21 บาทต่อวัน คือ ค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียนไทยที่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐตาม “โครงการอาหารกลางวัน” คำถามคือ 21 บาทเพียงพอหรือเปล่าสำหรับในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นปัจจุบัน?
โครงการอาหารกลางวัน เกิดจากความตระหนักของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กเนื่องจากพบว่าเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวนมากขาดแคลนอาหารกลางวันหรือมีอาหารกลางวันแต่ปริมาณไม่เพียงพอ หรืออาหารมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ โครงการอาหารกลางวันจึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2495 ในขั้นทดลองได้จัดหาอาหารกลางวันให้กับโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและพบว่าโรงเรียนขาดงบประมาณในการดำเนินงานทำให้ไม่สามารถจัดหาอาหารกลางวันได้อย่างทั่วถึง
กระทั่งปี 2530 สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติได้กำหนดนโยบายให้ดำเนินโครงการอาหารกลางวันทุกโรงเรียนก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2530 ภายใต้คำขวัญ “60 พรรษามหาราชา เด็กประถมศึกษาไม่หิวโหย” และในช่วงปลายปีงบประมาณ 2534 รัฐบาลได้ออกกำหนดให้มีกฎหมาย พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2535
ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544 กระทรวงศึกษาธิการได้ถ่ายโอนงบประมาณค่าอาหารกลางวันไปให้กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้จัดตั้งและจัดสรรงบประมาณเองมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 จนถึงปัจจุบัน
ผลการประเมินคุณภาพอาหารกลางวันในโรงเรียนปี พ.ศ.2558 ในเอกสาร “คู่มือการจัดการอาหารกลางวันนักเรียนตามมาตรฐานโภชนาการ สุขาภิบาลอาหารและอาหารปลอดภัยสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา” ที่จัดทำโดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่า
“การตักอาหารให้เด็กยังไม่ได้ปริมาณและสัดส่วนตามธงโภชนาการหรือเหมาะตามวัยและภาวะสุขภาพของนักเรียน โดยเฉพาะอาหารประเภทผัก ผลไม้ส่วนใหญตักให้เด็กต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรได้รับ ส่วนข้าวหรืออาหารประเภทแป้งได้รับมากกว่าความต้องการ และพบว่าในโรงเรียนขยายโอกาสและโรงเรียนพักนอน เด็กอนุบาลและประถมศึกษาปีที่ 1-6 จะได้รับปริมาณอาหารที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เนื่องจากต้องเฉลี่ยอาหารให้เด็กมัธยมศึกษาปีที่1-3 กินด้วย ภายใต้งบ 20 บาท หรือในบางโรงเรียนมีเงินสมทบอีก 5 บาท แต่ก็ไม่เพียงพอ”
การปรับอัตราอุดหนุนงบประมาณโครงการอาหารกลางวัน
- ปีงบประมาณ 2534 รัฐบาลตราพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ.2535 ขึ้น
- พ.ศ. 2542 ปรับขึ้นจาก 5 บาท เป็น 6 บาทต่อคนต่อวัน
- พ.ศ. 2551 ปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาคนละ 10 บาทต่อคนต่อวัน
- พ.ศ. 2553 ปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาจาก 10 บาท เป็น 13 บาทต่อคนต่อวัน
- พ.ศ. 2556 รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณค่าอาหารกลางวันให้สำหรับเด็กนักเรียนทุกคนในระดับอนุบาลและประถมศึกษา จาก 13 บาท เป็น 20 บาทต่อคนต่อวัน
- พ.ศ. 2564 ปรับอัตราสนับสนุนค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับชั้น อนุบาล 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 จาก 20 บาท เป็น 21 บาทต่อคนต่อวัน
วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2565 “น.ส.ตรีนุช เทียนทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอขอปรับขึ้นอัตราสนับสนุนค่าอาหารกลางวันเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจค่าครองชีพสูงขึ้นทำให้โรงเรียนขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างมาก เบื้องต้นสำนักงานสภาพัฒนากาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอว่า ควรปรับเพิ่มเงินสนับสนุนอาหารกลางวันสำหรับเด็กเล็กจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 สูงสุด 28 บาทต่อคนต่อวัน อย่างไรก็ตามในวันถัดมา (6 ก.ย.) รมว.กระทรวงศึกษาธิการได้ถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยให้เหตุผลว่า “วันนี้มีหลายเรื่องเสนอเข้ามา จึงขอถอนออกมาก่อน ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องนี้ได้ผ่านการเห็นชอบจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ หรือ สศช. แล้ว แต่มีตัวเลขบางอย่างที่ขอไปดูให้ชัดเจน เช่น กรอบวงเงินที่จะใช้ วงเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งจำนวนโรงเรียนที่จะได้รับเงิน ซึ่งอาจจะไม่เท่ากัน เพราะต้องดูตามขนาดของโรงเรียนให้ชัด คาดว่าจะเสนอครม. ครั้งหน้า”
เงิน 21 บาทในตอนนี้ซื้ออะไรมากคงไม่ได้ “นายเสรี เจริญกลาง” ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสระแก้ว อ.เมือง จ.นครราชสีมา บอกว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจข้าวของราคาทุกอย่างแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อต้นทุนการทำอาหารกลางวันเด็กนักเรียนอย่างมาก ครั้นจะทอดผ้าป่าเพื่อหารายได้สมทบเป็นทุนค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียนก็ทำไม่ได้ เพราะถือว่าโรงเรียนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐมาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำขณะนี้คือต้องพยายามบริหารจัดการทำอาหารกลางวันให้เพียงพอและมีคุณภาพมากที่สุด”
“ด้วยงบประมาณ 21 บาทต่อหัว ยืนยันว่าเท่านี้ไม่พอแน่นอน หากสถานการณ์ข้าวของทุกอย่างยังแพงอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะทางโรงเรียนไม่สามารถไปควบคุมราคาวัตถุดิบได้เลย โดยเฉพาะราคาเนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับนำมาเป็นวัตถุดิบอาหารกลางวันเด็กราคาสูงมากแต่ก็จำเป็นต้องซื้อ การเพิ่มเงินค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียนให้แค่ 1 บาทไม่สมเหตุสมผลเลย”
เมื่อเงินสมทบจากภาครัฐไม่เพียงพอเราจะเห็นข่าวอยู่เป็นประจำว่า โรงเรียนตามต่างจังหวัดมักมีโครงการปลูกผักปลอดสารพิษหรือเลี้ยงสัตว์ภายในโรงเรียนเพื่อให้เป็นพื้นที่เรียนรู้การเพาะปลูกและใช้เป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบอาหารของนักเรียนเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายเพราะเงินที่ได้รับสนับสนุนจากรัฐไม่เพียงพอ ดังเช่นที่โรงเรียนบ้านห้วยไผ่ขุย อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รวม 44 คน ได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันรวม 924 บาทต่อวันแต่ก็ไม่เพียงพอด้วยภาวะเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง
“นางปัทมนันท์ อิสริยภานันท์” ครูชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการบอกว่า “ทางโรงเรียนได้ปรึกษากับกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง ในการปรับตัวเพื่อให้โครงการอาหารกลางวันของนักเรียนยังคงพอเพียงและนักเรียนได้อิ่มท้องทุกมื้อ จนเกิดเป็นความร่วมมือในการปลูกผักสวนครัวเพื่อนำมาใช้ในโครงการอาหารกลางวันส่วนที่เหลือจากทำอาหารก็จะนำไปจำหน่ายในราคาต้นทุน เพื่อนำเงินที่ได้เป็นทุนไว้ใช้ต่อยอดหมุนเวียน”
สพฐ. แนะทานอาหารมังสวิรัติเป็นมื้อกลางวัน
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตให้จัดทำอาหารมังสวิรัติเป็นมื้อกลางวันสำหรับเด็กเพื่อลดการเบียดเบียนสัตว์ช่วงเข้าพรรษา โดยระบุว่า “สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการรับประทานมังสวิรัติในช่วงเข้าพรรษา “กินดี มีบุญ เข้าพรรษา 2565” ระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม – 12 สิงหาคม 2565โดยการส่งเสริมให้โรงเรียนประกอบอาหารมังสวิรัติและรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นมื้อกลางวันในวันพระ หรือตามที่โรงเรียนกำหนด รวมจำนวน 9 มื้อ เพื่อลดการเบียดเบียน ส่งเสริมและปลูกฝังความเมตตาต่อสัตว์ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา โรงเรียนสามารถออกแบบพัฒนาอาหารกลางวันแก่นักเรียนอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการและเสริมสร้างพัฒนาสุขภาพที่ดีแก่นักเรียน” พร้อมกับแนบเอกสารกำหนดให้โรงเรียนต้องรายงายผลกิจกรรม ประกอบด้วยชื่อเมนูอาหาร ส่วนผสม วิธีปรุง รูปภาพอาหาร และผลจากการรับประทานอาหารมังสวิรัติของนักเรียน
กิจกรรมข้างต้นทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าแทนที่จะจัดหางบประมาณเพื่อส่งเสริมโภชนาการที่ดีและให้นักเรียนได้ทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ แต่กลับเป็นการสร้างภาระให้สถานศึกษาเพิ่ม เพราะเด็กต้องการสารอาหารที่หลากหลายเพื่อการเจริญเติบโตทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา และพัฒนาการด้านต่างๆ จนเลขาธิการ สพฐ. ต้องออกมาชี้แจงว่า “หนังสือฉบับดังกล่าวไม่ได้เป็นคำสั่งแต่เป็นการรณรงค์เชิญชวนซึ่งดำเนินการมาเป็นประจำทุกปีในช่วงเข้าพรรษา ใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่ได้เป็นการบังคับ”
ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีโครงการอาหารกลางวันสำหรับเด็ก เพื่อนบ้านของเราอย่าง “กัมพูชา” ก็มีโครงการลักษณะคล้ายๆ กัน ผลการศึกษาย้อนหลังจาก “กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ” หรือ UNICEF พบว่า กัมพูชาต้องใช้งบประมาณกว่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 14,604,000,000 บาท) หรือคิดเป็น 2.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเพื่อรับมือกับปัญหาภาวะทุพโภชนาการ
โรงเรียนกว่า 1,000 แห่งทั่วกัมพูชามีโครงการอาหารเช้าสำหรับเด็กซึ่งได้รับการสนุนจาก WFP และมีสวนปลูกผักเพื่อการเรียนรู้อีกประมาณ 50 แห่งจาก Plan International องค์กรเพื่อการพัฒนาและมนุษยธรรม เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดยก่อนที่จะเริ่มเรียนในแต่ละวันเด็กๆ จะได้รับอาหารเช้าฟรีเป็นข้าว ซุปปลา และผักที่ปลูกจากสวน
“Long Tov” ครูใหญ่โรงเรียน Chroy Neang Nguon บอกว่า “โครงการอาหารเช้าและสวนผักช่วยเพิ่มศักยภาพของนักเรียนที่นี่ทำให้เด็กมีสมาธิ ความจำ และผลการเรียนที่ดีขึ้นจากการได้รับสารอาหารครบถ้วน นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราการหยุดเรียนกลางคันได้อย่างมหาศาล”
ย้อนกลับมาที่คำถาม “21 บาทเพียงพอหรือเปล่าสำหรับค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียนในปัจจุบัน?” หลายคนน่าจะมีคำตอบในใจตัวเองอยู่แล้วเพราะเงินจำนวนนี้คงซื้ออะไรได้ไม่มากเท่าไร แต่อย่าลืมว่าจุดเริ่มต้นของ “โครงการอาหารกลางวัน” มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็ก แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้โครงการนี้ยังต้องการการสนับสนุนด้านงบประมาณที่มากกว่านี้ เว้นเสียแต่ว่าภาครัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “เด็ก” มากนักเมื่อเทียบกับเบี้ยเลี้ยงเบิกจ่ายค่าอาหารของ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา” ในวันที่มีการประชุมซึ่งมีค่าอาหารเฉลี่ย 582 – 861 บาทต่อคน นี่คือคำถามที่ต้องหาคำตอบกันต่อไป
แหล่งข้อมูลประกอบบทความ
- ศูนย์ข้อมูลมติชน MIC
- STRAITSTIME | https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/school-gardens-a-lifeline-for-hungry-cambodian-children
- ที่มาโครงการอาหารกลางวัน | http://www.obecschoollunch.com/history/
- สพฐ. ส่งหนังสือประชาสัมพันธ์ทานอาหารมังสวิรัติ | https://www.prachachat.net/education/news-988570
- สพฐ. ชี้แจงกรณีประชาสัมพันธ์ทานอาหารมังสวิรัติ | https://isranews.org/article/isranews-short-news/110642-isranews-775.html
- กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) | https://www.eef.or.th/news-09-02-21/
- ถอนวาระเพิ่มค่าอาหารกลางวัน | https://www.bangkokbiznews.com/business/1025110
- เอกสารประกอบการปรับอัตราเงินสนับสนุนอาหารกลางวัน | https://www.br2.go.th/attachments/article/4398/2895.pdf
- เอกสาร “คู่มือการจัดการอาหารกลางวันนักเรียนตามมาตรฐานโภชนาการ สุขาภิบาลอาหารและอาหารปลอดภัยสำหรับโรงเรียนประถมศึกษา” | https://nutrition2.anamai.moph.go.th/th/book/download/?did=194126&id=46420&reload=
- เบี้ยเลี้ยงการประชุม ส.ส. – ส.ว. | https://www.moveforwardparty.org/news/parliament/5051/
- โรงเรียนบ้านห้วยไผ่ขุยปลูกผักทานในโรงเรียน | https://www.matichon.co.th/region/news_3461775