หลายคนคงเคยสงสัยเหตุใดในช่วงที่ต้องการลดน้ำหนัก แม้เราว่าจะพยายามกินน้อย และออกกำลังกายอย่างหนัก แต่ผลประกอบการทางร่างกายก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งที่เราทุ่มเทมากแล้ว ที่เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจาก “ระบบเผาผลาญเสื่อม” โดยที่เราไม่เคยรู้

ระบบเผาผลาญเสื่อมเป็นปัญหาที่เกิดจากภายในร่างกาย และเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลว โดยระบบเผาผลาญเสื่อมก็มีสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน

ออกกำลังกาย

ระบบเผาผลาญ (Metabolism system) คือ ปฏิกิริยาเคมีของร่างกาย เป็นกระบวนการนำเอาสารอาหารที่คนเรากินเข้าไปเปลี่ยนให้เป็นพลังงานเพื่อเอาไปใช้ในกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย เช่น การหายใจ การทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายใน การสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นต้น

และระบบเผาผลาญพัง (Metabolic Damage) คือ สภาวะที่ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญสารอาหารที่กินเข้าไปและนำเอาพลังงานใช้ได้น้อยกว่าปกติ ทำให้พลังงานเหล่านั้นถูกเก็บสะสมเอาไว้ในรูปแบบของไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง กล้ามเนื้อและรอบๆ อวัยวะภายใจของร่างกาย จึงทำให้เพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนและมีปริมาณไขมันที่มากเกินเกณฑ์มาตรฐาน

อาหาร และการออกกำลังกาย

วิธีสังเกตอาการของภาวะระบบเผาผลาญเสื่อม

  • รับประทานอาหารน้อยหรือเท่ากับคนอื่น แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าคนอื่น และลดไขมันได้ยาก (อ้วนง่ายผิดปกติ)
  • มีอาการอ่อนเพลีย ง่วงตลอดวัน แต่มีแรงช่วงเย็น ถึงช่วงค่ำเป็นพิเศษ และหลับยาก
  • รู้สึกอืดๆ ท้อง แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย
  • ประจำเดือนขาด หรือมาไม่ปกติ
  • มีอาการเวียนหัว หน้ามืดบ่อยๆ
  • อารมณ์แปรปรวน ความรู้สึกทางเพศลดลง
ออกกำลังกาย

สาเหตุของระบบเผาผลาญเสื่อม

  • ป่วยด้วยโรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
  • อายุที่เพิ่มขึ้น อัตราการเผาผลาญพื้นฐานมักต่ำลง
  • การอดอาหาร การลดน้ำหนักผิดวิธี ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญพื้นฐานต่ำลง เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอ ระบบเผาผลาญไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อลดลง และร่างกายกักเก็บไขมันมากขึ้น
  • ความเครียด เมื่อเครียดการย่อยอาหารจะลดประสิทธิภาพลง และรู้สึกหิวมากขึ้น
การทานอาหาร

วิธีฟื้นฟูระบบเผาผลาญให้ดีขึ้น

  • ลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เพื่อความยั่งยืนของร่างกาย อาจใช้การแบ่งย่อยมื้ออาหารเป็น 4-5 มื้อต่อวัน เพื่อปรับการย่อยให้ดีขึ้น ไม่อดอาหารจนร่างกายโหยจนเกินไป
  • เลือกกินอาหารที่ดีขึ้น และหลากหลาย เช่น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไฟเบอร์ โปรตีนจากพืช และสัตว์ หลีกเลี่ยงของทอด หวาน มัน เค็ม
  • กินโปรตีนให้เพียงพอ เพราะการกินโปรตีนมากขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 20-30% โดยกินโปรตีน เป็น 2 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อ 1 วัน
  • การออกกำลังแบบ Weight Training ควบคู่กับ Cardio การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ควรใช้เวลา 2-4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อสร้างความแข็งแรงและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้ดียิ่งขึ้น
  • ส่วนการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ประมาณ 30-60 นาทีต่อวัน เพื่อช่วยการเผาผลาญไขมันและทำให้อัตราการเต้นของหัวใจทำงานได้ดี เพื่อให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ปรับเวลาการนอนให้เร็วขึ้น และนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง
  • ดื่มน้ำเยอะๆ การดื่มน้ำมากๆ เป็นการช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงานได้มากขึ้น (ดื่มน้ำ 8 ออนซ์ ประมาณ 8-12 ครั้งต่อวัน) จะเพิ่มอัตราการเผาผลาญสูงขึ้นกว่าคนที่ดื่มน้ำเพียง 4 ครั้งต่อวัน (ดื่มน้ำให้ได้ 500 มิลลิลิตร) จะสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ถึง 30% นอกจากนี้ยังควรดื่มน้ำหลังตื่นนอน หรือก่อนอาหารเช้า จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
ผักผลไม้

สุดท้ายแล้วองค์ประกอบของการลดน้ำหนักไม่ใช่เพียงการคุมแคลอรี เพราะการกินน้อย อาจส่งผลให้ร่างกายกลัวว่าจะขาดสารอาหารจึงกักเก็บไขมันมากขึ้น สุขภาพที่ดีเริ่มได้ที่ตัวเราเอง ทุกคนสามารถมีรูปร่างดีขึ้นได้ หากทำอย่างถูกวิธีใส่ใจ และมีวินัยในการออกกำลังกาย

แหล่งที่มา : มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี , โรงพยาบาลกรุงเทพ

Skateboarding is the soul Sugar is addictive

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก