จากกรณีที่ วัตถุกัมมันตรังสี ‘ซีเซียม-137’ สูญหาย ที่ จ.ปราจีนบุรี กระทั่ง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  ได้สั่งกองสาธารณสุขฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมผู้เชี่ยวชาญ-สถานพยาบาล รองรับและเฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม  แม้ยังไม่พบข้อมูลวัสดุหลุดออกจากเครื่องกำบัง

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีวัตถุกัมมันตรังสี ‘ซีเซียม-137’ (Cesium-137, Cs-137) ของโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี สูญหาย ทำให้เกิดความกังวลว่า อาจมีผู้ที่ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุอันตราย และมีการสัมผัสจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรีรายงานข้อมูลเบื้องต้นว่า วัตถุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่สูญหาย มีลักษณะเป็นแท่งทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 นิ้ว มีตะกั่วปกป้องอยู่ชั้นในและห่อหุ้มด้วยเหล็ก ซึ่งหากยังอยู่ในสภาพเดิมจะไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ยังค้นหาไม่พบ (ข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม 2566)

นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมสถานพยาบาลในพื้นที่เพื่อรองรับผู้ป่วยที่อาจได้รับผลกระทบด้วย

สำหรับสารซีเซียม-137 เป็นกัมมันตภาพรังสี (radioactivity) หากสัมผัสในช่วงเวลาสั้น ๆ อาจจะไม่มีผลต่อร่างกายที่ชัดเจน แต่หากสัมผัสในระยะเวลานานและปริมาณสูงขึ้น จะเริ่มมีผลต่อร่างกาย ทำให้เกิดผื่นแดงตามผิวหนัง ผมร่วง แผลเปื่อย หากสัมผัสในปริมาณสูงและยาวนาน อาจเกิดพังผืดที่ปอด เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เกิดต้อกระจกขึ้นในนัยน์ตา ซึ่งอาการจะขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ได้รับ

นอกจากนี้ หากปนเปื้อนลงไปในน้ำ จะส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ในสัตว์ ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณการรับและการสะสม หากสัตว์รับสารรังสีเข้าไปจะเพิ่มความเข้มข้นสะสมในห่วงโซ่อาหาร แต่ยังไม่มีผลยืนยันที่ชัดเจนว่าจะถึงขั้นเปลี่ยนระบบนิเวศน์ใต้ทะเลหรือไม่

จากกรณีดังกล่าว อาจย้อนไปถึงบทเรียนครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประเทศ และนับเป็นอุบัติเหตุทางรังสีครั้งแรกของประเทศไทย เกิดขึ้นช่วงปลายเดือนมกราคม–ต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 ที่จังหวัดสมุทรปราการ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มจากกลุ่มผู้รับซื้อของเก่าหรือซาเล้ง ได้นำเครื่องฉายรังสีโคบอลต์-60 ซึ่งมีสเตนเลสและตะกั่วห่อหุ้ม ออกจากลานจอดรถรกร้างในซอยอ่อนนุช เขตประเวศ และนำไปขายให้แก่ร้านรับซื้อของเก่าชื่อสมจิตร ในซอยวัดมหาวงศ์ จ.สมุทรปราการ

ต่อมาทางร้านได้แยกชิ้นส่วนสเตนเลสและตะกั่วออกมา เหลือเพียงสารโคบอลต์-60 ในแท่งโลหะทรงกระบอกเล็กๆ ถูกทิ้งไว้ในโกดังของร้าน โดยไม่ทราบว่ามีการแผ่กัมมันตภาพรังสีออกมาตลอดเวลา

จนกระทั่งวันที่ 16 – 17 กุมภาพันธ์ 2543 คนงานในร้านสมจิตร 2 คน ที่ร่วมกันแยกชิ้นส่วนเครื่องฉายรังสีดังกล่าว มีอาการผิวคล้ำ ปากเปื่อย ผมร่วง มือบวมพอง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย จนต้องนำส่งโรงพยาบาลสมุทรปราการ และตรวจพบว่ามีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ

แพทย์สงสัยว่าได้รับสารกัมมันตภาพรังสี จึงได้รายงานกระทรวงสาธารณสุขและแจ้งต่อสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (พป.) เพื่อเก็บกู้สารโคบอลต์-60 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2543

ภาพจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่รายงานข่าวโคบอลต์60 เมื่อต้นปี 2543

จากเหตุการณ์ดังกล่าว สรุปความเสียหายได้ดังนี้  :มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 10 ราย (บางรายพิการ ขณะที่หญิงมีครรภ์บางรายต้องทำแท้ง เพราะตรวจเลือดพบความผิดปกติ) และชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงในรัศมี 50-100 เมตร รวม 1,614 คน ต้องเฝ้าระวังและตรวจสุขภาพทุก 6 เดือน

เหตุการณ์ดำเนินเรื่อยมาสู่การฟ้องร้อง กระทั่งศาลมีฎีกามีคำพิพากษา ตัดสิน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ให้จำเลย จ่ายค่าเสียหายรวมค่าสินไหมทดแทนที่ต้องชดใช้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 529,276 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

หมายเหตุ    ในคดีโคบอลต์ -60 ที่คดีมาถึงชั้นศาลฎีกาข้างต้น

โจทก์   คือ     คนที่ได้รับผลกระทบที่ยื่นฟ้อง

ส่วนจำเลย คือ   ผู้ครอบครองเครื่องฉายรังสีโคบอลต์-60 โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติแห่งชาติ (พป.) ตามกฎหมาย และยังกระทำประมาทเลินเล่อไม่จัดเก็บเครื่องฉายดังกล่าวให้ปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกำหนด โดยนำเครื่องฉายรังสีโคบอลต์-60 ทิ้งไว้ในโรงรถเก่าตั้งอยู่ย่านพระโขนง กทม.ส่งผลให้มีคนภายนอกนำเอาชิ้นส่วนของเครื่องฉายรังสี คือ แท่งตะกั่วบรรจุสารโคบอลต์ ไปขาย) 

อ้างอิงข้อมูล  : ข่าวคำพิพากษาศาลฎีกาจากเว็บไซต์มติชนออนไลน์ วันที่ 8 มิถุนายน 2559

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก