขาก๊วยขาใหญ่ๆ หน่อย แล้วก็ไปกองที่พื้น รองเท้าผ้าใบคู่นึงปิงใส่แค่นี้เลย จะเรียกว่าแต่งตัวเป็นไหมก็ไม่ค่อยเป็นเหมือนกันครับ ต้องมีคนแนะนำ เพราะส่วนตัวเป็นคนใส่เสื้อตัวกางเกงตัวรองเท้า จบง่ายๆ ครับ ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายนอนง่ายสบายมาก
ย้อนบรรยากาศการพบกันครั้งแรกของ มีน-ปิง
มีน : ผมไปถ่ายคอนเทนต์อะไรกับรุ่นน้องครับ แล้วก็เป็นงานของพี่ก้องนี่แหละ แล้วเขาก็เดินเข้ามาในห้อง เราก็เอ๊ะใครตัวสูงจังเลย เราก็กำลังจะสวัสดีเขา ดีที่เขาสวัสดีก่อน ผมอายุ 23 น้องเพิ่ง 18 เด็กสมัยนี้สูงมาก ตอนนั้นที่เจอกันแต่ไม่ได้คุยอะไรกันมากครับ คุยกันอีกทีตอนที่ได้เล่นซีรีส์ด้วยกัน
ปิง : ครั้งแรกจริงๆ กลัวพี่เขานิดนึง ตอนนั้นพี่มีนไม่ได้หุ่นแบบนี้นะ พี่มีนจะตัวใหญ่เป็นหุ่นหมีๆ นิดนึง ตอนนี้ผอมลงเยอะมาก เหมือนตอนนั้นพี่มีนจะให้ผมช่วยหยิบลูกอมให้ แล้วพี่ก็พูดมาแบบน้องหยิบลูกอมให้หน่อยดิ พูดแบบนี้ผมก็กลัวอะ แต่พอได้มารู้จักจริงๆ พี่เค้าเป็นคนตลกมากเลยนะ
ความรู้สึกของ มิน-ปิง หลังเล่นซีรีส์ด้วยกัน
ปิง : เปลี่ยนครับ เพราะตอนแรกที่เจอเขาดูเป็นคนนิ่ง เราก็ไม่กล้าชวนคุยเท่าไหร่ พี่เขาจะแบบตึงๆ หน่อย เราก็ยังไงดีวะ พอรู้จักพี่เขาก็แบบสบายๆ ยิงมุกกันแบบตลกฮามาก แล้วพอเรามีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น มันเริ่มเข้ากัน มันเริ่มสนิทกันเอง
มีน : น้องเป็นคนไม่ได้ปิดตัวเองน้องเป็นคนแบบนี้ น่ารัก เฟรนด์ลี่ เข้าถึงง่าย ส่วนผมก็ไม่ได้ปิดแต่เป็นคนขี้เขิน เลยดูว่าจะมีกำแพงของตัวเองอยู่ แต่เราไม่ได้หยิ่งหรืออะไรนะ ใครมาคุยก็คุยด้วยยิ้มด้วยปกติเลยครับ แต่ถ้าคนไม่รู้จักใครจะงงนิดนึงครับผม
ข้อดีข้อเสียของ มิน – ปิง
มีน : เริ่มจากข้อเสียเลยเป็นคนที่จริงๆ พูดไม่รู้เรื่องมากกว่านี้ นี่คือยังฟังออกบ้างใช่ไหมครับ แต่ว่าก่อนหน้านี้พูดไม่รู้เรื่องเลย เหมือนเสียงอยู่ในลำคอ เสียงออกจมูกตลอด ถ่ายละครถ่ายอะไรโดนว่าเรื่องนี้ตลอด จนเขาให้ไปอ่านหนังสือส่งทุกวัน ประมาณ 4-5 เดือน ส่งทุกคืน ก็เริ่มโอเคขึ้น เริ่มมั่นใจในการพูดมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ แต่ก็กำลังพัฒนาอยู่ อันนี้คือข้อเสียของเรา
มีน : ส่วนข้อดีก็เป็นคนที่มีความพยายาม รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ ก่อนหน้านี้ก็เป็นนักกีฬาด้วย เรียนด้วย ทำงานด้วย เรื่องเวลาสำคัญมากๆ
ปิง : ข้อเสียของปิงนะครับ คือปิงเป็นคนขี้เกียจมาก ไม่อยากทำอะไรเลย อยากนอนอยู่เฉยๆ บางทีจะชอบว่าตัวเอง ชอบคิดในแง่ลบกับตัวเอง แบบตัวเองดีไม่พอหรอก อย่างนู้นอย่างนี้สารพัด แถมยังขี้หงุดหงิดด้วย
ปิง : ส่วนข้อดีของผมก็จะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ถ้าจัดไว้แล้วก็ต้องทำตามในแบบที่วางไว้ทุกอย่าง เช่นเรื่องเรียนผมเป็นคนที่ไม่ชอบขาดเรียนเลย ถึงแม้ว่ามันจะแบบน่าเบื่อขนาดไหน ผมไม่ค่อยชอบเวลาครูสั่งงานในคาบและส่งเลย แล้วเราไม่ไปเข้า แล้วเราต้องมีงานมากขึ้นกว่าเพื่อนที่เขาไปเรียนในคาบ อยากเข้าไปเรียนทุกคาบที่เขาสอน แต่ว่าถ้ามันจำเป็นต้องลางาน ผมก็ต้องไปตามกับเพื่อน ผมจะไม่ทิ้ง ต้องกลับไปเก็บให้หมดในทุกๆ ครั้งที่เราขาดไป ผมไม่ได้เรียนเก่ง แต่ไม่ชอบส่งงานไม่ครบ
ความรู้สึกต่อซีรีส์ Y
ปิง : ผมว่ามันดีนะเพราะว่าเดี๋ยวนี้โลกมันก็เปิดกว้างมีคู่ LGBTQ ขึ้นมาเยอะ หนังก็ทำให้คนหมู่มากได้รู้ว่ามันมีความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ นะ แล้วอนาคตทุกคนจะได้เปิดใจกับแบบความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดี
มีน : สำหรับผมซีรีส์ Y ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นมันเป็นแค่ทางเลือก แต่มันคือความรัก ถ้าเรารักใคร แต่ละเพศแต่ละวัยคือมันคือความรัก ไม่ได้มองว่ามันเป็นเพศเลย สิ่งที่ซีรีส์ Y สื่อออกไป ก็อยากให้ทุกคนได้รู้เหมือนกันนะว่าจริงๆ มันน่ารักเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ แต่แค่เขาเป็นเพศเดียวกันมันก็แค่นั้นเลย
ได้ประสบการณ์อะไรจากการเล่นซีรีส์ Y
มีน : ได้อะไรหลายๆ อย่างเยอะมากเลยครับ เพราะปกติแสดงละครกับซีรีส์นี่แตกต่างกัน ละครจะอีกแบบนึงเลย ซีรีส์จะเป็นชีวิตวัยเราหน่อย เป็น Gen ที่คุยง่ายหน่อย คำไม่ต้องสวยขนาดนั้น หรือภาษาวัยรุ่นคุยกันก็รู้สึกว่าสนุกครับ เราได้ประสบการณ์จากการแสดงด้วยอะไรหลายๆ อย่าง
ปิง : ใหม่มากในชีวิตคือไม่เคยคิด แล้วที่สำคัญเรื่องแรกเป็นตัวหลักอีก เหมือนแบบ 2 เด้งเลยครับ ก็ได้เห็นว่าการทำงานจริงๆ มันเป็นยังไง ได้รู้เรื่องแบบการแสดงอะไรว่าต้องทำอย่างไร แรกๆ ไม่เป็นเลย แข็งทื่อไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำตัวอย่างไร ก็พยายามครับ ปล่อยตัวเองให้มากขึ้นจะได้เล่นกันเป็นธรรมชาติ
ดารากับความเป็นส่วนตัว
มีน : ก็รู้สึก แต่มันก็มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นครับ ถ้าเราโอเคกับจุดที่เรายืนอยู่ เราจะมีความสุขกับสิ่งที่เราทำ อย่างเช่นเวลาเล่นบาสไปยิมน้อยลง แต่เราไม่ได้คิดถึงตรงนั้น เราคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปทำ เอาตรงนี้ก่อนไม่เป็นไรค่อยๆ ทำก็ได้ เพราะยังไงก็เป็นสิ่งที่เราชอบ ไม่ใช่ว่าทำตรงนี้เสร็จไม่ชอบแล้ว เราก็ชอบแบบนี้อยู่ เรามาจากตรงนั้น
ปิง : สำหรับปิงยอมแลกได้ครับ ถ้าได้มาทำงานตรงนี้จริงๆ ปิงยอมแลกกับการที่จะมีชีวิตส่วนตัวน้อยลง กับการที่ตัวเองได้มีชื่อเสียง มันเป็นเป้าหมายของเราอยู่แล้วว่าเราอยากดัง เรายอมแลกมาได้แล้ว เดี๋ยวเราดังมากๆ จริงๆ สักวันนึงเราก็ต้องได้กลับใช้ชีวิตส่วนตัวของเราอยู่แล้ว ผมยอมแลกกับช่วงเวลาพวกนี้ที่จะได้ไปทำอะไรอย่างอื่น แต่ผมมาโฟกัสตรงนี้ดีกว่าผมก็ยอมครับ
อยากจะบอกอะไรตัวเองในตอนนี้
มีน : เก่งมาก ภูมิใจในตัวเองมาก จะเป็นยังไงต่อก็ต้องสู้นะ เพราะเราเลือกมาบนเส้นทางนี้แล้ว
ปิง : ปิงเก่งมากนะ ปิงมาได้ขนาดนี้ ปิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันนึงจะมีคนมารักมีคนมาเอ็นดูอะไรขนาดนี้ ก็สู้ต่อไปครับ ปิงจะต้องดังไปกว่านี้อีก ลุยต่อไปครับ