ปรับ-ปลด ตำแหน่งนางงามไม่ใช่เรื่องแปลก ในมุมมองกูรูนางงาม “หนุ่ม-นันท์นภัทร”

ช็อกวงการนางงามเป็นอย่างมาก สำหรับกรณีการประกาศปรับตำแหน่ง “มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022” ที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในทุกช่องทางของกองประกวด เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ที่มีกระแสดราม่าประเด็น “นิโคลีน ลิมศนุกาญจน์” รองอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 ไม่ค่อยมีภาพปรากฏตัวกับทางกองประกวดและเพื่อนนางงาม ในการออกปฏิบัติหน้าที่ ทั้งกิจกรรมของกอง การเดินสายขอบคุณสปอนเซอร์ โดยมีการระบุเหตุผลที่ไม่เข้าร่วมทำกิจกรรมว่าได้ขอลาไว้ล่วงหน้า จนเกิดเป็นกระแสข่าวลือหนาหูออกมาเป็นระยะว่าทางกองประกวดฯ เตรียมจะปลดนิโคลีนพ้นจากตำแหน่งรองอันดับ 1

ก่อนที่ความชัดเจนจากข่าวลือที่หนาหูมาหลายต่อหลายครั้งจะเกิดขึ้น เมื่อทางกองประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 ได้ร่อนประกาศชี้แจงระบุหัวข้อว่า “ชี้แจงปรับตำแหน่ง Miss Universe Thailand 2022” ในทุกช่องทางทุกแพลตฟอร์มของกองประกวด โดยมีเนื้อหาระบุดังนี้

เรื่อง ประกาศชี้แจงปรับตำแหน่ง Miss Universe Thailand 2022

บริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการประกวด Miss Universe Thailand 2022 ขอแจ้งเรื่องการปรับตำแหน่งของรองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 (ตามมติที่ประชุม เลขที่ 5/2565) ดังต่อไปนี้

นางสาวกัญญาลักษณ์ หนูแก้ว
ดำรงตำแหน่ง รองอันดับ 1 Miss Universe Thailand 2022

นางสาวสุชาตา ช่วงศรี
ดำรงตำแหน่ง รองอันดับ 2 Miss Universe Thailand 2022

นางสาวเวโรนิก้า ปากาโน
ดำรงตำแหน่ง รองอันดับ 3 Miss Universe Thailand 2022

เนื่องจาก รองอันดับ 1 Miss Universe Thailand 2022 ที่ได้ประกาศตัดสินเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2565 ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ตามระเบียบขององค์กรได้

ประกาศ ณ วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2565
Miss Universe Thailand

FEED ต่อสายตรงหา “หนุ่ม-นันท์นภัทร เจิมจุติธรรม” กูรูนางงามชื่อดัง เพื่อสอบถามถึงประเด็นร้อนสะเทือนวงการนางงามในครั้งนี้ หลังกองประกวดประกาศปรับตำแหน่งนางงามใหม่ยกแผง และ “นิโคลีน ลิมศนุกาญจน์” หลุดจากรองอันดับ 1 ด้วยเหตุผลว่า ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ตามระเบียบขององค์กรได้

สำหรับแฟนๆ นางงามก็คงรู้สึกว่ามันเป็นข่าวช็อกเนอะ แต่สำหรับพี่มันเหมือนมีเค้าลางมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าคงดำรงตำแหน่งไปจนครบวาระไม่ได้ มีเค้าว่าจะเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ตอนได้รองอันดับ 1 พี่ในฐานะคนนอกมองเข้าไปก็มีสองข้าง ข้างหนึ่งมาประกวดเพื่อบรรลุความฝัน คือเขาไปเกือบสุดทางแล้ว จริงๆ ก็สุดแล้วนะคือได้รองอันดับ 1 มิสเวิลด์มาแล้ว โอเคอยากจะไปต่ออีก ยังมีเวทีที่ใกล้เคียงกัน ศักดิ์ศรีใกล้เคียงกันก็เลยอยากจะไปต่ออีกสักเวทีหนึ่ง แต่ทีนี้พอไปไม่ถึงก็ไม่รู้จะทำหน้าที่อื่นไปทำไม ตรงนั้นมันไม่ใช่ความฝันไง การทำหน้าที่รองนางงามเวทีใดเวทีหนึ่งก็ไม่ใช่ความฝันของเขา อันนี้พี่คาดเดานะ จากความรู้สึกว่าไม่ได้เป็นมิสชั่นของเขา ไม่ได้เป็นเป้าหมายของเขาในการทำหน้าที่อื่นๆ สิ่งที่เขาต้องการคือต้องการจะไปอีกเวทีหนึ่ง ดังนั้นก็เลยไม่ได้มีแพชชั่นจะทำงานอื่นๆ ต่อไป

ในส่วนของผู้จัดก็เข้าใจอีกว่าเมื่อได้ผู้เข้าประกวดมาแล้ว ก็อยากจะร่วมเป็นทีมแล้วก็ทำงานจับมือประสานใจกันเป็นทีม แต่ในเมื่อการทำงานมีอุปสรรคก็ต้องเคลียร์ให้การทำงานร่วมกับคนอื่นๆ เป็นไปได้ด้วยความราบรื่นมากขึ้น ในส่วนของแฟนนางงามหรือผู้ติดตามอย่างเราก็มองเป็นสองประเด็น คือเข้าใจว่าโอเคเมื่อเป้าหมายไม่บรรลุก็ไม่อยากจะทำหน้าที่อื่นๆ ต่อไป แต่อีกทางหนึ่งก็มีความรู้สึกว่าแล้วไปเบียดเก้าอี้คนอื่นที่นั่งคนอื่นอีกหนึ่งที่นั่งเพื่ออะไรอย่างนี้

การปรับในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงไหม

หนุ่ม นันท์นภัทร : ไม่นะ สำหรับพี่ไม่ได้มองว่ามันร้ายแรง คือเราผ่านการอยู่ในวงการประกวดมานานแล้ว เราเห็นเรื่องราวพวกนี้เยอะแยะ พี่เคยเห็นการที่นางงามสละตำแหน่งโดยที่ตัวเองไม่ได้ผิดอะไร แต่อาจจะด้วยเหตุผลบางประการทำให้ถูกบังคับให้สละตำแหน่งไปก็มี หรือในบางครั้งบางหนต้องสละตำแหน่งไปด้วยความจำใจจากเหตุการณ์ในอดีต พี่เคยเห็นมาหมดแล้วเรื่องแบบนี้ แต่ครั้งนี้อันนี้ไม่ได้เรียกว่าถูกปลดนะ เพราะเขายังไม่ได้เซ็นสัญญากัน อาจจะไม่ได้รับให้ทำหน้าที่นี้หรือว่าต้องคืนตำแหน่ง

มองว่าเป็นผลดีกับกองประกวดและตัวนางงามยังไง

หนุ่ม นันท์นภัทร : พี่ว่าเป็นผลดีทั้งสองฝ่ายนะ หมายถึงว่าทางกองประกวดเองก็จะทำงานกับคนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น สมมติว่าถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งลางานบ่อยๆ เหมือนกับคนในองค์กรหรือทำงานในบริษัทเดียวกัน อีกคนลาสายขาดได้เรื่อยๆ โดยที่มีเหตุจำเป็นส่วนตัวอะไรก็แล้วแต่ เขาจะปกครองคนที่เหลือลำบาก เขาจะดูแลคนที่เหลือลำบาก จะให้เหตุผลกับคนที่เหลือลำบากว่าทำไมคนนี้ถึงไม่มา ทำไมคนอื่นถึงต้องทำงานอะไรอย่างนี้ มันก็จะเป็นเหตุผลขององค์กรเนอะ การดูแลองค์กร ภาพรวมขององค์กร ในขณะที่ตัวผู้เข้าประกวดหรือตัวนางงามเองพี่ก็เข้าใจ ในเมื่อเป้าหมายไม่ได้ถูกไปถึงก็ไม่ได้อยากทำหน้าที่อื่น ก็ต่างคนต่างไป ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ พี่ว่าก็เป็นทางออกที่ดีนะ

ถ้าเป็นเรื่องส่งผลเสียพี่ก็มีความรู้สึกว่ามันเป็นการเสียโอกาสของนางงามคนอื่นๆ ที่เขาได้ตำแหน่งที่ 6 ในค่ำคืนนั้น นั่นเป็นการเสียโอกาสของคนอื่น ตรงนั้นเป็นจุดเดียวที่พี่รู้สึกว่าเป็นความน่าเสียดาย แต่ว่ามาถึงตรงนี้ที่เขาออกเอกสารเป็นการปรับตำแหน่ง พี่รู้สึกว่าดีแล้ว ชัดเจนสำหรับทุกฝ่าย ต่างคนต่างไปแยกย้ายทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำแล้วก็ทำได้ดีกว่า แบบนี้จะทำให้การทำงานของทั้งฝ่าย การดำเนินชีวิตของทั้งสองฝ่ายราบรื่นมากขึ้น

ย้อนกลับไปดูในอดีต เคยมีเหตุการณ์นางงามหลุดจากตำแหน่งมาแล้ว นั่นก็คือในปี 2014 ในยุคของ “คุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์” เป็นผู้อำนวยการประกวด และนางงามที่หลุดจากตำแหน่งในปีนั้นคือ “น้ำเพชร-ฏีร์ญาภา กฤษณสุวรรณ” หรือชื่อเดิมที่ใช้ในตอนประกวดปี 2014 คือ “น้ำเพชร-สุณัณณิการ์ กฤษณสุวรรณ” หลุดจากการถูกปลดออกจากตำแหน่งรองอันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 จากพิษภาพหลุดเซ็กซี่ล่อแหลม ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าภาพนั้นคือภาพของตนในอดีตจริง ขณะทำงานเป็นพริตตี้เพราะต้องการหาเงินมารักษาคุณแม่ที่เป็นมะเร็ง

ขณะที่ “ฝ้าย-เวฬุรีย์ ดิษยบุตร” สาวงามผู้ครองตำแหน่ง มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 รายนี้ก็ตกเป็นข่าวช็อกวงการนางงามอยู่ไม่น้อย ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวทั้งน้ำตาประกาศขอ “สละตำแหน่ง” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 ทั้งที่เพิ่งรับตำแหน่งไปได้เพียง 20 กว่าวัน จากกระแสต่อต้านทั้งเรื่องความสวย-รูปร่างไม่สมตำแหน่ง ถูกกล่าวหาประเด็นเด็กเส้น ภาพหลุดสูบบารากุ (แต่เธอยืนยันว่าเป็นภาพเป่าลูกโป่งเท่านั้น) และประเด็นถูกขุดคุ้ยคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงที่เคยโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว จนถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนในที่สุดเจ้าตัวก็จำยอมสละมงกุฎทั้งน้ำตา เพราะต้องการให้ครอบครัวสบายใจ และทนเห็นคุณแม่นอนร้องไห้ทุกคืนไม่ได้

กรณีของฝ้าย เวฬุรีย์ นั้น แม้จะไม่ได้เป็นการปลดโดยตรงจากกองประกวด แต่ถือว่าเป็นการสั่งปลดจาก “กระแสสังคม” ในตอนนั้น และเป็น “แอลลี่- พิมพ์บงกช จันทร์แก้ว” รองอันดับ 1 ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทน

“เฌอเอม-ชญาธนุส ศรทัตต์” ผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ตัวเต็งในการประกวดฯ ก็ถูกปลดกลางทางแบบไม่ทันตั้งตัว จากดราม่าพี่เลี้ยงนางงาม จนต้องมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวใหญ่โตทั้งสองฝ่าย แม้ว่าสุดท้ายเฌอเอมจะไม่ได้ประกวดต่อไปถึงรอบลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอกลายเป็นนางงามที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในการประกวดปีนั้น จากความสามารถในการตอบคำถามที่กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์อย่างหนัก

การปลดนางงามของไทย ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เพียงเวทีเดียวเท่านั้น ยังมี “มิสไทยแลนด์เวิลด์” ก็เคยมีการปลดนางงามมาแล้วเช่นกัน นั่นก็คือ “จอย-จตุพร แสงทอง” รองอันดับ 2 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2003 จากการสืบประวัติพบว่าเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน ทำให้ทางประกวดจำเป็นต้องริบมงกุฎและรางวัลคืน เนื่องจากถือว่าเป็นการทำผิดกฏของกองประกวด

แม้ตอนแรกจอย จตุพร จะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ท้ายที่สุดก็จำนนต่อหลักฐานจนต้องสละสิทธิ์รองอันดับ 2 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2003 ไป

ต่อมาในปี 2005 “แองจี้-อัจฉรา แมคคาย” สาวลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย เจ้าของตำแหน่งมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2005 ที่เป็นตัวเต็งหลักของการประกวดในปีนั้น ก็ประกาศขอสละมงกุฏ และให้เหตุผลว่าต้องการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ หลังจากที่ครองมงกุฏในตำแหน่งมิสไทยแลนด์เวิลด์ได้เพียง 10 กว่าวัน ก่อนจะมีภาพหลุดวาบหวิวบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เมื่อแองจี้ขอสละตำแหน่งทางกองประกวดมิสเวิลด์จึงได้แต่งตั้งให้ “ซินดี้-สิรินยา เจนเซ่น” รองอันดับ 2 ขึ้นรักษาตำแหน่งมิสไทยแลนด์เวิลด์ปีนั้นแทน