“ปุ้ย” พรชัย เค้าแก้ว สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬาไทยที่คว้าเหรียญรางวัลในกีฬาเอเชียนเกมส์ได้มากที่สุด โดยสามารถทำได้ 10 เหรียญทอง จากการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์รวม 5 ครั้ง
นับตั้งแต่ที่ ปูซาน ปี 2002, โดฮา ปี 2006, กว่างโจว ปี 2010, อินชอน ปี 2014 และ จาการ์ตา-ปาเล็มบัง ปี 2018 ซึ่งถือได้ว่าเป็นนักกีฬาไทยเพียงคนเดียวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในขณะนี้
และตัวฟาดจอมเก๋าวัย 42 ปี เตรียมที่จะเขียนตำนานบทใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการคว้าเหรียญทองมาครองเพิ่มเติมในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ “หางโจว 2022” ที่ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 8 ตุลาคม 2566
เพื่อปิดฉากความยิ่งใหญ่ในฐานะนักกีฬาเซปักตะกร้อทีมชาติไทยอย่างสมบูรณ์แบบและสร้างสถิติอันสวยหรูให้คนรุ่นหลังได้จดจำและพูดถึงไปอีกนานแสนนาน
แต่กว่าที่ พรชัย จะก้าวขึ้นมาเป็นเทพเจ้าตัวฟาดแห่งวงการลูกหวายไทยได้ ตัวเขาเองยอมรับว่าไม่คิดไม่ฝันมาก่อน เพราะเส้นทางชีวิตนักกีฬาของเขา มีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ตัวประกอบในทีม” โดยทำหน้าที่เป็นแค่ตัวชงและโยนลูกอย่างเดียวเท่านั้น
เป็นลูกชาวนา คนในหมู่บ้านชอบเล่นตะกร้อ จึงลองหันเล่นตามรุ่นพี่
พรชัย เค้าแก้ว : สวัสดีครับ ผม ร้อยโท พรชัย เค้าแก้ว ชื่อเล่นชื่อปุ้ย อายุ 42 ปีครับ
สำหรับประวัติส่วนตัวของผมนะครับ เดิมทีเลยผมเป็นคนบ้านนอกครับ อยู่หมู่บ้านโสกกระหนวน ตำบลก้านเหลือง อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น เป็นลูกชาวนานะครับ เริ่มหัดเล่นกีฬาตั้งแต่ตอนอายุ 11 ขวบ ที่โรงเรียนบ้านโสกกระหนวน เพราะว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ครับที่เล่นตะกร้อกัน มีรุ่นพี่ที่ชอบเล่นตะกร้อกันทั้งหมู่บ้านเลยครับ
สาเหตุที่คนในหมู่บ้านชอบเล่นตะกร้อกัน เพราะว่าตอนนั้นวัยรุ่นในหมู่บ้านไม่เยอะ ไม่สามารถเล่นทีมฟุตบอลได้ครับ โดยส่วนตัวผมก็ชอบเตะฟุตบอลเหมือนกัน แต่ด้วยคนในหมู่บ้านชอบเล่นกีฬาเซปักตะกร้อ ก็เลยหัดเล่นตามรุ่นพี่ครับ
ตอนเด็กๆ เราก็ยังไม่มีความฝันเป็นนักกีฬา เพราะว่าตามพื้นเพตามหมู่บ้านของเรา อาชีพเดิมๆ คือทำนาครับ ผมยังไม่มีความสามารถในทักษะการเล่นกีฬา ก็ยังไม่ได้คิดไม่ได้ฝันเลยว่าจะมาเล่นกีฬาถึงระดับนี้ได้ ตอนเราหัดเล่นใหม่ๆ ก็เหมือนตัวประกอบในทีม ก็เหมือนเป็นตัวชง ตัวโยนลูกอย่างเดียวครับ
ผมเริ่มจริงจังสำหรับการเล่นกีฬาเซปักตะกร้อในช่วงอายุประมาณ 14 ปี เพราะว่าตอนจบ ป.6 ผมได้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนประจำตำบล คือที่โรงเรียนบ้านก้านเหลืองวิทยาคม พอจบ ม.1 อาจารย์จำลอง เอี่ยมอ่อน แกเป็นคนทำกีฬาเซปักตะกร้อของโรงเรียนประจำอำเภอครับ ก็เลยดึงผมกับเพื่อนเข้าไปเรียนที่โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม ก็ได้เล่นกีฬาเซปักตะกร้ออย่างจริงจังตอนนั้นเลยครับ
สมัยเด็กกวาดแชมป์มากมาย และเส้นทางสู่ทีมชาติไทย
พรชัย เค้าแก้ว : หลังจากที่ผมย้ายจากโรงเรียนบ้านก้านเหลือง ไปที่โรงเรียนเมืองพลพิทยาคมนะครับ คือที่โรงเรียนเมืองพลพิทยาคมเขาจะมีส่งแข่งกีฬาประจำจังหวัดขอนแก่นครับ ผมก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ตอนอายุ 14 ปี, 16 ปี, 18 ปี ตามลำดับมาเรื่อยๆ แล้วก็สามารถได้แชมป์ในระดับ 14 ปี, 16 ปี และ 18 ปี ให้กับโรงเรียนด้วย มันก็เลยเริ่มทำให้เราจริงจังในการเล่นกีฬามากขึ้น
ช่วงอายุ 15-16 ปี จะมีแข่งรายการชิงแชมป์ประเทศไทย ของเครือซิเมนต์ไทย ผมก็อยู่ในทีมจังหวัดขอนแก่น ได้เข้าไปแข่งในรายการนั้นด้วย แล้วก็สามารถเข้าไปถึงรอบชิงแชมป์ประเทศไทย และได้รองแชมป์ประเทศไทยครับ ก็เป็นอีกก้าวหนึ่งครับที่ได้เข้าไปคัดเลือกตัวนักเรียนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี
สำหรับเส้นทางสู่ทีมชาตินะครับ หลังจากที่ผมจบ ม.6 ที่โรงเรียนเมืองพลพิทยาคมแล้วนะครับ ผมก็ได้เข้าไปฝึกซ้อมที่บ้านบะขามครับ โดยมีอาจารย์ต้น อาจารย์ต่อ เป็นผู้ฝึกสอนครับ แล้วตอนนั้นทางบริษัท สิงห์ ขอนแก่น จัดแมตช์ทัวร์นาเมนต์ขึ้น โดยเชิญทีมชาติไทยกับทีมชาติมาเลย์ไปแข่งในงานสงกรานต์ครับ
ผมและเพื่อนของผมก็ได้เล่นให้ในนามทีมสิงห์ ขอนแก่น แล้วก็สามารถเอาชนะพวกรุ่นพี่ทีมชาติและทีมชาติมาเลเซียได้ในตอนนั้น แต่ก็ไม่ถึงแชมป์นะครับ แพ้ทีมชาติชุดใหญ่อีกชุดหนึ่งไป ได้แค่รองแชมป์ในรายการนั้นครับ ทางสตาฟโค้ชและผู้จัดการทีมก็เห็นแววของผม ก็เลยดึงเข้ามาคัดตัวทีมชาติครับ
กีฬาเซปักตะกร้อของเรามีการเปลี่ยนแปลงครับ เพราะว่าตอนแรกผมยังขึ้นฟาดไม่เป็น ผมก็โยนลูกให้เพื่อน แล้วก็ชงให้เพื่อนครับ พอผมย้ายเข้ามาที่โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม ผมก็ค่อยๆ ศึกษาการกระโดดขึ้นฟาดครับ ก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองให้เป็นตัวฟาด หรือเป็นตัวเตะได้เหมือนทุกวันนี้ครับ
พรชัย เค้าแก้ว กล่าว
เกียรติประวัติสำคัญ พรชัย เค้าแก้ว
- แชมป์ตะกร้อชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ 19 สมัย
- 16 เหรียญทองซีเกมส์
- 10 เหรียญทองเอเชียนเกมส์
ความภูมิใจของเด็กบ้านนอก ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมาไกลขนาดนี้
พรชัย เค้าแก้ว : แต่ก่อนเห็นพี่ๆ ในทีวี เพราะเรายังเด็กอยู่ เห็นพี่ๆ แข่งในรายการซีเกมส์, เอเชียนเกมส์ เห็นพี่ “ปุ๊ เกรียงไกร มุทาลัย” พี่เขาเล่นได้ดีมากครับ มันเป็นแรงดึงดูดให้เรา ทำให้เรามีความฝันว่าอยากเก่งเหมือนรุ่นพี่ในทีมชาติครับ
ในส่วนตัวผม ผมภูมิใจมากครับ จากที่ผมเป็นเด็กตามหมู่บ้าน ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะได้มาไกลขนาดนี้นะครับ มีความภูมิใจเป็นอย่างมากครับที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ
ทำให้น้องๆ หลายๆ คนที่ไม่รู้จักกีฬาเซปักตะกร้อเลย ให้มารู้จักกีฬาเซปักตะกร้อ แล้วก็เล่น บางคนบอกผมว่าหัดเล่นตะกร้อ เพราะผมด้วยอย่างนี้ครับ ผมภูมิใจมากๆ ครับ ที่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ที่กำลังเล่นกีฬาอยู่ทุกวันนี้ครับ
พรชัย เค้าแก้ว กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
ขอเล่นเอเชียนเกมส์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนอำลาวงการเซปักตะกร้อ
พรชัย เค้าแก้ว : สำหรับเป้าหมายในปีนี้ เดิมทีผมก็มีความฝันไว้ว่า อยากเล่นกีฬาเอเชียนเกมส์อีกสักครั้งนะครับ ด้วยวัยอายุ เดิมทีเอเชียนเกมส์มันจะมีในปีที่แล้วครับ เนื่องจากมันเลื่อนมาแข่งในปีนี้ คือตั้งเป้าว่าอยากจะรักษาสภาพร่างกายตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้เป็นตัวแทนทีมชาติในการแข่งขันซีเกมส์, เอเชียนเกมส์ ในปีนี้ครับ
สำหรับทีมเซปักตะกร้อของเรานะครับ ก็แน่นอนครับ การแข่งขันทุกรายการ เราไม่สามารถพลาดได้ครับ ก็ตั้งเป้าว่าจะกวาดเหรียญทองให้กับพี่น้องชาวไทยให้ได้ทุกเหรียญครับ
อยากเล่นเอเชียนเกมส์อีกสักครั้งครับ ก่อนที่จะเลิกนะครับ มันเป็นประจวบเหมาะพอดีครับ พอจบเอเชียนเกมส์ปีนี้ก็คิดว่าตัวเองก็จะเลิกแล้วครับ
พรชัย เค้าแก้ว ตั้งเป้าคว้าเหรียญทองให้แฟนกีฬาชาวไทย
สำหรับแผนในอนาคตของผมนะครับ ตอนนี้รับราชการทหารครับ เดิมทีก็เป็นผู้ช่วยโค้ชของสโมสรทหารบกอยู่แล้วครับ ก็จะศึกษาเรื่องการเป็นโค้ชด้วยนะครับ ก็จะพยายามศึกษาแล้วก็แนะนำความรู้ที่ตัวเองมี ไปพัฒนาน้องๆ ในอนาคตต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในระดับสโมสร หรือว่าจะมีโอกาสมาช่วยน้องๆ ในระดับทีมชาติ ก็คิดไว้และวางแผนไว้ในลักษณะนี้ครับ
ผมในนามตัวแทนของนักกีฬาเซปักตะกร้อนะครับ ก็จะทำหน้าที่ของตัวเองในสนามให้ดีที่สุด แล้วก็จะเก็บเหรียญทองมาฝากพี่น้องชาวไทยให้ได้เยอะที่สุดครับ ขอบคุณมากครับ
เทพเจ้าตัวฟาดตะกร้อไทย วัย 42 ปี กล่าวทิ้งท้าย