หลายคนน่าจะเคยได้ยินวลี “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” แต่ทว่าจริงหรือ ในเมื่อมีข่าวพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “งานหนักทำให้คนตายได้” โดยเฉพาะข่าวล่าสุด ที่มีพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งฟุบหลับเสียชีวิตคาโต๊ะทำงานข้ามวัน เนื่องจากโหมงานหนัก พักผ่อนน้อย ร่างกายทรุด จนนำไปสู่การเสียชีวิตด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน สร้างความตื่นตัวให้กับสังคมไทยไม่น้อย พร้อมตั้งคำถามมากมายถึงคุณภาพชีวิตในการทำงาน
โรคคาโรชิ (Karoshi Syndrome) คืออะไร
โรคคาโรชิ หรือ ภาวะทำงานหนักจนตาย (Death from overwork) นิยามถึงอาการเหนื่อยหรืออ่อนเพลียจากการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดสะสม อันเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของวัยทำงาน โดยเฉพาะความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตใจนำไปสู่การกดดันตัวเอง การไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง (Low self-esteem) สภาพจิตใจหดหู่ สุดท้ายตัดสินใจจบชีวิต
โรคนี้พบบ่อยในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เนื่องจากมีวัฒนธรรมทำงานหนัก (Overwork Culture) และการแข่งขันสูงทำให้หลายองค์กรสร้างความกดดันต่อพนักงานบางส่วน ด้วยการตั้งเป้าหมายและเร่งทำยอดในรูปแบบ KPI หรือดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ที่สูงเกินกว่าจะสามารถเอื้อมถึง รวมถึงชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไป
โดยเฉพาะนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันปี 1973 การปรับโครงสร้างแรงงานของประเทศหล่อหลอมให้เกิดมุมมองการทำงานมากกว่า 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์กลายเป็นเรื่อง “ปกติ” มิหนำซ้ำยังกลายเป็นสิ่งที่ “น่ายกย่อง”
ซึ่งในอีก 30 ปีต่อมาปรากฏการณ์นี้กลายเป็นความจริงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก องค์การอนามัยโลกและองค์การแรงงานระหว่างประเทศเตือนว่า การทำงานลากกะเป็นเวลานานเพิ่มอัตราความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งตามรายงานของ WHO ระบุว่า การทำงานหนักมากเกินไปและความเครียดสะสมจากการทำงานนำไปสู่การเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจขาดเลือดมากถึง 745,000 ราย เมื่อปี 2016
รายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่า การทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองสูงขึ้นถึง 35% และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจ 17%
สัญญาณเตือนของโรคคาโรชิ
1.หมกมุ่นเรื่องงานแทบจะตลอดเวลา เหมือนสมองไม่ได้พักผ่อน บางครั้งอาจจะเก็บไปฝัน
2.ทำงานล่วงเวลาติดต่อกันเป็นเวลานาน
3.เริ่มงานเร็ว เลิกงานช้า ชั่วโมงการทำงานเยอะ
4.ไม่มีโอกาสลางาน หรือแทบไม่ได้ใช้วันลา ไม่ว่าจะเป็นลาป่วย ลาพักผ่อน และลากิจ
5.เคร่งเครียดจากการทำงาน และทำงานภายใต้ความกดดัน
6.พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่มีเวลาดูแลตัวเองและคนรัก
วิธีรับมือและป้องกันโรคคาโรชิ
1.จัดสรรเวลาสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ
2.พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
3.ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบและมีความสุข เช่น ดูหนัง ฟังเพลง และอ่านหนังสือ เป็นต้น
4.พบปะเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือคนรัก
5.ปล่อยวางความคิด
6.ไม่ควรนำงานกลับมาทำที่บ้าน หรือคิดต่อที่บ้านมากจนเกินไป
สุดท้ายนี้หากเราเริ่มรู้สึกว่าสุขภาพทางกายและจิตใจแย่ลง เกินกว่าจะรับมือไหว ขอเพียงเปิดใจเข้าพบนักจิตวิทยาเพื่อขอรับคำปรึกษาและการรักษาอย่างถูกต้องตรงจุด สามารถปรึกษาสุขภาพจิตฟรีได้ที่
- สายด่วนสุขภาพจิต 1323 โดยกรมสุขภาพจิต
- สายด่วนคลายทุกข์ 02-113-6789 โดยสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย
- Hear to Heal หรือระบบแชทพูดคุย โดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : เป็นวัยรุ่นมันเหนือย มุมมองนักวิชาการ ต่อปัญหาที่คนรุ่นใหม่ต้องแบกรับ , รู้จักกับ “Academic Burnout” ภาวะหมดไฟในการเรียน
แหล่งที่มาของข้อมูล
- https://www.sanook.com/health/19541/
- https://health.kapook.com/view44066.html
- https://www.rattinan.com/karoshi-syndrome/
- https://www.bbc.com/thai/articles/c2v1exg62nwo
- https://goodlifeupdate.com/lifestyle/164570.html
- https://th.jobsdb.com/th-th/articles/karoshi-syndrome/
- https://observatory.tec.mx/edu-news/karoshi-phenomenon/