กลายเป็นกระแสร้อนแรงต่อเนื่องกับเรื่องราวของ “ครูกายแก้ว” ที่มีการระบุว่า เป็นบรมครูผู้เรืองเวทย์ มีรูปลักษณ์คล้ายกับผู้บำเพ็ญตน นั่งขัดสมาธิ หน้าตาน่าเกรงขาม ด้านหลังมีปีก ตามีสีแดงฉาน เล็บยาวงุ้ม

ส่วนบริเวณใบหน้ามีเขี้ยวคล้ายนกการเวก ซึ่งเป็นสัตว์โบราณในป่าหิมพานต์ จึงเชื่อกันว่าครูกายแก้วเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งนก และอ้างว่า “ครูกายแก้ว” เป็นครูบาอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด จนทำให้นักวิชาการหลายคนออกมาโต้แย้ง และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมมากมาย เพราะมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ

กระแส “ครูกายแก้ว” บูม หวังขายตลาดคนจีน

“ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ” ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ให้สัมภาษณ์กับทีมงาน FEED ว่า “มันก็ปกตินะ เพราะสังคมมันไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ถ้าสถานการณ์บ้านเมือง สถานการณ์การเมือง สถานการณ์ทางสังคม มันไม่มั่นคง มันก็จำเป็นที่จะต้องมีอะไรยึดเหนี่ยว ก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

“แต่คำถามก็คือตัวยึดเหนี่ยวอย่าง “ครูกายแก้ว” ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องอะไรบ้าง เพราะเท่าที่ตามดูตอนแรกจากข่าวรถติด แล้วก็ไปดูว่าเป็นใคร เพราะเราไม่รู้จักเลย พอไปดูถึงได้รู้ จริงๆ แต่เดิมหลักฐานมันมาจากการบูชาครูเพลงไทยเดิมคนหนึ่งของกรมดุริยางค์ทหารบก แล้วมันก็สัมพันธ์กับตัว “ครูกายแก้ว” ที่มีรูปลักษณ์ครึ่งคนครึ่งนกการเวก และมีความเชื่อว่าจะทำให้เสียงดี”

ครูกายแก้ว
ครูกายแก้ว

“แต่ตอนหลังมาเช็กดู คนบูชากันเรื่องโชคลาภ เรื่องความร่ำรวย มันก็ชัดเจนว่าเศรษฐกิจมันแย่ ศาสนาหลักๆ ในทีนี้ไม่ใช่แค่พุทธนะ หมายถึงทุกศาสนาเลย มันไม่ตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้ มันไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงเศรษฐกิจได้ ซึ่งก็ไม่แปลก ถือเป็นเรื่องปกติ”

“อีกประเด็นหนึ่งที่มันน่าสนใจคือ ทุกวันนี้สายมูได้พยายามโยงเข้ากับประวัติศาสตร์ มันเห็นชัดนะว่าคนที่มูพยายามที่จะสร้างสตอรี่ ให้มีชีวิตจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งมันก็น่าสนใจดี แต่ทุกกระแสวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มันมาแบบ POP UP มากเลย มาแป๊ปหนึ่งๆ”

ผมไม่คิดว่าตลาดของเขาคือตลาดคนไทยเท่าไร ผมคิดว่าเขาน่าจะขายคนจีนนะเท่าที่ดู ต่อให้ในไทยมันจะเงียบไปแล้ว เขาก็น่าจะขายกลุ่มคนเชื้อสายจีนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง ที่เขาชอบมาไหว้ที่ห้วยขวางกัน ทุกวันนี้ตลาดนั้นใหญ่กว่าเราด้วยซ้ำนะ

“อย่างเช่นตอนช่วงโควิด ปัญหาหนึ่งที่ผมรู้คือ คนจีนที่เขาเข้ามามาไทยไม่ได้ เขามีปัญหาว่ามาแก้บนไม่ได้ มันก็เลยต้องมีรับจ้างแก้บนออนไลน์ให้คนจีน ซึ่งคนที่เป็นไกด์พาคนจีนไปไหว้ตามที่ต่างๆ ตอนนั้นพวกไกด์ตกงาน”

“สิ่งที่เขาต้องทำคือรับแก้บนออนไลน์ เมื่อไปถึงสถานที่แก้บนแล้ว ทำตามขั้นตอนพิธีกรรมต่างๆ ให้ถูกต้อง แล้วคนจีนก็โอนเงินมาให้ ต้องบอกว่าตลาดจีนตอนนี้ใหญ่มากเลย คุณนึกง่ายๆ เลยอยู่ห้วยขวาง มันแทบจะมณฑลไท่กั๋วแล้ว”

บูชารูปปั้นอย่างนี้จะเป็นสวัสดิมงคลได้อย่างไร

“ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ” อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ปรากฏข่าวเรื่องครูกายแก้วว่าเป็นรูปเคารพที่ได้รับความนับถือในหมู่คนจำนวนหนึ่ง นัยว่าครูกายแก้วนี้เป็นครูบาอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด

ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ผมยังไม่เคยเห็นหลักฐานยืนยันได้แน่นอนว่าเล่าลือกันมาจากที่ไหน ความเลื่อมใสในเรื่องอย่างนี้แม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่สามารถบ่งบอกถึงความไม่มั่นคงทางจิตใจของสมาชิกในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และถ้าไม่เกรงใจกันแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นระดับที่สูงมากเสียด้วย

รูปอะไรก็ไม่รู้ที่กราบไหว้กันอยู่นี้ มองในทางศิลปะก็สอบไม่ผ่านแน่ จะว่าเป็นมนุษย์ก็เห็นจะไม่ใช่ จะเป็นสัตว์ก็ไม่เชิง ผมยังนึกไม่ออกว่าการไปบูชารูปปั้นอย่างนี้จะเป็นสวัสดิมงคลได้อย่างไร แถมเกรงว่าจะเกิดผลตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ

สำหรับประเพณีบ้านเมือง สถานการณ์อย่างนี้คล้ายกับที่คนแต่โบราณท่านพูดว่า ผีป่าก็จะวิ่งมาสิงเมืองยิ่งนัก เฮ้อ!

ครูกายแก้ว
ครูกายแก้ว

ยุคเสื่อมศีลธรรมที่แท้ทรู #ปีกมีไว้ทำไมก่อน

“แพรรี่ ไพรวัลย์” หรืออดีตพระมหาไพรวัลย์ โพสต์ข้อความว่า บ้ากันไปใหญ่ล่ะ เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ยุคเสื่อมศีลธรรมที่แท้ทรู อย่าหาทำนะคะ การทำลายชีวิตสัตว์อื่น ถือเป็นบาปและไม่ก่อให้เกิดผลสำเร็จใดๆ ในสิ่งที่อ้อนวอนปรารถนาค่ะ

การบูชายัญที่ถูกต้องในทางพระศาสนา คือการให้ชีวิต ไม่ใช่การทำลายชีวิต คือการเจริญเมตตา แบ่งปันสิ่งของแก่บุคคลที่ควรให้ ไม่ใช่การเซ่นสรวงบูชาอย่างที่ทำกันนะคะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ชัดเลยว่า ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ ผู้ให้ชีวิตย่อมได้ชีวิต เมื่อให้อายุย่อมได้อายุ เพราะเป็นเหตุให้มีอายุขัยยืนยาว

เมื่อให้อภัยและให้ความอิสระเสรีแก่สัตว์อื่น ย่อมมีอิสรภาพไปทุกภพทุกชาติ อย่าหาทำค่ะ จะกราบไหว้บูชาอะไร บางทีก็ควรศึกษาหาความรู้ก่อนนะคะ ไม่ใช่กรูกันไปตามกระแสนิยมอย่างเดียว

ไปไหว้ไปขอไปบูชา ไม่รู้ว่าเอาอะไรใส่ตัวกลับมาบ้าง ดีหรือเปล่า เป็นมงคลหรืออวมงคล เป็นของดำหรือของขาว รู้แหล่ะว่าการกราบไหว้บูชา มันเป็นสิทธิและความเชื่อส่วนบุคคล แต่อะไรที่พอติพอเตือนกันได้ ก็อยากติอยากเตือนนะคะ

นอกจากนี้ แพรรี่ ไพรวัลย์ ยังโพสต์อีกว่า ศักดิ์สิทธิ์เพราะติดสะพานลอย #ปีกมีไว้ทำไมก่อน จบ

ในจารึกกัมพูชาไม่พบชื่อ “ครูกายแก้ว”

“ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา” อาจารย์ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร กล่าวว่า ตามที่มีการอ้างว่า “ครูกายแก้ว” เป็นครูบาอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด โดยชื่อครูของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดมีบันทึกไว้ในจารึกที่ปราสาทตาพรหม มีการพูดถึงการสร้างปราสาทตาพรหม ซึ่งสร้างเพื่ออุทิศให้พระราชมารดา

โดยเอารูปนางปรัชญาปารมิตาตั้งตรงกลางเป็นตัวแทนของพระมารดา และทั้ง 2 ข้างตั้งรูปครูของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด แล้วระบุชื่อว่า “ศรีชยมังคลารถเทวะ” และ “ศรีชยกีรติเทวะ” เพราะฉะนั้นชื่อครูของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดตามที่มีในจารึกคือมีเพียง 2 ชื่อ

ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา
ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา
ภาพจาก : มติชนออนไลน์

แต่ในจารึกสมัยหลังมีการพูดถึงชื่อ “ศรีชยมหาประธาน” ซึ่งท่านอายุยืนมาก มีอายุถึง 104 ปี หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ดสวรรคตแล้ว ก็ยังเป็นครูของกษัตริย์องค์ต่อไปด้วย

ส่วนกรณีที่มีการอ้างว่า พบภาพสลัก “ครูกายแก้ว” ที่ปราสาทนครวัด กัมพูชา เพราะมีรูปของบุคคลหนึ่งซึ่งมีปีก ผศ.ดร.กังวล กล่าวว่า ภาพสลักดังกล่าว เป็นภาพฤๅษีที่มีปลายผ้าที่ตวัดไปด้านหลัง ไม่ใช่ปีกแต่อย่างใด

ส่วนการบูชายัญด้วยลูกสุนัขและลูกแมว ถ้าเชื่อว่าการบูชายัญด้วยชีวิตได้ผลสูงสุด ไม่ต้องไปใช้ชีวิตสัตว์อื่น ให้บูชาด้วยร่างกายตัวเอง เริ่มจากนิ้วก่อนเลย เพราะมีตั้ง 5 นิ้ว เฉือนบูชาสัก 3 นิ้วก็น่าจะพอ

ไม่ขอกราบไหว้ เพราะนึกว่าเป็นซาตาน

“ริว จิตสัมผัส” หมอดูชื่อดัง กล่าวว่า มีคนถามพี่ริวว่าคิดยังไงกับครูกายแก้ว มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แล้วแต่ใครจะเชื่อนะ แต่ตามความเชื่อของพี่ริว พี่ริวเน้นไหว้พระทำบุญก็พอแล้ว

ส่วนศาสตร์ความเชื่ออะไรที่มันผิดแปลกแหวกแนวออกไปก็ไปคิดกันเอาเองก็แล้วกัน ตัวพี่ริวก็คงไม่ได้กราบไหว้ เรื่องนี้พี่ริวรู้มานานแล้วตั้งแต่สมัยอาจารย์ท่านยังอยู่ มีคนใกล้ตัวพี่ริวได้ไปเชิญมา ปรากฎว่าพี่ริวเป็นอันนี้ก็บอกเขาไปว่าเอาออกเถอะแล้วชีวิตเขาจะดีขึ้น เขาก็เอาออกจริงๆ แล้วชีวิตเขาก็ดีขึ้น

พี่ริวรู้สึกว่าทำไมถึงเอาเข้ามาอยู่ในใจกลางเมือง สัญลักษณ์แบบนี้ใครดูใครเห็น ชาวต่างชาติคงไม่คิดเหมือนเรา เขาคงคิดว่าเราไหว้ซาตาน ถึงแม้ว่าในบ้านเราจะเรียกครูก็ตาม เขาอาจจะเข้าใจไปได้ว่าคนไทยเดี๋ยวนี้หันมาไหว้ เคารพนับถือซาตานแล้วหรือ ควรปั้นให้เป็นฤษีดีไหม เพราะมีการกล่าวอ้างว่าท่านเป็นฤษีในยุคสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด

ถึงท่านจะมาเข้าฝันในรูปแบบไหนก็ตาม เราก็ควรปั้นในลักษณะรูปลักษณ์ที่ให้คนควรกราบไหว้ ทำไมไม่สร้างท่านที่ทรงกายเป็นฤษีเพื่อมาตั้งแล้วให้คนมองแล้วรู้สึกน่ากราบไหว้ ไม่เกิดข้อโต้แย้งของสังคม

พี่ริวไม่เห็นด้วย ก็รอดูกันไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่าไม่น่าจะดีเท่าไหร่ในความเชื่อ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว สัญลักษณ์แบบนี้ อัตลักษณ์แบบนี้มันมักจะเกี่ยวกับซาตาน

ผู้ก่อตั้งเทวลัยย้ำไม่ได้ปั่นราคาขายวัตถุมงคล

“นายณัฐวุฒิ รัตนสุข” ผู้ก่อตั้งเทวลัยพระพิฆเนศบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า เทวลัยบางใหญ่สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เพื่อสืบต่อเจตนารมณ์อาจารย์สุชาติ รัตนสุข ผู้ก่อตั้งเทวาลัยพระพิฆเนศ ห้วยขวาง พระตรีมูรติที่แยกราชประสงค์ เศรษฐีชุมพรที่ธนาคารกสิกรสำนักงานใหญ่ ตนในฐานะที่เป็นหลานของอาจารย์สุชาติ ได้ร่ำเรียนสืบทอดวิชาต่อมาเพราะไม่ต้องการให้วิชาเหล่านี้สูญหายไป และได้อัญเชิญรูปปั้นของครูบากายแก้วตั้งเมื่อปี 62 เพื่อให้ผู้คนมากราบไหว้ขอพรตามความเชื่อได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันปิด

ที่มาของครูกายแก้ว เกิดจากพระสงฆ์รูปหนึ่งที่จังหวัดลำปาง ได้นั่งกรรมฐานที่นครวัด จนไปพบกับดวงจิตของครูกายแก้ว จากนั้นได้นำรูปปั้นครูกายแก้วติดตัวกลับมาด้วย ก่อนรูปปั้นดังกล่าวจะตกไปอยู่กับ อ.ถวิล มิลินทจินดา แล้วก็ตกทอดมาสู่ อ.สุชาติ รัตนสุข ซึ่ง อ.สุชาติ ก็ได้นำรูปปั้นเก็บไว้ที่สำนักงานที่ย่านบางพลัดมานานกว่า 40 ปี จนต่อมา อ.สุชาติ นิมิตรเห็นรูปลักษณ์ รูปร่างของครูกายแก้ว จึงเรียกช่างมาปั้นรูปเหมือนครูกายแก้วตามแบบที่นิมิตรเห็นคือเป็นรูปครูกายแก้วในปางยืนซึ่งเป็นองค์ปฐมต้นแบบ ก่อนจะมาสร้างเป็นปางนั่งในภายหลัง

ตนในฐานะหลานของ อ.สุชาติ ซึ่งได้ศึกษาเรียนรู้หลักต่างๆ มาจาก อ.สุชาติ ซึ่งเป็นต้นสายของการบูชาครูกายแก้ว ท่านได้กำชับเตือนเอาไว้ว่า ห้ามเด็ดขาด อย่านำของสดไปไหว้บูชาครูกายแก้ว ให้นำแต่ผลไม้ ดอกไม้ ขนมหวาน หรือทองคำ ไปไหว้สักการะเท่านั้นพอ ไม่มีของสดหรือของมึนเมาใดๆ ท่านได้สั่งห้ามไว้เด็ดขาด

ซึ่งที่ผ่านมาจะเป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มผู้นับถือครูกายแก้วที่มีอยู่ประมาณ 300-400 คนว่าครูกายแก้วไม่ชอบของสด การตั้งโต๊ะทำพิธีจึงใช้วิธีจำลองขนมหรือถั่วต่างๆ ให้เป็นรูปของสดต่างๆ แทน ทั้งหัวหมู ไก่ เป็ด กุ้ง เป็นต้น จนกระทั่งเมื่อเริ่มมีกลุ่มผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น อ.สุชาติ จึงตัดสินใจนำรูปปั้นครูกายแก้วออกไปตั้งให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้ที่แรกคือที่เทวลัยพระพิฆเนศห้วยขวางและที่อาเขต

ผู้คนแห่มาไหว้เนืองแน่น
ผู้คนแห่มาไหว้เนืองแน่น
ภาพจาก : Facebook ขุนซัน นาคา

ประเด็นที่มีผู้คนในโซเซียลไปแนะนำว่าให้นำสุนัขหรือแมวไปบูชายัญครูกายแก้วนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดเพราะจากที่ตนศึกษากับ อ.สุชาติ มาไม่เคยทำพิธีบูชาด้วยของสดแม้แต่อย่างเดียว การจะบูชาครูกายแก้วไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนชีวิตใครก็สามารถขอพรได้แล้ว แต่นี้แค่เริ่มต้นก็ไปทำกรรมแล้วไม่เป็นมงคล แล้วจะไปรับสิ่งที่เป็นมงคลได้อย่างไร ตนขอพูดและฝากไปถึงคนที่คิดวิธีดังกล่าวด้วยในฐานะคนต้นสาย เพราะที่ผ่านมาตนก็กราบไหว้บูชามา 3-4 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาทำตามกระแสในตอนนี้

การบูชาครูกายแก้วต้องบูชาให้ถูกต้อง มากราบไหว้ท่านด้วยความศรัทธา และท่านก็ไม่ใช่เทพและไม่ใช่อสูร เพราะชื่อของท่านก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นครู และยังเป็นครูที่ซึ่งในแต่ละปี อ.สุชาติ เองก็จะทำการปั้นรูปบูชาครูต่างๆ ของท่านออกมาปีละองค์ ดังนั้นเมื่อต้นสายยังไม่ไหว้ของสดเลย ก็อย่าไปพิเรนทร์คิดอะไรเองขึ้นมา ให้ทำตามแบบที่เขาปฎิบัติกันมาเท่านั้น

เรื่องการขอพรหากขอการเงินก็ให้จับมือซ้ายแล้วอธิษฐาน การงานก็ให้จับมือขวาแล้วอธิษฐานแค่นั้น เมื่อได้ผลสำเร็จก็แค่กลับมาไหว้ท่านเท่านั่น ครูกายแก้วไม่ได้ต้องการอะไรจากเรา นอกจากสัจจะเท่านั้นที่เป็นเรื่องสำคัญ

ส่วนกระแสวัตถุมงคลของครูกายแก้วที่กำลังมีราคาสูงขึ้นไปมากนั้น ตนเชื่อว่าวัตถุมงคลของครูกายแก้วจะรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ก็ล้วนแต่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากัน และยืนยันว่าทางต้นสายนี้ไม่มีการปั่นราคาวัตถุมงคลให้ขึ้นราคา

ครูกายแก้ว
ครูกายแก้ว

เด็กฝั่งธนฯ ที่บ้านเลี้ยงแมว 2 ตัว เชียร์ทีมชาติไทย ชอบสะสมหุ่นจำลอง แต่ยังไม่ได้แกะออกมาจากกล่องสักที!

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก