เข็ดขยาดดูหนังไทยทีไรก็ผิดหวัง ทำดีมา 5 เรื่อง
แต่คนแรนด้อมไปเจอหนังที่ไม่ถูกใจ
การคาดหวังว่าทุกคนจะต้องทำงานได้ถูกใจมันก็ยาก
รักษามาตรฐานเป็นสิ่งที่เราตัวคนเดียวไม่สามารถทำได้

หมู ชยนพ

การกลับมากำกับภาพยนตร์ในรอบ 6 ปี ของ “หมู ชยนพ บุญประกอบ” ผู้กำกับภาพนตร์มากฝีมือ บุคคลที่ใช้จิตวิญญาณในการถ่ายทอดเรื่องราว และผลงานล่าสุดอย่าง “ซองแดงแต่งผี The Red Envelope” วันนี้ในโรงภาพยนตร์

หมู ชยนพ
หมู ชยนพ

14 ปีในวงการภาพยนตร์เป็นยังไงบ้าง ?

หมู: รู้สึกว่าการโปรโมตหนังจริงจังขึ้นมากครับในยุคนี้ เมื่อเทียบกับยุคที่ผมทำตอนแรกสุดเลย ตอนนั้นเหมือน GTH ยังไม่มีเพจเฟซบุ๊กเลยมั้งครับ หรือมีก็ยังไม่ได้เน้น แต่ทุกวันนี้ทุกวินาทีคือการคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนรู้จักหนังครับ เพราะว่ามันแข่งขันกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่แข่งกับหนังด้วยกัน มีอีกประมาณร้อยล้านอย่างที่มาดึงความสนใจของคนดูได้ครับ (แสดงว่าเมื่อก่อนให้หนังเป็นตัวทำงานทุกอย่าง) ยังมีพลังศักยภาพยึดอยู่ที่ตัวหนังเยอะอยู่ครับ แต่ตอนนี้คือต้องทำให้คนสนใจอยากดูให้ได้เป็นเรื่องท้าทายมากๆ ในยุคนี้เลยครับ

ความเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ?

หมู: เหมือนคนสามารถเสพสื่อต่างๆ ได้ตลอดเวลาทุกวินาทีใช่ไหมครับ ผมเลยรู้สึกว่าเทรนด์ต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากๆ ใช่ไหมครับ ความสนใจมันก็เลยไหลไปมา เหมือนปีที่แล้วยังรู้สึกว่าคนยังเข้าดูหนังในโรงกันเยอะกว่านี้มากๆ มีหนังที่ประสบความสำเร็จทางรายได้เยอะมาก แต่พออยู่ๆ ขึ้นต้นปีใหม่เป็นต้นมามันฮวบฮาบใช่ไหมครับ แม้กระทั่งหนังจากฝั่งฮอลลีวูดที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ต่างๆ ก็ยังตัวเลขไม่ใช่แบบนี้เลยถ้าเป็นปีที่แล้ว แพลตฟอร์มน่าจะมีผลมากๆ เลยครับ ตัวเลือกมหาศาล หนังฟอร์มยักษ์ดีๆ ที่เราอยากดูเมื่อไหร่ก็ได้มันมีให้เลือกมากมาย จนบางทีเรายังวนหาอยู่แค่ในการเลือกว่าจะดูเรื่องอะไรยังเลือกไม่ถูกเลย ผมรู้สึกว่าการโปรโมตไม่ใช่แค่การโฆษณาว่าหนังอะไรยังไง แต่ว่ามันคือการทำให้เกิดเทรนด์ เกิดกระแสได้โดยที่มันคือต้องมาจากต้นทางด้วยแหละครับ ว่าหนังเราไอเดียมันคืออะไร เราจะต่อยอดขยายมันยังไง แผนในการที่จะนำพาไปสู่ผู้บริโภควิธีมันเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งมันโอโหมีคนช่วยคิดสิ่งเหล่านี้เยอะมาก แล้วก็มีวิธีหลายวิธีมากๆ และมันยังต้องเรียนรู้และแข่งขันในทุกๆ วันอยู่เลยครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมมีส่วนร่วมกับสิ่งนี้มากขึ้น หมายถึงว่าได้อยู่ในกรุ๊ป หรือกลุ่มการประชุมที่เราจะทำอะไรกันวันไหนบ้างนะ แล้วพบว่าทุกๆ วันมีสิ่งที่ต้องทำตลอดเวลา ซึ่งปริมาณมันเยอะขึ้นกว่าในสมัยก่อนอย่างเทียบไม่ได้

สำหรับพี่หมูห่างหายไปกี่ปีกับการกำกับภาพยนตร์ ?

หมู: จริงๆ ถ้าเทียบเป็นปีที่หนังเข้าฉายก็คือ 6 ปีครับ คือจริงๆ ที่หนังเฟรนโซนฉาย 2019 ก็คือฉายต้นปี แล้วผมก็ทำเรื่องต่อไปเลยแต่ว่ามันติดโควิดด้วยครับ มีซีรีส์ที่ผมเขียนจบแล้วแล้วไม่ได้ทำแล้วก็พับไปเลยก็มี แล้วก็มีหนังอีกเรื่องที่เขียนแล้วสุดท้ายไอเดียมันเอ้าท์ ก็เลยความสนใจมันลดลงสุดท้ายก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน มันก็เลยมีช่วงเวลาเหล่านั้นที่ไม่ได้ทำหนัง แล้วก็ผมก็ไปลองทำอย่างอื่นมาด้วยครับ ไปทำกำกับละครเวทีให้พี่เบิร์ดเป็นพาร์ทนึงละครในคอนเสิร์ตของพี่เบิร์ด มีไปแข่งรายการทำโชว์กับมาดามมดของ Workpoint ก็สนุกดีครับ

ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากงานชิ้นใหม่ ?

หมู: มันเหมือนเป็นกลายเป็นโชว์สดที่เราคัทไม่ได้เทคไม่ได้ เราต้องซ้อมแล้วก็ขึ้นไปแสดงบนเวทีเลย ให้ทั้งคนดูให้กรรมการดู ก็เป็นวิธีแบบใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำ ซึ่งผมรู้สึกดีนะครับเหมือนเราได้ลองว่าแบบโลกนี้มันมีอะไรอีกนะที่เราทำได้ แล้วบางอย่างมันก็เอากลับมาต่อยอดในงานของเราได้ด้วย เหมือนค้นพบข้อดีของการไปทำอย่างอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับการกำกับหนัง แม้ว่าจะเป็นการกำกับเหมือนกันก็ตาม คือเราอาจจะกดดันตัวเองน้อยลง เราจะบอกว่ามันไม่ใช่พื้นที่ของเรานะ แต่มันเปิดให้เราได้ทดลอง เช่นผมไปแข่งทำรายการของมาสเตอร์พีช คือมันจะเป็นโจทย์แบบว่ามีงานศิลปะมาให้ชิ้นนึง ให้เราเลือกงานศิลปะชิ้นนึงแล้วเราก็ทำโชว์ขยายความจากงานศิลปะนั้น ซึ่งเราทำอะไรก็ได้เลยครับแล้วแต่เรามันก็เปิดมากๆ อย่างผมจะทำเอางานศิลปะคือเทพีเสรีภาพ ที่มันเป็นสถาปัตยกรรม ผมก็ใส่ความชอบผมไป เช่น เอามันมาเป็นหุ่นยนต์ ฮีโร่พิทักษ์โลก สัตว์ประหลาดบุกโลก อเมริกาถูกสัตว์ประหลาดรุกราน เทพีเสรีภาพก็ออกมาสู้คบเพลิงเป็นดาบ หนังสือเป็นโล่อะไรอย่างนี้ มาดามมดแสดงเป็นหุ่น แล้วก็เรียกเพื่อนจากที่อื่นมาช่วยเป็นแลนด์มาร์ค หอไอเฟลก็เป็นหุ่นยนต์ กำแพงเมืองจีนก็เป็นหุ่นยนต์ คือเราเลอะเทอะสนุกสนานกับมันได้ แล้วเราก็เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในไอเดียของเราเอง ในการที่เราจะต่อยอดมาทำหนังต่อ ผมรู้สึกว่ามันช่วยรีเฟรชเราดีเหมือนกันครับ

หมู ชยนพ
หมู ชยนพ

สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้ทำก็เกิดจากความชอบของเราเอง ?

หมู: คือตั้งแต่ตอน GTH มาครับ โตมากับ GTH ที่มีพี่เก้ง พี่วรรณ เป็นโปรดิวซ์เซอร์ครับ แล้วรากฐานของการคิดงานผมมันก็เลยเกิดมาจากการส่งเสริมพี่เก้ง พี่วรรณ ที่บอกว่าให้เราเอาประสบการณ์ชีวิตมาใช้ ความชอบอะไรต่างๆ ที่เราสนใจครับ ก็หนังแทบทุกเรื่องของผมที่ผ่านมา ก็คือมาจากประสบการณ์ชีวิต Suck Seed ก็มาจากตั้งวงดนตรีกับเพื่อนวัยรุ่นอยากจีบสาว เมย์ไหน ก็มาจากผมเคยแอบชอบเพื่อนแล้วแบบวาดการ์ตูนเป็นไดอารี่จดไว้แอบชอบคน เฟรนด์โซน ก็ตอนผมเคยไปเป็นสจ๊วดอะไรอย่างนี้ครับ แล้วก็งานต่างๆ ที่ไปทำข้างนอกก็เริ่มมาจากสิ่งที่เราชอบสนใจ

อุตสาหกรรมวงการภาพยนตร์เปลี่ยนไปขนาดไหน ?

หมู: ของไทยผมรู้สึกว่าหนังไทยคุณภาพก็ขยับสูงขึ้นนะครับ เหมือนคนที่มีศักยภาพตั้งแต่ต้นทาง มีปริมาณที่เพิ่มขึ้น หมายถึงว่าแต่ละที่ที่ทำหนังไทยเก็ทมากขึ้นว่าอะไรที่คนดูอยากจะสนใจดู แล้วก็คุณภาพระดับไหนที่มันผ่านที่พอที่จะสร้างสรรค์งานออกมาได้ ผมรู้สึกว่ามันขยับขึ้นนะครับ แล้วก็ดูมีแนวโน้มที่ดีมากก็พิสูจน์ได้ด้วยปีที่แล้ว หนังเรื่องไหนที่ทำเงินบ้างปริมาณมันกลับมาคึกคักขึ้น ทำให้โรงหนังไทยคนดูคึกคักขึ้นด้วยตัวมันเอง อันนี้ผมว่าใครก็รู้เรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าขยับขึ้นครับแต่ว่าความต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ยังต้องต่อสู้ต่อไป เหมือนมาได้วูบนึงแล้วก็แผ่วลง ซึ่งมันมีหลายอย่างมากเลยที่ต้องช่วยกันผลักดัน เหตุผลมันก็มีหลายอย่างที่ทำไมมันยังไม่ต่อเนื่อง แล้วก็ทำยังไงมันถึงจะต่อเนื่องมากขึ้น เล่าแล้วก็จะยาวแต่เอาเป็นว่ามันมีหลายข้อมากๆ ที่จะต้องช่วยกันส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มากกว่านี้ ถ้าพูดกว้างๆ ก็คือเวลาหนึ่ง สองก็คืองบประมาณอะไรประมาณนี้ครับ เวลาก็คือเวลาในการที่จะให้ ในการสร้างสรรค์งาน ถ้าลิมิตมากก็จะได้งานตามเวลาที่มีให้ เช่นสมมุติว่าเขียนบทกันปกติ ถ้าผมคุ้นชินเวลาของการเขียนบทหนังใหญ่หนึ่งเรื่อง เรามี 8 เดือนอย่างต่ำในการเขียนหนังขึ้นมาจากศูนย์นะครับ แต่ถ้าเกิดบางที่ให้เวลา 4 เดือน มันต่างกันมากในการจะคราฟบทให้มันผ่าน มันจะทำได้สักกี่ดราฟแล้วมันจะดีพอหรือยัง แต่เขามีเวลาให้ 3 เดือน มันก็จะแบบจะได้ของที่มารตฐานแล้วก็จะยากขึ้น ไม่ได้บอกว่าไม่ได้แต่มันก็จะยากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น หรือ budget ในการที่จะให้คนทำต้นทางเหล่านี้อยู่ได้จริงๆ เลี้ยงชีพได้ด้วยการเป็นคนเขียนบทอะไรอย่างนี้ครับ สัดส่วนมันควรจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ที่เขาจะไม่ต้องพะวงในการหาเลี้ยงชีพด้วยอย่างอื่น สมาธิเขาจะได้จดจ่อการทำงานของเขาให้เต็มที่ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งคนเขียนบท แต่ตำแหน่งคนที่ออกกองต่างๆ มันก็ส่งเสริมกัน ซึ่งมันก็จะไปสู่ว่าทำไม budget มันถึงมีจำกัด ออเพราะตลาดเรามีเท่านี้แหละมั้ง คนดูเรามีเท่านี้มั้ง ทำไมตลาดเราถึงมีเท่านี้ ประเทศเรามีกี่คน โรงหนังกระจายไปมากน้อยแค่ไหน การเก็บรายได้ต่างๆ กลับมาที่ผู้ผลิตมันถูกต้องมากน้อยอย่างไร มันก็จะมีเรื่องพวกนี้ เลยรู้สึกว่าถ้าในฝันเลยก็คือมันก็จะคล้ายๆ เกาหลี หมายถึงโมเดลก็คือประเทศไม่ได้ใหญ่มาก ประชากรน้อยกว่าประเทศไทย แต่อุตสาหกรรมพยายามเอนไปสู่นานาชาติมากขึ้น ไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น แล้วพอเขาทำได้ต่อเนื่องมันก็จะเริ่มเป็นความคุ้นชิน เขาส่งออกเป็นเรื่องปกติ เป็นมาตรฐานปกติของไทยก็เริ่มทำได้มากขึ้น เริ่มจับทางของตัวเราเองได้ เราเริ่มมีซีรีส์วาย เรามี Boy Love , GL อะไรต่างๆ ที่แบบว่านี่คือลายเซ็นต์ของเรานะที่ประเทศอื่นยังทำไม่ได้เท่าเราเลย เราสามารถไปสู่ตลาดอเมริกาใต้ได้ มีคนเม็กซิโก เม็กซิกันที่ชอบงานของเรา มีคนบราซิลที่รอดูงานของเราได้ด้วย เราก็ค้นพบสิ่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ความต่อเนื่องของคุณภาพงานสำคัญขนาดไหน ?

หมู: จริงๆ มันสำคัญเสมออยู่แล้วคือเรื่องคุณภาพนะครับ เพราะว่าผมเจอฟีดแบ็กบ่อยๆ เลยเวลาเราอ่านคอมเมนต์ต่างๆ ตามโซเชียล เข็ดขยาดไม่อยากไปดูแล้ว หนังไทยทีไรก็ผิดหวัง คือสมมุติว่าเราทำดีมา 5 เรื่อง แต่เราคนนั้นแรนด้อมไปเจอหนังที่อาจจะไม่ถูกใจ เขาก็จะเหมือนเฟลไปรู้สึกผิดหวังหรืออะไรอย่างนี้ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ง่ายและตลอดเวลา การที่จะคาดหวังว่าทุกคนจะต้องทำงานได้แบบถูกใจเพอร์เฟกต์มันก็ยาก แต่ว่ามันก็ไม่มีทางเลือก หมายถึงว่าทุกคนก็อยากทำให้มันดีที่สุดแหละ แต่ว่าการรักษามาตรฐานมันเป็นสิ่งที่แบบเราตัวคนเดียวไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเราเอง

หมู ชยนพ
หมู ชยนพ

การทำงานให้ตอบสนองความต้องการของคนดูสำคัญไหม ?

หมู: ทำงานกับที่ GDH เขามีวิธีที่จะเรียกว่าเป็นท่ายากหรือเปล่าไม่รู้แต่ว่าเชื่อในการทำจากสิ่งที่เราสนใจจริงๆ ก่อน แล้วเดี๋ยวมันจะค่อยต่อยอดว่าขายมันยังไง มันถึงมีหนังแบบแฟลตเกิร์ลเกิดขึ้นมาได้ เพราะถ้าคิดว่ามาทำหนังให้คนชอบกันเถอะ เราจะไม่มีหนังแบบวิมานหนามจะเกิดขึ้นได้ไหมนะอะไรอย่างนี้ หลานม่าจะเกิดขึ้นได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แต่ว่าโปรโมตยังไงให้เป็นหนังสำหรับครอบครัวนะอันนี้เป็นโจทย์ที่ตามมา แต่ว่ามันต้องเริ่มจากคนเขียนบทที่เขาอินกับการที่คุณเป็ด อาม่า ไปดูแลอาม่าแล้วสุดท้ายพออาม่าให้มรดก แล้วทำไมบ้านฉันไม่ได้ล่ะ มันคือเรื่องจริงที่มันมาเป็นจุดตั้งต้นในแต่ละโปรเจกต์ มีข้อความบางอย่างที่อยากจะพูดถึง ความสมรสเท่าเทียมเห็นไหมว่าการไม่มีกฏหมายมันส่งผลอย่างไรบ้าง กับการแบ่งมรดก คือมันจะมีอินเนอร์บางอย่างที่มันแข็งแรงมากๆ ก่อน แล้วเราค่อยแบบว่ามันจะเป็นหนังที่คนจะดูเยอะขึ้นได้อย่างไรมันจะตามมา มันจึงกะเกณฑ์ได้ยาก แล้วก็แมสบ้างไม่แมสบ้างแล้วแต่อินเนอร์ของแต่ละคน ซึ่งเราให้ความสำคัญกับอินเนอร์ของแต่ละคนในการตั้งต้นทำโปรเจกต์ก่อนครับ

อิงจากเรื่องจริงเล่นกับความรู้สึกคนดูได้มากกว่าจริงไหม ?

หมู: ไม่เสมอไปครับ เราทำได้แค่ส่งเสริมให้ทำจากไอเดียที่เรามีของ เรารู้จักมาเราอินกับมันเราอยากใช้เวลากับมันเป็นปีๆ เพื่อสำรวจ เพื่อต่อยอดขยายมันออกมาจนเป็นโปรเจกต์ได้ แต่จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นไอเดียที่โดนจนคนหมู่มากจะมาดูเป็นหนังร้อยล้านแน่ๆ อันนี้มันแล้วแต่คน แล้วแต่รสนิยมของคนทำแต่ละคนครับ เราก็หวังให้มันสำเร็จแหละแต่ละไอเดียไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้ตลอด เพราะว่ามันหลากหลายครับ

เคยมีทางตันสำหรับเส้นทางการเป็นผู้กำกับไหม ?

หมู: น่าจะหนังล่าสุดที่เหมือนผมเคยเขียนแล้วมันตันไปแล้ว สุดท้ายก็เลยจบไปเพราะว่าเราเหมือนมาเจอว่าเวลาเราเลือกไอเดียบางอย่างมา มันมีวันหมดอายุเหมือนกัน ไอเดียที่ผมหยุดไป เป็นไอเดียที่เป็นกระแสแต่เมื่อเวลามันผ่านไปแล้วมันไม่เป็นกระแสแล้ว มันไม่น่าพูดถึงแล้วไปเลยครับ แล้วเราก็ไม่เลยรู้สึกอยากจะกลับไปทำสิ่งนั้นอีกด้วยซ้ำ อันนี้คือสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้เหมือนกันว่าไอเดียหลายๆ ไอเดียบางทีมันหมดอายุ บางทีมันมีเราคิดจะทำอยู่อ้าวมีคนอื่นทำไปแล้ว ไม่ว่าจะในประเทศไทยเอง หรือในที่อื่นก็ตาม เราก็ไม่อยากทำอันนั้นไปแล้วก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน ต้องรักมันมากพอครับ แล้วต่อให้มันจะรู้สึกเหมือนมีคนทำแล้วมันก็ยังกัดฟันทำต่อไปได้ เพราะสุดท้ายถ้าเกิดว่ามันเป็นของเราจริงๆ เราจะอินกับมัน แล้วก็จะแบบมันก็จะมีท่าที่มันสามารถแผ้วทางใหม่ๆ จนเกิดขึ้นได้ผมเชื่ออย่างนั้น ผมอาจจะยังไม่ได้อินกับมันมากพอ หรือว่าไปพึ่งพิงกับไอเดียที่มันเป็นกระแสจนเกินไป จนเราสุดท้ายเราก็ถอดใจกับไอเดียนั้นไป

วันแรกที่เดินเข้ากองถ่าย จนถึงปัจจุบันความรู้สึกยังเหมือนเดิมไหม ?

หมู: อาจจะประหม่าน้อยลง เพราะว่าตอนผมเรื่องแรกเลย ผมอายุน้อย 20 กลางๆ แล้วก็ใหม่ไปหมด เราไม่ได้โอโหทำงานมาอย่างโชกโชน อยู่ๆ ก็มาทำเลย มันก็จะประหม่า ทีมงานอายุมากกว่าเรา ประสบการณ์มากกว่าเราเป็น 10 ปี มันก็มีความไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก แต่ทุกวันนี้ก็จะก็จะชิลขึ้นครับ แล้วก็เหมือนเข้าใจมากขึ้นว่าความชิลนี่สำคัญนะ หมายถึงว่าเราไปทำการบ้านมาอย่างหนักแหละ แต่พอเรามาถึงเวลาที่เราต้องมาออกกอง วันที่เราเดินเข้าไปในกองบรรยากาศในการทำงานมันสำคัญ แล้วอารมณ์ของเรามีผลกับบรรยากาศนั้นมาก ถ้าเราผ่อนคลายถ้าเรารู้สึกว่ามันเราสามารถส่งพลังให้กับทุกๆ คนในกองได้ ไม่ใช่แค่นักแสดงเมนของเรา บรรยากาศมันจะดี แล้วเมื่อบรรยากาศดีทุกคนก็สามารถให้ของที่มันดีออกมาได้ เราเชื่อในสิ่งนั้น เราก็เลยรู้สึกว่าพอเราผ่อนคลายขึ้นมันน่าจะดีในการทำงาน

บิวกิ้น-พีพี
บิวกิ้น-พีพี

จุดเริ่มต้นโปรเจกต์ภาพยนตร์ซองแดงแต่งผี ?

หมู: เป็นโชคดีของผมอีกเช่นกัน ก็คือพี่โต้ง บรรจง เป็นคนต้นเรื่องนี้ครับ คือเขาไปดูหนังเรื่อนี้ต้นฉบับ หนังไต้หวันเรื่อง Marry My Dead Body ที่เทศกาลหนัง แล้วตอนที่เขาดูเขาก็ปิ๊งเลยตั้งแต่ตอนดูว่าน่าเอามารีเมค นี่มันมีทั้งเรื่อง LGBTQ+ มีทั้งเรื่องผี นี่มันท่าถนัดของหนังไทยเลยนะ แล้วตัวแสดงเมน 2 คน มีเสน่ห์มากครับ แล้วเขาก็ปิ๊งเลยว่าต้องเป็นพีพี บิวกิ้น เท่านั้น ถ้าพีพี บิวกิ้น ไม่เล่นเขาก็ไม่ทำเลยเรื่องนี้ครับ แล้วก็โชคดีอันนึงเขาดันนึกถึงผมเหมือนเขาชอบสไตล์คอมเมดี้ของหนังที่ผมทำ ก็เลยมันน่าจะเอาอันนี้จิ๊กซอว์มารวมกัน พอเขาออกจากโรงเขาก็โทรหาผมเลยว่าสนใจไหม ผมก็แบบได้ครับพี่ขอบคุณที่มอบโชคให้(ตอนพี่โต้งปิ๊งขึ้นมาว่าต้องเป็นบิวกิ้น พีพี เท่านั้นพอมาบอกพี่พี่เห็นภาพนั้นไหม) ตอนแรกผมไม่รู้จักหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันยังไม่มีให้ดูครับ เขาก็พูดมาผมก็ค่อนไปทางเชื่อ เพราะว่าเราศรัทธาในตัวพี่โต้งอยู่แล้วจากทุกๆ งานที่เราติดตามเขามา พี่โต้งเป็นคนทำหนังได้กว้างมากๆ หลากหลายมากๆ แล้วก็เซ้นต์แมสมากๆ ครับ เราไม่เคยเห็นพี่โต้งที่เป็นคนที่ถูกหนังของเขาเอง ถูกเอาไปรีเมคตลอดเวลา อยู่ๆ อยากจะรีเมคอันนี้แปลว่ามันต้องทีเด็ดมากเลยนะครับ เราก็เลยแอบเชื่อเขา เดี๋ยวผมขอดูหนังก่อนนะพี่แต่ใจก็โน้มเอียงไปทางรอดู แล้วพอเราดูเราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ในหนังต้นฉบับมันไม่ใช่พีพี บิวกิ้น แต่ว่าถ้ามันจะเป็นพีพี บิวกิ้น มันจะเป็นการดัดแปลงที่เราต้องมาดัดบท ดัดอะไรบางอย่างให้มันเข้ากับบ้านเรา ให้มันเข้ากับ 2 คนนี้มากขึ้น แต่ก็น่าสนุกดี น่าท้าทายดี แต่ไม่ได้รู้ในทันทีนะครับว่าจะทำยังไง ก็ค่อยๆ มาแบบมารวมทีมเขียนบท แล้วก็มาถอดโครงสร้างดูว่ามีอะไร เกิดขึ้นยังไงนะมันเรียงลำดับยังไง มีอะไรที่เราชอบบ้าง มีอะไรที่มันเป็นไฮไลท์ที่เรายังเก็บมันไว้ดีกว่า อะไรที่เราอยากจะดัดให้มันเข้ากับบริบทไทยที่มันจะเข้ากับนักแสดงของเรา

การดัดแปลงเยอะไหม ?

หมู: ผมว่าเค้าโครงไม่ได้เปลี่ยนมาก แต่ว่าในดีเทลรายละเอียดที่เราเติมเข้าไปเพื่อให้มันรู้สึกเซอร์ไพรส์ขึ้นสำหรับคนดูที่อาจจะเคยดูต้นฉบับมาแล้ว อะไรที่มันเป็นซีนไฮไลท์ อะไรที่เป็นต้นฉบับ บางอันส่วนใหญ่เราจะชอบมันเราจะยังเก็บมันไว้ แต่โอเคอาจจะเพิ่มลีลา เพิ่มอะไรบางอย่างที่มันต่างไปจากต้นฉบับบ้าง ให้มันรู้สึกแบบว่าเฟรชขึ้นอะไรอย่างนี้ครับ แต่ว่าถ้าเกิดเป็นซีนที่เพิ่มขึ้นมาเลย มันอาจจะเป็นผลพวงมาจากการดัดบางอย่าง อย่างเช่นตัวละครบิวกิ้นในเวอร์ชั่นไทยชื่อเม่นนะครับ เม่นถ้าเป็นต้นฉบับเป็นตำรวจ พอเราคิดว่าจะมีบิวกิ้นมาเล่นหน่วยก้านบิวกิ้นมันจะเหมาะเป็นตำรวจไหม เราก็ลองมาคิดกันดูแล้วก็ทบทวนกันไปมา พอค้นพบว่าลองไม่เป็นตำรวจดีกว่าเป็นสายตำรวจคือเป็นคนที่อยากเป็นตำรวจ เป็นโจรมาก่อนด้วย แล้วเรารู้สึกว่าพอโทนดาวน์มันลงมามันก็ดูเหมาะดีนะกับความคอมเมดี้ โดยที่ความทะเยอทยานความต้องการไดรฟ์ของตัวละครนี้ก็ยังอยู่ครบ เผลอๆ ชัดกว่าเดิมด้วย เพราะว่าเป็นโจรกระจอกทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง แต่ว่าหลงรักตำรวจรุ่นพี่ก็คือคุณก้อย อรัชพร เจ๊ก๊อย ซึ่งในต้นฉบับก็มีตัวละครนี้ ทำยังไงก็ได้เพื่อไปเคียงคู่หูของเธอ ในขณะที่ต้นฉบับจะรู้สึกว่าเขาเป็นคู่หูกันอยู่แล้ว มันก็มีมีความมือโปรมีอะไรอย่างนี้ อันนี้คือกูต้องทะเยอทยานขึ้นมันก็ดูด๋อยลงดี มันก็ดูเหมาะกับบิวกิ้นที่ดูเท่ เป็นคนที่แบบดูเท่อยู่แล้วต้องมารับบทที่มันคอมเมดี้ขึ้นอะไรอย่างนี้ ก็ดูเหมาะกับหนังคอมเมดี้ดี

ในมุมมองพี่หมูเขาสามารถทำให้ลืมภาพความเป็นบิวกิ้นได้ไหม ?

หมู: ผมไม่ได้แคร์มากมั้งว่าเขาจะต้องดูไม่ใช่บิวกิ้น ผมว่าใช้ประโยชน์จากความเป็นบิวกิ้นนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันเป็นมุมที่อาจจะไม่ค่อยได้เห็นในงานที่ผ่านๆ มามากนัก เหมือนศักยภาพความคอมเมดี้ของบิวกิ้นจริงๆ มันมีอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว เป็นตัวตนระดับนึงแต่ว่าพอเรื่องนี้เหมือนดันเบอร์ให้เขา ให้เขากล้าเล่นกล้าอะไรแล้วก็ประทับใจนะครับ เหมือนเขาละลายทุกอย่างทำอะไรก็ได้ ไม่กลัวไม่หล่อไม่ห่วงลุคไม่อะไรเลย แล้วก็สะใจทำอะไรก็ได้หมด

บิวกิ้น-พีพี
บิวกิ้น-พีพี

การร่วมงานกับบิวกิ้นพีพีเป็นยังไงบ้าง ?

หมู: ประทับใจคำแรกที่นึกขึ้นมารู้สึกประทับใจ แล้วก็รู้สึกแบบมันดีไปกว่าที่เราคาดหวังไว้อีก ในความทุ่มเทของทั้งคู่ ที่เราอาจจะเคยเห็นภาพว่าแบบเขาดูแพงนะ ดูพรีเมียม ดูแบบศิลปิน แต่ว่าให้มึงมาคลุกขี้โคลนอะไรก็ทำได้ เละเทะไม่ห่วงหล่อ ห่วงสวย ร้องไห้ ตาบวมอะไรก็ทำได้หมด เราในฐานะคนทำนี่แหละนักแสดงแบบที่เราชอบในฝันที่แบบว่า เมื่อเขาถึงเวลาต้องมาทำงานเขาก็ทุ่มเต็มที่ ก็จะประทับใจส่วนนี้มากๆ

เซ้นต์การแสดงของทั้งคู่เป็นยังไงบ้าง ?

หมู: บิวกิ้นให้เครดิตกับหลานม่าละกันครับ รู้สึกว่าพอหลานม่าได้มีการ ผมไม่รู้ว่าเขาทำยังไงนะ เขาอาจจะเวิร์คช็อปหรือว่าผ่านอะไรกันมา รวมถึงให้เครดิตบอสด้วยละกัน บอสที่ทำตั้งแต่แปลรักอะไรอย่างนี้มาครับ เหมือนเขาผ่านอะไรกันมาเยอะ แล้วเขาก็ปลดล็อกอะไรบางอย่างกันมา จนกระทั่งทำให้บิวกิ้นเหมือนกล้าเล่นในทุกแบบ เขาไม่ห่วงลุคไม่ห่วงอะไร นักแสดงบางคนอาจจะแบบมีเส้นอะไรบางอย่างอยู่ รู้สึกบิวกิ้นแทบไม่มีเส้นอะไรเลย มันหล่ออยู่แล้วด้วยมั้งมันก็เลยไม่ค่อยห่วงหล่อก็เลยชอบสิ่งนี้ ส่วนพีพีนี่เป็นหนังเรื่องแรก แล้วก็พีพีจะมีความตั้งใจมากๆ ความตั้งใจมากๆ นั้นก็กลายเป็นความกดดันบ้างด้วยเหมือนกันบางที ฉันจะทำให้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด เราในฐานะคนทำก็จะมีหน้าที่แบบผ่อนคลายได้ ทำดีแล้ว เพื่อให้เขาสบายใจแล้วพอสบายใจก็จะดี จริงๆ ถ้าเราเหมือนจับจุดได้ก็จะทำให้เป็นอย่างนี้แค่นั้นเองครับ แล้วพีพีก็จะเปล่งประกายเลยเมื่อเขาสบายใจ ผมอะเข้าใจเลยว่ามันกดดัน เพราะว่ามันแบกหนังทั้งคู่นะครับ แล้วก็พีพีมีเรื่องของเทคนิคเยอะ เขาเป็นวิญญาณเป็นผีมันจะมีเรื่องต้องขึ้นสลิง ต้องอุปกรณ์ต้องอะไรอย่างนี้ แล้วมันก็ขจะแบบ Distract จากแอคติ้งโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องให้เขาเข้าใจว่ามันมันเป็นธรรมชาตินะที่เราจะรู้สึก อาจจะไม่สบายบางอย่าง ก็จะให้กำลังใจให้เต็มที่

ความคอมเมดี้ของทั้งคู่เป็นไงบ้าง ?

หมู: โชคดีว่ามันมาเล่นด้วยกัน ผมรู้สึกว่าพอมันอยู่ด้วยกันแล้วมันผ่อนคลาย เพราะมันคุ้นชินมันผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมาก พออยู่ด้วยกันเขาจะผ่อนคลายลงด้วยธรรมชาติ แล้วก็เวลาเขาแกล้งกันหรืออะไรกันมันเลยธรรมชาติ ซึ่งอันนั้นคือสิ่งที่ดีเวลามันเป็นคอมเมดี้ ผมถนัดทำคอมเมดี้แบบสถานการณ์ คือไม่ใช่สกิลในการทำตลก ผมนับถือคนที่ทำสกิลแบบตลกได้ เช่น นักแสดงตลกคาเฟ่ นักแสดงที่เล่นมุขเป็นตับ ผมทำอย่างนั้นไม่เป็นผมจะแบบว่ามึงเป็นชายแทร่คนนึงที่ซวยต้องมาเจอวิญญาณผี แล้วมึงแค่เหวอแล้วกล้องจับให้มันถูกมุมให้ถูกจังหวะมันก็จะเกิดความคอมเมดี้ขึ้น แต่มึงไม่ได้ตลกนะ มึงคือกลัวมากๆ เลย แต่กล้องมันเล่าให้มันตลก เราก็จะใช้วิธีเหล่านี้ในการสร้างคอมเมดี้ขึ้นมา

ซองแดงแต่งผี
ซองแดงแต่งผี

วิธีการแคสนักแสดงให้ตรงบทบาท ?

หมู: นักแสดงท่านอื่นมีความสำคัญมากๆ กับแต่ละบทเลย เพราะว่าอย่างเช่น บทอาม่า ก็คือเหมือนตัวต้นเรื่องของไอเดียหนังเรื่องนี้เลยเป็นคนจัดพิธีแต่งงานกับผี เราก็ต้องการคือต้นฉบับอาม่าน่ารักมาก มีเสน่ห์แล้วก็แบบอบอุ่นใจดี แล้วก็มีความดูแล้วแบบ dramatic ได้ด้วย โชคดีมากก็คือได้ป้าปุ๊ ปิยะมาศ มา ซึ่งก็เป็นนางเอกในตำนาน ผ่านงานมาเยอะแยะ คือสร้างหนังเองด้วย แล้วก็เล่นตลกซิทคอมมามากมายก็รู้สึกเพอร์เฟกต์เลย คือจังหวะตลกแกก็เป๊ะ จังหวะที่ต้อง dramatic ที่ทำให้เรารู้สึกซึ้งซาบซึ้งแกก็ทำได้แบบเปิดสวิชต์อะไรอย่างนี้ครับ บทอย่างตัวละครผู้ร้ายเสี่ยโจ้ ได้อาจตุรงค์มา ก็คือดูต้นฉบับก็คือนึกถึงอารงค์อยู่แล้วเลยเพราะว่าหน้าก็เหมือนอะไรอย่างนี้ครับ แล้วก็ในประเทศนี้ต่อให้อารงค์จะเล่นหนังมากี่ร้อยเรื่อง ผมก็ยังอยากดูอารงค์อยู่ดี เพราะแกมีของตลอดเวลา เขียนบทเพิ่มให้แกด้วยซ้ำ (มีเพิ่มบทเข้าไปด้วย) ใช่ครับ ก็มีความสุขทุกมากเวลาได้กำกับอารงค์ หรืออาแอนนาที่เป็นซินแสนะครับ อาแอนนา ชวนชื่น รู้สึกว่าวิธีพูดสำเนียงของแกสวรรค์ลิเขียดมาเลี้ยว มันต้องเป็นคนนี้แหละที่จะพูดเรื่องที่เป็นแบบวัฒนธรรมจีนๆ แล้วก็ความเชื่อต่างๆ ด้วยน้ำเสียงด้วยสำเนียงแบบนี้ เราก็แฮปปี้ที่เป็นอาแอนนา พี่แข รัศมีแข บทนี้ในต้นฉบับจริงๆ บทแทบไม่มีอะไรเลยครับ เป็นแค่นักเลงกล้ามโตเฉยๆ แต่เราเกิดปิ๊งขึ้นมาว่าถ้าคนนี้เอาพี่แขมาเล่น แล้วให้พี่แขเล่นเป็นชายแทร่แบบโหดๆ นักเลงเลย คือไม่ใช่พี่แขแบบที่เรารู้จัก โมเมนต์ตอนที่ถูกผีตี่ตี๋สิงอะแล้วเขาจะกลับมาเป็นแบบ LGBTQ+ มันน่าจะฮาดีอะไรอย่างนี้แค่นั้นแหละครับ ก็เลยเลือกพี่แขมา ก็ขอบคุณพี่แขมากที่แบบมาเล่นบทที่ไม่ใช่ตัวเองเอาเสียเลย แต่เรารู้สึกว่ามันลุ้นดี สนุกดี อย่างบทก้อยก็ชื่อเจ๊ก๊อย ตัวละครชื่อเจ๊ก๊อยคือเรามีก้อยเป็น reference แต่เราก็มีการแคสนะครับ แต่ก็สุดท้ายก็ก้อยจริงๆ แต่ว่าจะบทที่ยากมากเลย จะเป็นป๊าของตี่ตี๋ครับ ซึ่งถ้าได้ดูต้นฉบบับก็จะรู้ว่าบทนี้สำคัญมากเป็นคีย์แมนเลย อันนี้แคสอยู่นานมากหาอยู่นานมากว่าใครนะที่จะดีกรีของความเข้มงวด ความตึงบางอย่างที่จะทำให้เราเชื่อที่จะไม่มากไป ไม่น้อยไป ที่จะเหมาะกับการจะมาเป็นป๊าของตัวละครตี่ตี๋จริงๆ อันนี้ได้พี่สังข์มา พี่สังข์เป็นผู้กำกับละครเวทีส่วนใหญ่ โชคดีมากที่เป็นพี่สังข์

สิ่งสอดแทรกไว้ในความฮา ?

หมู: ถ้าเอาแบบสาระนะครับ มันมีสาระอยู่ด้วยนะครับ ผมรู้สึกว่าประเด็นของความหลากหลาย ความเข้าใจในความหลากหลายทางเพศ เป็นสิ่งที่แอบรู้สึกว่าถ้าเราดูเรื่องนี้แล้วเราอาจจะเปิดใจกับเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นก็เป็นได้ เพราะว่าสิ่งที่ตัวละครชายแทร่อย่างไอเม่นต้องเผชิญในเรื่องนี้มันคือการที่แบบกูไม่เคยเปิดใจเรื่องเหล่านี้เลย กูไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้ ไม่อยากเข้าใจด้วยซ้ำ แต่สถานการณ์มันทำให้ตัวมันต้องมาอยู่กับวิญญาณ LGBTQ+ ที่เราไม่คุ้นชิน แต่เมื่อได้มาใช้เวลาด้วยกันได้เข้าใจเขาจริงๆ ได้เผชิญอะไรบางอย่างที่ทำให้เข้าใจเขา แล้วรู้สึกร่วมไปกับเขาจริงๆ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเพจเรื่งออะไรทั้งสิ้น ความสนิท ความมิตรภาพมันเกิดขึ้นได้กับใครก็ตามได้หมด ซึ่งอันนี้เป็นประสบการณ์ของตัวผมเองด้วยมั้งที่รีเลทกับสิ่งนี้ ตอนมัธยมผมก็แบบว่าเป็นเพื่อนเป็นชายแทร่ท่านนึงไม่ได้สนใจความหลากหลายอะไร พอขึ้นมหาลัยแล้วเราเจอความหลากหลายนั้น แล้วเรารู้สึกว่ามันสนุกมาก รู้สึกโลกมันกว้างขึ้นรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เองสังคม การมีความหลากหลายมันดีนะ แล้วเราก็รู้สึกว่าการที่เราได้มาทำหนังเรื่องนี้แล้วพูดเรื่องนี้ มันรีเลทกับเรื่องนี้ที่เราเชื่อเหมือนกัน ก็ดีใจที่ได้ถ่ายทอดอันนี้ถึงแม้มันจะเป็นสาระที่รองอยู่ในความบันเทิงก็ตาม ดีใจที่ได้พูดข้อความนี้ ผมว่าถ้าคนดูสนุกนะ และรู้สึกตามไปกับสิ่งที่ตัวละครได้เผชิญมันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติเองก็ได้มั้งครับ ที่เราจะแบบเข้าใจเรื่องนี้ได้มากขึ้น เพราะผมว่าไอเม่นเมื่อคุณได้เผชิญและรู้สึกร่วมตามไปกับตัวละครเม่นมันจะปลดล็อกได้เองว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่ได้กะเกณฑ์ใดๆ

ความคาดหวังกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ?

หมู: เราก็คาดหวังให้คนดูสนุกนะครับ ก็อยากให้บันเทิงแล้วก็อยากให้รู้สึกว่าไม่ว่าคุณจะเคยดูต้นฉบับ หรือไม่เคยดูก็สนุกกับมัน ถ้าเคยดูแล้วก็จะเซอร์ไพรส์กับมัน แล้วก็อะไรที่เคยประทับใจจากต้นฉบับก็จะยังคงอยู่ แล้วก็ทราบซึ้ง ถ้าจะอินเป็นพิเศษมากขึ้นเพราะว่าด้วยบริบทที่เราปรับแล้วก็จะดีใจด้วยเช่นกันอะไรอย่างนี้ครับ ฝากภาพยนตร์เรื่องล่าสุดซองแดงแต่งผีนะครับ หนังในรอบ 6 ปีของผมครับ นานจัง เดี๋ยวรอบหน้าจะเร็วขึ้นนะครับ ฝากด้วยนะครับ 20 มีนาคมนี้นะครับ สนุกแน่นอนครับดูในโรงกับคนหมู่มากหนังตลกดูในโรงสนุกครับ ขอบคุณครับ

สั่งชาเขียวหวานน้อย ทำไมได้น้ำเปล่ากลับมา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก