ชีวิตล้มลุกคลุกคลานมามากมาย สำหรับ “ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud ที่วันนี้กลับมาผงาดกู้วิกฤตศรัทธาต่อแฟนๆ ได้แล้ว ด้วยความเชื่อในการทำงานที่อยากจะส่งต่อความสุขให้กับผู้อื่น

หลังจากเจอวิกฤตโซเชียลถล่มด่า ปอนด์ กฤษดา เล่าให้ Feed ฟังว่าชีวิตเปลี่ยนใหม่หมด โดยเฉพาะวิธีการสื่อสารกับผู้คน ปอนด์มองเป็นสัจธรรมชีวิตว่าสูงได้ ก็มีต่ำได้ ไม่มีสิ่งไหนในโลกนี้ที่ไม่ต้องปรับตัว และเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่ดึงตน และ Be On Cloud กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

วันนี้ ปอนด์ และ Be On Cloud เดินหน้าใหม่ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่ง และปอนด์บอกว่ามันเป็นมากกว่าความฝัน ทุกอย่างในวันนี้มันคือกำไรชีวิตแล้ว

จริงๆมันเป็นเหมือนชีวิตที่ผมเคยฝันไว้ตอนเด็กๆ ตอนเด็กๆ เราก็จะมีจินตนาการว่าเราอยากทำงานที่ได้เดินทางเยอะๆ ได้ไปต่างประเทศหลายๆ ที่ได้พบเจอผู้คน ผมเป็นคนชอบคุยกับคน ได้ไปคุยกับคนนั้นคนโน้นคนนี้ รู้จักใครใหม่ๆในชีวิต ตอนนี้เป็นแบบที่ฝันเลย การได้พูดคุยกับคนมันทำให้เรามีความสุข พอมาทำงานตรงนี้ ผมว่ามันไกลมาก มันเกินฝันผมแล้ว ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะเรียกอาชีพนี้ว่าอะไร แต่นี่แหละคือสิ่งที่ผมฝันไว้

ก็รู้สึกดีนะครับ รู้สึกดีกับตัวเอง แล้วก็ภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียวแล้ว มันเป็นเรื่องที่เราทำแล้วมันสร้างอะไรให้คนเยอะขึ้นเยอะมาก จากแค่เรากับครอบครัวเรา ก็รู้สึกดีครับ ผมเคยผ่านช่วงลำบากมา ผมจะเข้าใจว่าความลำบากหรือว่าอยู่ในชีวิตที่มันไม่สะดวกสบาย ไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานมันเป็นยังไงบ้าง พอมันเลยจุดนั้นมาแล้ว ผมรู้สึกว่าชีวิตผมกำไรทุกวัน

การกำไรทุกวันมันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่ค่อยกลัวเสียอะไร แต่พอมาทำวันนี้เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันสามารถสร้างอะไรให้กับคนได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนผมมองแค่ครอบครัวผม ผมใช้ความรักของครอบครัวเป็นหลัก เราอยากทำให้ครอบครัวเรามีชีวิตที่ดี ทุกคนมีความเป็นอยู่ในสถานะที่ดีไม่ต้องปวดหัวเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไป ณ วันนี้ มันกลายเป็นว่า พอครอบครัวเราโอเคแล้ว เราสร้างความสุขได้มากขึ้นเยอะ ก็ภูมิใจครับ ตอนนี้ชีวิตเลยเริ่มจะมีความสุขกับการได้ทำอะไรให้คนอื่นเยอะๆ

พบแล้วเสน่ห์ของการมีชีวิตคือการได้สร้างความสุขให้กับผู้อื่น และ บี ออน คลาวด์ กำลังทำสิ่งนั้น

“การได้อะไรทำให้คนอื่น งานตรงนี้มันมีเสน่ห์ตรงที่ว่าแม้ว่ามันจะเหนื่อยบ้าง แต่ว่ามันสร้างความสุขให้คนหมู่มากจริงๆ ผมมองว่าผมโชคดีที่ได้มาทำงานแบบนี้ตั้งแต่เด็ก เพราะว่าก่อนจะมาทำ บี ออน คลาวด์ ผมก็ทำบริษัทของผมซึ่งจัดคอนเสิร์ต มันก็เป็นความบันเทิงในรูปแบบนึง แต่คอนเสิร์ตมากที่สุด คุณจะได้ๆ เลยก็คือรอบละ 1 หมื่นคน ใช่มั้ยครับ แต่อันนี้คุณสร้างความสุขให้คนหมู่มากจริงๆ ยิ่งล่าสุดที่ไปทริปนี้มาเราได้เจอคนเยอะมาก เจอแฟนๆ ที่เขาเดินมาหาเราแล้วก็บอกว่าดูคินน์พอร์ช โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาจากชาติไหน พูดภาษาแบบไหน แต่ทุกคนมาด้วย intention ว่า ตอนนั้นดูคินน์พอร์ชมาชอบมากนะ อยากรอดูแมนสรวง มันเป็นเสน่ห์ของวงการ แต่แน่นอนมันก็ต้องแลก”

ยอมรับสัจธรรมชีวิตการมีชื่อเสียงระดับโลกต้องแลกชีวิตส่วนตัวอย่างรุนแรง

“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช" ผู้บริหารค่าย Be On Cloud
“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud


“ผมว่าผมเข้าใจหลายอย่างมากขึ้นเลยว่ามันเป็นสัจธรรมของการมีชื่อเสียง คือ คุณต้องแลกชีวิตส่วนตัวอย่างรุนแรง คุณต้องยอมรับว่าวันไหนที่คุณถูกชื่นชมมากๆ มันก็มีคนอยากจะทำให้คุณรู้สึกแย่ ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวงการไหนก็ตาม แต่วงการบันเทิงแสงมันจ้ากว่าปกติ

เพราะฉะนั้น พอมีแสงจ้ามากๆ ปุ๊บ มันมีจุดมืดอยู่ ที่ทำให้คนบางคนเขารู้สึกว่า ฉันอยากทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเธอดับแสงลงมาหน่อยนิดนึง แล้วมันเป็นสิ่งที่ผมว่ามันกระทบกระเทือนกับตัวผมเองไม่เท่าไหร่ คือผมเฉยๆ มาก แต่เวลาเราเห็นนักแสดงเราโดนหรือว่าแม้กระทั่งคนรอบตัวโดนแล้วเค้าพะวง ผมก็รู้สึกว่ามันก็โหดเหมือนกันนะ แต่พอเราใช้ความเข้าใจเรื่อยๆ ว่ามันเป็นธรรมดาของโลกแล้ว ผมว่าเขาโดนกันทั้งโลกเลย แต่คนที่เลือกจะมาอยู่ในวงการนี้แล้วก็อาจจะต้องทำใจและเข้าใจมัน“

ผมนักสู้มาตลอดชีวิต ทุกวันนี้เรียนรู้ที่จะไม่เก่ง อ่อนแอบ้างก็ได้ เหนื่อยให้เป็น


ผมเป็นนักสู้ ผมแบบสู้มากๆ จริงๆหลายๆคนคงเห็น เมื่อแบบประมาณ 3-4 วันที่ผ่านมาก่อนกลับมาไทย มันก็มีความรู้สึกในหัวว่า เราอาจจะสู้เยอะไปหน่อย คือผมสู้เพื่อคนอื่นมาตลอด ต้องบอกว่าตอนที่เด็กๆที่ช่วงเวลาที่ผมลำบาก ผมสู้เพื่อครอบครัวกับคุณภาพชีวิตที่ดี พยายามจะทำให้ทุกอย่างมันกลับมา พอไปถึงจุดที่เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันดีสำหรับเราและครอบครัวเรา แต่เราก็ยังสู้ต่อไป เพราะว่ามันเหมือน คงเป็นชินไปแล้วมั้งครับ ไม่มีจังหวะให้อ่อนแอเลย จนถึงทำ บี ออน คลาวด์ โอ้โฮ ยิ่งแบบ หาจังหวะอ่อนแอไม่เจอ เพราะว่าไม่มีอะไรที่มันแบบมีจังหวะให้เราหายใจเลยครับ เราตั้งเป้าหมายแล้วไป มันเยอะขึ้นเรื่อยๆทุกวันก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เหนื่อยแบบทุกข์นะครับ มันเหมือนเราใช้พลังเยอะมาก มันก็มีความหมดแรงนิดหน่อย แต่ภาพที่เห็นกับที่เราทำอยู่เราต้องยอมรับว่ามันมาไกลมากจริงๆ มันไม่แปลกที่จะเหนื่อย พักเดี๋ยวก็หาย ตื่นมาก็หายจริงๆ แต่มันมีจังหวะที่ทำให้คิดว่า เราอาจจะอ่อนแอบ้างก็ได้ เราต้องยอมรับก่อนว่าตอนนี้เราเหนื่อย เราเหนื่อยเราก็พูดออกมา ผมก็พูดกับทั้งมาย ทั้งอาโป กับทั้งทีมว่าวันนี้ผมเหนื่อย ผมรู้สึกหมดแรงนิดนึง ซึ่งทุกคนจะให้กำลังใจกัน ผมจะไม่ค่อยพูดแบบนี้บ่อย

มันจะมีช่วงเวลาที่ผ่านมา ปีกว่าๆ ที่ทำ บี ออน คลาวด์ ผมจะพูดอยู่ประมาณสัก 3 ครั้ง แต่ทุกคนก็คือเป็นกำลังใจให้ผมดีมาก เราก็ฮึบขึ้นมา เราก็เห็นความสุขที่พวกเรามีกับความสุขที่เราสร้างต่อไป มันก็ทำให้เราหายเหนื่อย

ผมเพิ่งมารู้ตัวว่าเราไม่อยากเห็นตัวเองด้วยซ้ำว่าเราอ่อนแอ เพราะว่าที่ผ่านมาเราเข้มแข็งตลอด เพราะการที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว เริ่มจากเรื่องแค่นี้ก่อน แล้วผมทำธุรกิจ เป็นเจ้าของบริษัท เป็นผู้บริหารเบอร์ 1 มา 10 กว่าปี ตั้งแต่ผมยังเด็ก มันเหมือนเราต้องเก่ง ไม่มีจังหวะให้ผมไม่เก่งเลย แล้วหลายครั้งสมัยก่อนผมก็จะบ่นว่า เฮ้ย ถ้ากูไม่เก่งมันจะเป็นไงวะ ทุกคนจะเป็นไงวะ แล้วมันก็แบบ เฮ้ย กูอยากไม่เก่งบ้างว่ะ แต่มันได้แต่พูด เพราะสุดท้ายเราก็ไม่ยอมรับอยู่ดีว่าถ้าเราไม่เก่งมันจะเกิดอะไรขึ้น เรากลัวสิ่งที่ตามมา

“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช" ผู้บริหารค่าย Be On Cloud
“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud

แต่หลังจากทริปไปปารีสมา ทำให้เราได้แง่คิดหลายๆ อย่างขึ้นมาว่า จริงๆ แล้ว มันผ่อนบ้างได้ มันเหนื่อยบ้างได้ แค่ยอมรับออกมาแล้วก็พูดกับทุกคนที่เราไว้ใจได้ แม้กระทั่งวันนี้ผมก็มองว่า ต่อให้พูดกับสื่อแล้วออกไปข้างนอก ผมรู้สึกว่า ทุกคนก็ควรจะเห็นผมมุมนี้ได้เหมือนกัน ผมยอมรับตัวเองว่าเหนื่อย แต่มันคุ้ม เหนื่อย แต่มีความสุข มันดีกว่าไม่เหนื่อย แล้วรู้สึกว่าไม่มีคุณค่าอะไรกับใคร ผมคิดว่า ผมเลือกแบบนี้ดีกว่า มีบ้างเสียใจ แต่ไม่มีท้อ

เสียใจมากเวลาทุ่มใจให้กับใครแล้วเขาไปทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี


ผมจะเสียใจกับเรื่องที่เวลาผมทุ่มใจให้ใครแล้วผมรู้สึกว่าเขาไปทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี ผมใช้คำนี้ดีกว่ามาทำผมรู้สึกไม่ดี ผมให้อภัยเร็วมาก ทุกคนจะดูเหมือนผมเป็นคนแข็งนะ แต่จริงๆ ผมเป็นคน sensitive และอ่อนมาก ผมเป็นนักสู้เฉยๆ แต่ข้างในผมเป็นคนที่ใจดีเกินไปด้วยซ้ำ หลายๆ คนก็จะพูด แต่พอเราเห็นว่าการกระทำของหลายๆ คนมันไปกระทบคนอื่นในวงกว้างอันนี้ผมจะเสียความรู้สึกมากๆมันก็เหมือนคนอกหัก

ยอมรับว่าตอนเด็กๆเราก็มองคนอื่นที่ชีวิตเขาไม่ต้องทำงาน พอเราอยู่ในช่วงวัยรุ่นคนก็ได้เที่ยวแล้วเราไม่ได้เที่ยวแบบคนอื่น เราก็มีความคิดนั้นเหมือนกันว่า ทำไม ทำไมกูแบบไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเค้า แต่พอมาถึงวันนี้ ถ้าย้อนกลับไปได้ ก็จะไปบอกเด็กคนนั้นว่า โชคดีแล้ว คิดดีแล้ว เพราะตอนนั้นก็พยายามจินตนาการไปล่วงหน้าว่า มันคงมีเหตุผลบางอย่างแหละที่ทำให้เราต้องสู้หนักกว่าคนอื่น แต่ ณ วันนี้เราก็เห็นแล้วไงว่าการสู้ของเรามันทำให้เรามีประสบการณ์ เขาเรียกบาดแผลทุกบาดแผลมันทำให้เรามายืนตรงนี้ แล้วเราก็สร้างอะไรดีๆให้คนอื่นได้อย่างนี้ ผมว่ามันก็มีเหตุผลแหละของสิ่งที่เกิดขึ้น

ช่วงชีวิตที่รู้สึกตกต่ำที่สุด คือถูกคนอื่นตีเป็นมูลค่า

ที่ผมรู้สึกว่าตกต่ำที่สุดของผมคือ ตอนเด็กๆ ผมก็เป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีคนนึง และแน่นอนมันก็เหมือนกับว่าพอวันที่เราลำบาก มันก็มีคนพยายามจะแบบมาออฟเฟอร์อะไรเราบางอย่าง บางคนอาจจะรู้สึกดีก็ได้ แต่ผมเสียใจมาก เราลำบากอยู่แล้ว ไม่เท่ากับมีคนมาบอกว่าคุณมีมูลค่าอยู่เท่านี้ มันก็เจ็บปวดเหมือนกัน ผมเลยรู้สึกว่า นั่นคือจุดต่ำสุดในชีวิตผมแล้ว เพื่อนผม ที่ทุกวันนี้เป็น CFO บอกผมว่าชีวิตมึงจะไม่ต่ำกว่านั้นแล้ว มันเหมือนหุ้น คือ เขาเป็นคนเล่นหุ้น เขาก็บอกว่า มันเหมือนแบบ มันจุดต่ำสุดแล้ว ต่ำกว่านี้คือตายแล้ว

“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช" ผู้บริหารค่าย Be On Cloud
“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud

มันอาจจะมีชีวิตวัยเด็กลำบาก ทำไมโปรไฟล์ของปอนด์ กฤษดา ที่ทุกคนรับรู้ คิดว่าผมเติบโตมาในฐานะครอบครัวที่ร่ำรวยมากทุกคนจะคิดแบบนั้น จริงๆ ผมโดนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ต้องบอกว่าบุคลิกท่าทางผมดูเป็นคนรวยมากมาตลอด ซึ่งตอนเด็กๆก็ยอมรับว่ามีฐานะประมาณนึง แต่ก็ไม่ได้แบบโอ้โฮรวยขนาดนั้น คือผมไม่รู้ความรวยมันวัดยังไง แต่ตอนเด็กๆ ผมสบายมากจนถึงมัธยมปลาย คือผมก็ใช้เงิน ขับรถไปเรียน เลี้ยงเพื่อน ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วฐานะเราอาจจะอยู่ในระดับที่โอเคกว่าคนอื่น แต่เราแค่รู้สึกว่าเราใช้เงินได้สุรุ่ยสุร่าย ผมเคยอยากอยู่กับเพื่อนก็นั่งขึ้นรถเมล์กับเพื่อน แล้วก็ลงกับเพื่อน แล้วผมก็นั่งแท็กซี่ต่อ กลับบ้าน นั่นคือชีวิตวัยเด็ก

พ่อบอกว่าอยากใช้อะไรก็ใช้ไป เพราะเขารู้ว่ายังไงผมก็ไม่ได้เป็นคนฟุ่มเฟือยมาก แต่พอมันมาในจุดที่ลำบาก มันลำบากจริงๆ นะ ผมผ่านจุดลำบากที่แบบว่า สมมุติว่าคุณกินข้างทางมาตลอด คุณอาจจะไม่เคยกิน fine dining มันก็อาจจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุณกิน fine dining เป็น แต่ผมกินข้างทางน้อยมาก แล้วพอมาถึงวันที่ต้องกินข้างทางทุกวัน กับวันที่ต้องขับรถจากที่เคยขับเบนซ์ตากลมไปมหาลัย จนวันที่ผมต้องขับรถที่แบบธรรมดามากๆ ขับกระบะ มันไม่ง่ายเหมือนกัน

มันเหมือนคนไม่เคยลงไปจุดนั้นจะไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วมันไม่มี privilege จากคนที่เคยมี privilege มันยาก คนเคยสะดวกสบายแล้วมันไม่สะดวกสบายมันทรมาน ง่ายๆ เลยทุกวันนี้ผมยังเป็นคนที่พับผ้ากับทำงานบ้านไม่เป็น ตอนนั้นต่อให้ผมต้องอยู่คนเดียว ผมก็ลำบากในเรื่องแบบนั้นอยู่ เพราะว่าตอนนั้นเราไม่มีแม่บ้านแล้ว เราก็ต้องไปส่งร้านซักรีดในชุมชนธรรมดา มีกลิ่นอับมาบ้าง หรือบางครั้งเขาเอาเสื้อผ้าไปให้ลูกใส่บ้าง มันก็เป็นเรื่องที่เรารู้สึกเราไม่รู้จะคอนโทรลยังไง ตอนนั้นพอมีปัญหา ไปสถานีตำรวจ ก็ไม่มีใครยื่นมือช่วยเรา คือ ผมเลยรู้เลย การที่มันเป็นคนที่ไม่มีสิทธิมีเสียง ไม่มีอำนาจ ในการต่อรองมันลำบาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกลำบากหมดแต่ที่ไทยในยุคนั้นอาจจะลำบากมากหน่อย

ใช้หลักความรักจากครอบครัวบริหาร บี ออน คลาวด์

“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช" ผู้บริหารค่าย Be On Cloud
“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud


“พ่อแม่ผม สิ่งที่เขามีให้ผมมาตลอด คุณแม่ผมเป็นนักสู้มาก เป็นผู้หญิงตัวเล็ก 150 กว่า แต่อดทนมากและเป็นนักสู้มากๆ พ่อเป็นคนกตัญญูมาก ทั้งสองคนเป็นคนกตัญญูมาก มันทำให้ผมรู้สึกว่า ความรักมันสำคัญมาก โดยเฉพาะความรักของครอบครัว ตอนผมทำ บี ออน คลาวด์ ผมเริ่มด้วยความรัก แต่ในฐานะของคนบริหารองค์กร บางครั้งเลี้ยงด้วยความรักอย่างเดียวไม่ได้ นั่นแหละ แต่นี่คือเหตุผลว่า ตัวละครนี้ทำไมเป็นอย่างนี้แล้วมายังไง เพราะผมโตมาในครอบครัวที่ต่อให้มันจะมีปัญหาสถานะการเงินในช่วงนึง แต่ว่าความรักของเรามันไม่เคยหายกันไปเลย มันเต็มเปี่ยมมาตลอด และมันเป็นแรงให้ผมสู้มาตลอด

ตอนตัดสินใจมาทำคินน์พอร์ช เดอะ ซีรีส์ ก็มีปัญหาเยอะมาก ผมว่าจริงๆ ช่วงนั้นผมสนิทกับมาย ภาคภูมิ มากต้องบอกก่อนว่า ทำไมหลายๆ คนอาจจะเห็น เคยได้ยินมาบ้างเวลาผมพูดบนเวทีหรืออะไรก็ตาม อาจจะไม่เข้าใจภาพ สนิทกันมากจริงๆ เพราะว่ามันเป็นช่วงก่อนโควิด แล้วพอเข้าโควิดปุ๊บ เราเสียหุ้นกันหนักทั้งคู่ แล้วเราก็เหมือนแบบจากที่ผมคิดว่า เฮ้ย มันจะชิลๆ แล้ว ชีวิตจะไม่อะไร ก็คิดว่า โอเคเราก็พักผ่อนชิลๆ แต่โควิดมันทำให้มันเกิดการบีบรัด ที่ทำให้เราไปไหนไม่ได้ พอเราอยู่กับเขาเยอะๆ มันทำให้เราเห็นความตั้งใจของเขาว่าเขาคาดหวังกับโปรเจกต์คินน์พอร์ชไว้มากพอสมควร

เพราะว่ามายเขาเว้นวรรคการตัดสินใจที่จะรับเล่นซีรีส์วายมาเยอะ จนเขาตัดสินใจกับเรื่องนี้ แล้วพอมันจะพังลง ผมเห็นว่ามันไม่แฟร์สำหรับเขา เราก็รู้สึกเฮ้ยเราก็ใช้ความสามารถของเรา ความตั้งใจของเราเข้าไปช่วยดีกว่า เพราะเรารู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนที่ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ของผม

มายเป็นเพื่อนที่ผมสบายใจ เป็นมิตรภาพที่ดีมาก ถ้าเราทำให้เขาได้ มันน่าจะโอเค แล้วบวกกับเจออาโป ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจทำ 100% ด้วย เจอตอนนั้นแถวๆ ร้านอาหาร มายก็นัดมา วันแรกที่ผมเห็น โปไม่ใช่คนนี้เลยนะครับ แต่ผมเห็นว่าเขาเป็นคนนี้ได้ คือลึกๆ ของเขาเป็นคนที่มีความรักที่จริงใจกับการแสดงมากๆ

แล้วผมรู้สึกว่า โอ้โฮคนนี้ถ้าเกิดว่าไม่ได้ทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา มันจะเสียของมากเลยนะ พอเริ่มจากสองคนนี้ปุ๊บ มันก็ลากไล่ไปจนถึงคนอื่นๆ ผมเลยเริ่มจากความรักจริงๆ ที่หวังดีกับคนอื่น แล้วก็เลยลงไปทำมัน พอทำมันเสร็จปุ๊บก็ไหลไปด้วยความรัก มันก็เลยไปไกลเลย เพราะผมเชื่อว่าความรักมันมีพลังเยอะมากนะครับ“

ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อ “คินน์พอร์ช เดอะ ซีรีส์” ล้างภาพคนรวยในละครไทย

คินน์พอร์ช เดอะ ซีรีส์
คินน์พอร์ช เดอะ ซีรีส์


“ตอนนั้นผมบอกเลยว่าผมรักทุกคนมาก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในโพสิชั่นไหนที่เกี่ยวกับคินน์พอร์ช ผมรักทุกคนหมด เพราะฉะนั้นไปเลย ไปอีก ผมทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ แรงเงินเพื่อคินน์พอร์ช ช่วงนั้นมีคนมาเตือนผมเยอะว่าทำแบบนี้เจ๊งแน่นอน ผมว่าผมมีลูกบ้ากับความเป็นนักเลงในตัวพอสมควรตอนนั้นผมคิดว่าเราดูคอนเทนต์เยอะ แล้วความจริงซีรีส์วายมันก็มีไม่น้อย ถ้าจะทำมาเฟียแล้วรวย ไม่ลงทุน มันจะไม่มีทางเข้าถึงคนวงกว้างได้

สมมติว่าคำว่ารวยในละคร ผมเข้าใจนะด้วยบัดเจท ก็จะอยู่ในบ้านใหญ่ๆ บันไดวนๆ มีน้ำพงน้ำพุ ท่านครับอะไรนี้แต่ผมรู้สึกว่าแบบจริงๆ หรือเปล่าที่อยู่ในชีวิตลักชูรี่จริงๆมัน มันมีอีกแบบนึง มันมีสไตล์อีกแบบนึงแต่เราไม่เคยถูกเล่าเลย เพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มลักชูรี่จริงๆ ผมเลยรู้ว่าไลฟ์สไตล์ที่ลักชูรี่ มีรสนิยมที่คนต่างประเทศเขาเข้าใจมันเป็นยังไง ผมก็เลยรู้สึกว่าเราต้องทำให้ถึง แต่แน่นอนมันมาพร้อมงบประมาณที่สูงและความกล้ามากๆ เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มคนที่เป็นระดับโกลบอลได้ แล้วสุดท้ายมันก็ทำได้จริงๆ เขาเรียกว่ามันทำให้คนสัมผัสได้ว่านี่เป็นที่ๆ ฉันก็เข้าใจเหมือนกัน มันคือนอร์มเดียวกัน ต่อให้เขาฟังภาษาไม่รู้เรื่องแต่เป็นภาพรวมที่เขาเข้าใจเหมือนกัน ผมว่านี่คือเหตุผลที่คินน์พอร์ชมันโดนใจทุกคน

แล้วผมก็ลงไปเหนื่อยมาก ตอนทำคินน์พอร์ชนี่ผมบอกเลยว่า โห เหนื่อยจริงๆ ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ตอนลำบากยังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลย แต่มันก็สนุกมาก มันเหมือนโลกใบใหม่ มันเหมือนผมไปโรงเรียนที่ทุกคนพร้อมสอนโดยที่ไม่ต้องสอนเพราะว่าทุกคนก็ต้องเอาตัวรอดกันหมด เราก็ต้องเรียนรู้ไป“

เฉลย “คินน์พอร์ช” = “ปอนด์ กฤษดา” เอาประสบการณ์ตัวเองใส่ในตัวละคร


และก็ต้องบอกว่า ที่ผมทำคินน์พอร์ชได้ดี พอฟังสตอรี่ผมแล้วเนี่ย บางคนอาจจะคิดว่าภาพนี้ โอ้โฮลักชู คาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่เด็ก ใช่…แต่เห็นมั้ย ผมคือพอร์ช แล้วทุกวันนี้ผมก็คือคินน์ไง ผมเลยเข้าใจตัวละครสองตัวนี้มากๆ แล้วผมผูกพันกับตัวละครคินน์พอร์ชมากๆ ตอนที่ได้ทำบทกับน้องๆ นักเขียน ผมใส่ความเป็นตัวเองลงไปเยอะมาก แม้แต่กระทั่งตอนไปกำกับผมยังเข้าใจอินเนอร์ของพอร์ชที่รักน้องมาก ปกป้องน้องมาก ต้องสู้ทุกอย่าง ผมเข้าใจคินน์ที่วันนี้คินน์เป็นอย่างงนี้อย่างนั้น คือมันเหมือนเรา เราคอนเนคกับตัวละคร แล้วมันทำให้พอเราคุยกับมายและโปแล้วสองคนนี้เราสนิทอยู่แล้ว มันก็ง่ายกันมากขึ้น เพราะงั้นความยากในมุมอื่นๆมันก็เลยหายไปเพราะว่าเราสื่อสารกันเองรู้เรื่อง

ผมเอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองจริงๆ ใส่เข้าไปในตัวละครหลายอย่าง มันมีซีนอย่างโป๊ะเรือ มันก็เป็นซีนที่เกิดจากชีวิตผม แล้วผมก็ตั้งใจเลยที่จะให้มันเป็นอย่างนั้นแล้วก็คุยกับน้องๆ นักเขียน แม้กระทั่งวางเพลงแค่เธอ ตอนนั้น จังหวะอย่างนั้นผมก็ทำกับห้องตัด ทุกอย่าง ผมกล้าบอกว่า ไปถามเบื้องหลังได้เลยว่าคินน์พอร์ชผมอยู่ในทุกจุด ผมไม่มีขี้เกียจเลย ผมทำงานหนักที่สุดเลยดีกว่า ผมอยู่กับการตัดต่ออย่างละเอียดทุกอย่าง ผมจำได้ทุกซีน ผมเป็นคนสุดอยู่แล้ว ผมใช้ชีวิตสุดทุกเรื่อง ถ้าตัดสินใจทำเมื่อไหร่ผมไม่เคยกั๊ก ผมว่าผมเป็นคนบ้านิดนึง”

มั่นใจตั้งแต่แรกว่า “คินน์พอร์ช” จะต้องประสบความสำเร็จ

คินน์พอร์ช เดอะ ซีรีส์
คินน์พอร์ช เดอะ ซีรีส์


“มั่นใจมากๆเลยครับ ตอนนั้นเราคุยกันเอง เราก็พูดว่าถ้าคนทำกันเองยังรู้สึกเลย คนดูก็รู้สึก แล้วผมตัดต่อทุกวัน ผมแบบละเอียดมาก ตัดไปออนไป ผมจำได้ว่า ผมตัดทุกที่ ไปต่างประเทศก็ตัด อยู่ในอ่างน้ำก็ตัด จนผมรู้สึกว่าผมไปอยู่ในโลกของคินน์พอร์ชแล้ว ผมอินกับตัวละครมาก ผมหลงรักตัวละครทุกตัวมากๆ จนผมรู้สึกว่าถ้าวันนี้เราอินคนดูต้องอิน แล้วเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ความสำเร็จของคินน์พอร์ชมันบียอนด์กว่าที่เราคิดไว้อีก มันไปไกลมากๆ จนรู้สึกว่ามันไม่แปลกใจ มันไปไกลกว่าที่คิดไว้มากๆ

วันที่มันประสบความสำเร็จมันเป็นโลกอีกใบนึง ที่มันไม่ใช่แค่เราที่ภูมิใจกับมัน แฟนๆ ก็เติบโตไปกับเรา ทุกวันนี้แฟนๆ ก็ยังอินอยู่ต่อจะให้มีดราม่าอะไรก็ตาม มันเป็นส่วนหนึ่งของที่คินน์พอร์ชสร้างมาไงครับ แล้วสังเกตได้ว่า คินน์พอร์ชสร้างปรากฏการณ์ที่มันไม่เคยมีมาก่อนหลายอย่างมาก การที่พาใครไปถึงจุดไหนบนโลกได้ด้วยคอนเทนต์ซีรีส์เรื่องเดียว ผมอยากให้ทุกคนปรบมือให้ทีมงานทุกคนเลย ที่อดทนและก็ตั้งใจทำจนคินน์พอร์ชมันพาให้คนทั่วโลกได้รู้จักความเป็นไทยในอีกรูปแบบนึงอย่างชัดเจนว่า ความเป็นไทยไม่ต้องเป็นอาหารหรือแม้กระทั่งไม่ต้องเรียบร้อย เพราะคินน์พอร์ชก๋ากั่นมากๆเลย แต่ทำไมโดนใจทุกคนได้ อันนี้ผมว่าน่าสนใจ”

โมเมนต์พา “คินน์พอร์ช” ซีรีส์แรกของไทยที่ถูกพาไปเวิลด์ทัวร์


จริงๆอยากไปทั่วโลกเลย แต่ ณ ตอนนั้นด้วยเวลามันจำกัด แล้วเราเดินทางกันที 56 คน ตอนนั้นโจทย์ของผมคือ ถ้าเราจะทำโชว์มันต้องไม่ใช่แฟนมีตติ้ง เราอยากทำโชว์ให้รู้ว่าคนไทยทำโชว์เก่งมาก ผมอยู่วงการคอนเสิร์ตมาก่อน ผมรู้ว่าทีมงานของไทยเรานี่แหละคือทีมงานที่อยู่เบื้องหลังคอนเสิร์ตฝรั่งหรือเกาหลีเยอะมาก

ถ้าเราเอาคนเก่งๆ มารวมกันแล้วทำโชว์ของไทยแล้วออกไป ซึ่งตอนนั้นให้ไลฟ์เนชั่นพาออกไปครั้งแรก เรียกว่าเป็นโชว์แรกของไทยเลยดีกว่าที่เคยถูกพาออกไปเป็นเวิลด์ทัวร์จริงๆ พอไปปุ๊บ ผมบอกเลยว่าผมจำทุกความรู้สึกได้ดี ผมพูดกับทุกคนเสมอถ้าใครเคยไปดูเวลาเราบรีฟ เราจะบรีฟแล้วกอดคอกัน แล้วก่อนที่จะขึ้นโชว์จะบอกว่า ให้จำโมเมนต์นี้ไว้ มันอาจจะไม่มีอีกแล้ว ทุกครั้งที่ออกไปเราจะไม่รู้เลยว่าฟีดแบคของแฟนๆ จะเป็นยังไง พูดแล้วยังขนลุกเลย เสน่ห์ของโชว์คือ เสียงกรี๊ด เวลาคนกรี๊ด มันมีแรงปะทะเข้ามาสู่เรา มันเป็นทั้งลมทั้งเสียงเข้ามา ปุ้ง มันแบบน้ำตาไหล

เรามีเพลงไทยอย่าง แค่เธอ ตอนนั้นที่พอแค่เธอออกมาทุกคนไม่คุณจะเป็นประเทศไหนก็ตามเขาร้องตาม โอ้โฮมันขนลุกมากๆ ผมว่ามันเป็นประสบการณ์ชีวิตนึงที่ผมรู้สึกภูมิใจมากๆ เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิต

การที่เราได้เจอแฟนๆของผลงานที่เราทำ เจอกันแบบตัวเป็นๆ มันสนุกมากนะครับ การอ่านในโซเชียลมันคือเรื่องนึง แต่พอเจอกันแล้วมันมีปฏิสัมพันธ์กัน ช่วงโควิดคนต้องอยู่ในกรอบ ด้วยภาวะเศรษฐกิจต่างๆ หลายๆ คนก็ซึมเศร้านะ การมีคินน์พอร์ชฮีลใจคนเยอะมาก แม้กระทั่งตัวผมเอง จนผมรู้สึกว่าเออ เสน่ห์ของการทำงานบันเทิง มันคือดีแบบนี้นี่เอง เพราะมันคือความบันเทิงมันทำให้คนมีความสุขขึ้น

วิธีรับมือเมื่อวันหนึ่ง “คินน์พอร์ช” มาถึงจุดวิกฤตเหนือเมฆ ดราม่าถาโถม

“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช" ผู้บริหารค่าย Be On Cloud
“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud


“ณ ตอนนั้นผมอาจจะเข้าใจว่าเป็นแบบนั้น แต่ ณ ตอนนี้ผมไม่ได้มองเป็นวิกฤตอีกต่อไปแล้ว ผมมองว่ามันเป็นจุดที่ทำให้ทุกคนได้มาตระหนักแล้วก็คิด เขาเรียกว่าพักหายใจ เพราะคินน์พอร์ชมันไปพุ่งๆๆๆ มันไม่ใช่แค่เราที่ไม่ได้หยุด ผมเชื่อว่า แฟนๆ ก็ไม่ได้หยุดคิด มันประสบความสำเร็จเหลือเกิน แล้วมันก็ทุกๆ อย่างมันตู้มต้าม ทำอะไรก็ ตู้มต้าม ตู้มต้าม ไปหมด

จนเราลืมไปว่าจริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนบนโลก ธรรมชาติทุกอย่างมันมีตำหนิ ทุกอย่างมันมีตำหนิ เราต้องหันมามองที่ตัวเราเองก่อน มานั่งโทษคนอื่นมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าจริงๆแล้วเราต้องแก้ไขอะไรบ้าง เราต้องทำอะไรบ้าง ตอนนั้นมันยากเหลือเกินสำหรับผม เพราะว่าผมหลายหน้าที่มาก โชว์ผมก็ทำเอง ทุกอย่างผมทำเอง

แล้วตอนนั้น บี ออน คลาวด์ มันเพิ่งเปิดมาใหม่ ผมไม่ได้ไปเทคโอเวอร์บริษัทที่เขามีอะไรอยู่แล้วนะ ผมเทคโอเวอร์บริษัทที่มีปัญหามาทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นผมต้องมาสร้างใหม่ แล้วพอมันเกิดจังหวะนั้น ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมเสียใจ อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปตอนนั้นว่ามันเหมือนคนอกหักแหละ แต่มันไม่ได้เป็นการอกหักในเรื่องของความรักแบบชู้สาวไง เพราะฉะนั้นมันฮึบได้เร็วแล้วมันก็เข้าใจโลกได้เร็ว

ทุกวันนี้ผมยังขอบคุณทุกคนที่เคยอยู่ในโปรเจกต์คินน์พอร์ช เพราะว่าไม่มีใครสักคนมันก็ไม่มีทางไปถึงจุดนั้นได้ แต่แน่นอนพอมันมีปัญหา มันทำให้ผมพัฒนาตัวเองขึ้น มันเป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์ที่คุณสามารถพัฒนาความคิด และก็ตรรกะของคุณได้จนวันที่คุณตาย มันไม่มีวันสิ้นสุดหรอก เพราะฉะนั้นถ้ามีใครว่า คุณเจ๋งแล้ว ไม่ต้องปรับ ผมว่าบนโลกนี้ไม่มี ยังไงทุกคนมนุษย์ก็ปรับได้ แล้วผมก็รู้ตัวว่าผมปรับ ผมนั่งดูตัวเอง จริงๆ ผมใจเย็นในการสื่อสารมากขึ้น สมัยก่อนผมพุ่งๆๆๆๆ เพราะว่าเรามาจากการต้องสู้ไง

โชกโชนการใช้ชีวิตแต่ยังอ่อนหัดกับโซเชียล


“เวลาคุยกับต่างชาติ เขาไม่ดูนามบัตรกันแล้ว เขาขอดูอินสตาแกรม เลยเป็นที่มาการเล่นโซเชียลของผม อินสตาแกรม krispond.w จากคนที่ไม่เคยเล่นโซเชียลผมรับมือมันยากมาก วันนี้ผมอยากจะแก้ข่าวที่หลายๆ คนแคปไปว่าผมด่าแฟนคลับว่าเสร่อ เพราะเขาด่าผมก่อนว่าผมไม่ช่วยบิว ไม่ช่วยปอย แต่จริงๆ เรารู้ไงว่าช่วยทั้งคู่อยู่ แล้วเราโดนด่ามันเจ็บนะครับ ณ ตอนนั้นคือเราไม่สามารถรับมือมันได้อยู่แล้ว เพราะเรารู้สึกว่าความจริงเราช่วยทั้งคู่จนเราเจ็บ แต่ว่าคุณมาบอกว่าไม่ช่วยเลย ชั่วชาติ ผมเลยด่ากลับว่าเสร่อ

มันไม่ควร แต่ต้องยอมรับก่อนว่า ณ ตอนนั้น ผมรู้สึกว่า ก็คุณด่าเรามาทำไมเราถึงสู้ไม่ได้วะ แต่ ณ ตอนนี้ผมรู้สึกว่า มึงไม่ต้องสู้ทุกอันก็ได้หนิ ก็ปล่อยไปเถอะ เพราะถ้าสู้เขาไปก็สู้ไม่จบหรอก เพราะคนที่มีอคติ เราไม่มีทางเปลี่ยนอคติเขาได้ แต่ ณ วันนั้นผมยังไม่ได้เป็นคนที่คิดได้แบบนี้ไง ก็ต้องขอบคุณเหตุการณ์วันนั้นด้วย มันทำให้ผมรู้เลยว่าการไม่มีสติ เราไปนั่งต่อสู้ในศึกที่เราไม่ควรต้องต่อสู้มันไม่มีประโยชน์อะไร มันมีแต่เจ็บเอง

มันเจ็บเองมันไม่เท่าไหร่แต่มันสร้างผลกระทบให้คนอื่นๆ ในชีวิตเราด้วย เลยเป็นจุดเปลี่ยนของผมเลย สังเกตได้ว่าการเล่นโซเชียลของผม หรือแม้กระทั่งการสื่อสารในชีวิตจริงของผมซอฟต์ลงเยอะมาก ดีใจกับตัวเองมาก แล้วก็ขอบคุณเหตุการณ์นั้น ทำให้ผมพูดช้าลงด้วย จากที่มันเคยพรวดๆ ออกมา แต่ตอนนี้มันผ่านจิตใต้สำนึกอีกนิดนึง สติอีกหน่อยนึงแล้วไป แต่ยังไม่ผ่านสมองนะ

ผมเป็นคนยังชอบพูดโดยที่ไม่ต้องคิดอยู่ เพราะว่ามันเรียลกว่าเหมือนนั่งคุยกันผมก็บอกว่า ผมไม่อ่านคำถามก่อนนะ เพราะว่ามันเรียลกว่า เพียงแต่ว่าเราผ่านสติอีกนิดนึงก่อน เราหายใจสักเฮือกนึงก่อน แล้วเราก็ไม่ต้องไปต่อสู้ในทุกจุดที่ไม่จำเป็น อคติ ปล่อยให้คนที่เขาเป็นเขาคิดได้เองหรือถ้าคิดไม่ได้ มันเป็นปัญหาของเขา เราทำของเราให้ดีที่สุดก็พอ”

เปลี่ยนมายเซ็ทในการใช้ชีวิต สูงได้ ก็ลงได้ ไม่มีอะไรที่จะอยู่ตลอดไป


เปลี่ยนครับ ชีวิตจริงก็เปลี่ยน ในธีมการทำงานก็เปลี่ยน ผมนิ่งขึ้นและก็กลมกล่อมมากขึ้น อันนี้ดีใจกับตัวเอง ถามว่า จิตใจยังเหมือนเดิมแต่วิธีการสื่อสารเปลี่ยน เราพยายามระวังการทำอะไรให้มันกระทบจิตใจคนอื่นมากขึ้น ณ วันนี้ ปลายทางอยู่ตรงนั้น ผมขับรถให้ไม่ไปสาดใคร ค่อยๆ ตรงไป ไปอย่างช้าๆ และสวยงาม

“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช" ผู้บริหารค่าย Be On Cloud
“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud

ผมว่ามันเป็นสัจจธรรม ผมว่ามันไม่มีอะไรสูงตลอดได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมว่าดีแล้วที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้น มันทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะตอนทำคินน์พอร์ชผมว่ามันเกินจริงไป มันยิ่งใหญ่เกินจริง เกินฝัน เกินที่มนุษย์อย่างผมและก็ทีมเราจะรับมือมันได้ วันนั้นมันทำให้เราได้เป็นคนนี้

วันนี้เราพร้อมมากๆ แล้วผมรู้สึกว่ามันธรรมชาติขึ้นเยอะมาก แต่ไม่ใช่ความสำเร็จวันนั้นมันจะไม่ดีนะ มันดีมากเหลือเกิน แต่อย่างที่บอก มันดีเกินจริง เรายังไม่โปรพอที่จะรับมือกับทุกอย่างขนาดนั้นได้ เรามีความฝัน เราพุ่งไปให้ถึง แต่ว่าระบบการจัดการของเรา แม้กระทั่งการจัดการสติของเรามันยังไม่พร้อมพอ ผมมองเป็นเรื่องที่ดี แล้วทุกวันนี้แม้คนจะบอกว่ามันไม่ได้สูงเหมือนตอนนั้น แต่ลงมาเรายังไม่ต่ำเลยนะครับ

ทุกวันนี้ผลงานที่เราทำหรือการที่ทำอะไรใหม่ ผมว่าถ้าทุกคนไปดูจริงๆ มันไม่เคยมีเรื่องบังเอิญนะครับ เราไม่เคยฟลุ๊คเลย การที่มาย-โปไปถึงระดับโลกได้ ทุกอย่างอยู่ในการวางแผนของทีมทุกคนอย่างดี

ตอนนั้นมันมีข่าวแรงๆ ว่าแบบจากสูงสุดสู่ต่ำสุดผมยังนึกอยู่ว่าผมว่ามันไม่ได้ต่ำ มันแค่ลดลงมา ซึ่งมันเป็นลดลงมาในจุดที่ทำให้คุณได้คิดว่าจริงๆ แล้วคุณต้องมั่นคงและแข็งแกร่งกว่านี้ พื้นฐานต้องแข็งแรงกว่านี้ก่อน ไม่งั้นมันจะไม่ดี เราผ่านชีวิตที่มันไม่ได้ง่ายมา มันไม่มีอะไรมาทำให้เราต่ำลงได้ แต่มันทำให้เราฉุกคิด ผมอ่านทุกคอมเมนต์เลย อ่านทุกคอมเมนต์แล้วผมมานั่งคิดว่าเราเป็นจริงมั้ย เราทำแบบนั้นจริงรึเปล่า อะไรที่เราทำจริงหรือใกล้เคียงว่าเราทำ เราต้องปรับนะ แต่อะไรที่มาด่าเราโดยที่มันไม่มีเหตุผลแล้วด้วยคำที่เกลียดชัง ผมไม่สนใจอยู่แล้ว เฉยๆ

จาก ”คินน์พอร์ช“ เดินหน้าต่อสู่ “แมนสรวง”


แมนสรวง เป็นความตั้งใจของผมที่อยากจะพิสูจน์หลายๆ อย่าง คือ ภาพยนตร์ทำยาก พีเรียดทำยาก ทำยังไงที่ไม่วายมากและพิสูจน์สิว่า แฟนๆ กลุ่มเรา เขาเข้าใจมั้ย เพราะต้องบอกว่าตอนทำคินน์พอร์ช ผมทำแบบจัดจ้านสุด ผมรู้สึกว่านี่คือมาตรฐานของระดับโลก เราต้องทำได้ พอแมนสรวงมันกลับด้านเลย มันพลิกไปอีกด้านนึง แต่กลายเป็นว่าเราสร้างแรงขับเคลื่อน

ผมไปเจอคุณหญิงต้น (หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี) ท่านชมอย่างจริงใจมาก ผมขนลุกมาก เพราะว่า สุริโยทัย เป็นภาพยนตร์ไทยที่ตอนนั้นทำให้ผมแบบอินมากๆ กับการที่เข้าใจประวัติศาสตร์และก็อินกับความเป็นไทย เราจะเห็นได้ว่าแมนสรวง มันทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ที่ไม่เคยออกมาโพสต์อะไรเกี่ยวกับภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งเพจภาพยนตร์แทบจะ 95% ให้กำลังใจเรา

เมเจอร์กับ SF ก็คือจับมือรวมกันแน่น เพื่อซัพพอร์ตแมนสรวง ผมภูมิใจมากกับสิ่งนี้ ผมรู้สึกว่าความตั้งใจของเรา มันออกผลแล้ว วันนี้แมนสรวงฉายหลายๆ ประเทศ ตอนนี้ฉายอยู่ที่เวียดนาม และกำลังจะไปที่อื่นอีก มันไม่ได้ง่ายเลยกับการที่เราเลือกทำภาพยนตร์ไทยที่ไม่ได้เข้าใจง่ายสำหรับตลาด แม้กระทั่งไทยเอง ต้องใช้ความกล้ากับเม็ดเงินที่สูง แต่ ณ ตอนนี้ผมภูมิใจ มันทำให้ผมรู้สึกคุ้มค่าทุกบาทเลยครับ

แมนสรวงมีแค่ 2 ชั่วโมง แล้วเรื่องราวมันเป็นวัฒนธรรมไทย ซึ่งวัฒนธรรมไทยในตลาดโลก ไม่ได้มองว่ามันป๊อปปูลาร์ขนาดนั้น เขาก็บอกว่า มันเข้าใจยาก ไม่เอาดีกว่า หลายประเทศปฏิเสธเรามา หลายๆ ประเทศก็บอกว่าคงไม่ใช่ของที่คนบ้านเขาจะชอบ เพราะว่าถ้าเป็นหนังไทยคนจะชอบหนังผี หนังตลก อันนี้คือเรื่องจริงๆ ผมโดนแบบนี้มาเยอะ แต่ผมก็สู้ๆๆๆ ผมจ่ายตังค์ไปเองผมก็จ่าย ผมก็สู้อยู่ เพราะอยากให้คนได้ดู

ตอนนี้คอนเซปต์ของผมคืออยากให้คนได้ดูแมนสรวง มันไม่ต้องเกี่ยวว่าผมจะได้เงินเท่าไหร่เพราะว่าผมเชื่อว่า ผมไม่มีวันขาดทุนจากเรื่องนี้ ผมมั่นใจไม่มีทางขาดทุน ต่อให้เราจะลงทุนไปเยอะก็ตาม ผมไม่มีทางขาดทุนจากเรื่องนี้แน่นอน เพราะว่าตอนนี้เราก็รู้อยู่แล้วว่า มันทำอะไรได้บ้าง เพียงแต่ว่ามันใช้เวลาและมันก็ใช้ความอดทน ที่หลายคนอาจจะยังมองไม่เห็น แต่เราในฐานะคนทำและที่เราวางมาเราเห็นมาหมด

“แมนสรวง” กู้ศรัทธา บี ออน คลาวน์

แมนสรวง
แมนสรวง


ณ วันนี้ ผมเชื่อว่า นักแสดงเอง ทีมงานทุกคนเอง หรือแม้กระทั่งแฟนๆ ที่เป็นกลุ่มเดิมเอง ทุกคนภูมิใจกับแมนสรวงมาก อันนี้เป็นจุดนึงที่ผมรู้สึกว่า ผมกู้ศรัทธาของ บี ออน คลาวด์ กลับมาได้ดี แล้วคิดดูว่าผมอดทนกับการที่ผมโดนด่ามาเยอะมากเหมือนกันนะ วันนี้ผมก็อยากจะบอกทุกคนเหมือนกันว่า อยากให้ทุกคนให้เวลากัน เพราะว่านักแสดงเราเองทุกคน อยากจะบอกว่าในค่ายผมไม่เคยกั๊กใครเลย ใครอยากจะทำอะไร ถ้ามีโอกาสที่ดี ไปทำได้เลย

ตั้งแต่คินน์พอร์ช มาสู่แมนสรวงมันเป็นการจุดกระแสเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ไทยในตลาดทั่วโลก ผมภูมิใจในความเป็นไทยมาตลอดอยู่แล้ว เวลาที่ผมไปเมืองนอกผมชอบเอาความเป็นไทยไปด้วย ไปเล่าให้เขาฟัง เมืองไทยมีดีนะ แต่ผมจะเล่าในมุมของผมนะ ผมเป็นคนชอบปาร์ตี้มากๆ ผมจะไปบอกว่า เมืองไทยปาร์ตี้สนุก เมืองไทยมีทะเลสวย ผมจะชอบเอาไปเล่าให้เขาฟัง นี่แหละคือซอฟต์พาวเวอร์ แต่เราจะนำพาซอฟต์พาวเวอร์ไปแบบในวงกว้าง แน่นอนมันต้องพึ่งสื่อบันเทิงคินน์พอร์ชทำสำเร็จโดยไม่ได้รับการซัพพอร์ตจากใครเลยยกเว้นแฟนๆ และก็สื่อบางสื่อเท่านั้น ในช่วงนั้น ตอนนั้นเป็นสื่อต่างประเทศมากกว่าสื่อไทยด้วยซ้ำ

พอวันนี้ แมนสรวง เป็นจุดที่ผมรู้สึกว่า คำว่าซอฟต์พาวเวอร์ที่เราตั้งใจทำมันเห็นเป็นรูปธรรมจริงๆ ในวงของคนไทยด้วยกัน ชัดเจนขึ้น คุณจะเห็นได้มากกว่านี้หลังจากนี้ว่า แมนสรวงมันทำอะไรได้อีก มันส่งผลอะไรได้อีก มันไปได้อีก อยากให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้กลับมาพูดคุยกันว่าซอฟต์พาวเวอร์ที่คุณพูดถึง มันควรจะสนับสนุนกันในรูปแบบไหนบ้าง มันทำได้มากกว่านี้อีกนะ

ไม่งั้นเกาหลีเขาไม่ทำได้ขนาดนั้นหรอก แต่ทุกคนต้องจับมือร่วมกัน มันไม่ใช่แค่รัฐบาลแล้ว มันต้องเป็นทุกภาคเลย ทุกภาคส่วนมาจับมือร่วมกันว่า ถ้าคุณมองเห็นว่า สื่อบันเทิงมันสามารถยกระดับอะไรได้บ้าง มันสร้างเม็ดเงินได้เท่าไหร่ นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่สื่อบันเทิง ทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ รวมทั้งตัวนักแสดงเอง สามารถขยับเขยี้อนเศรษฐกิจในภาคส่วนไหนได้บ้าง แล้วถ้าเกิดเราซัพพอร์ตกันเป็นวงกว้าง มันจะขยับเขยื้อนเศรษฐกิจในภาพใหญ่กว่านี้ได้อีกนะ

ยุทธศาสตร์ในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์


อย่างแรกเราต้องภูมิใจไปในทางเดียวกันก่อน ทุกวันนี้เรายังโดนตัดสินอยู่เลย ที่ได้ยินมาเยอะมาก แมนสรวงดีแต่แบบเป็นหนังวาย ไม่ดูดีกว่า นี่ไง ผมเลยบอกว่า สิ่งที่ผมคิดได้มากที่สุดเลยว่าอะไรควรที่จะลดคือการตัดสิน มันไม่ใช่หน้าที่คุณที่จะมาให้คะแนน หรือมาจัดกรุ๊ปว่าเขาควรอยู่ในกลุ่มไหน คุณไปดูเพื่อความบันเทิง คุณบันเทิงมั้ย นั่นแหละ พอแล้ว ถ้าไม่บันเทิงก็คือไม่เป็นไร ก็สามารถวิจารณ์ได้ในมุมที่ว่าฉันไม่ชอบเพราะอะไร แต่ไม่ใช่บอกว่า ฉันไม่ชอบเพราะมันเป็นแบบนี้ ผมว่าตัดสินแบบนี้มันหาความเท่าเทียมกันที่พูดอยู่ไม่เจอหรอก แล้วอคติแบบนี้มันทำให้วุ่นวายไปทั้งสารบบเลย

เปลี่ยนมุมมองคนต่างชาติเกี่ยวกับหนังไทยได้บ้างมั้ย ผมว่าหลายคนก็ตกใจนะ มันไม่ได้เรียบร้อยขนาดนั้นไง แล้วมันก็จัดจ้าน และโปรดักชันทีมที่ทำต้องบอกว่าทุกคนคือเป็นมือระดับโลกหมด มันทำให้รู้ว่าคนไทยเก่ง คือมันไม่ใช่เพราะผมเก่งนะ ผมว่าผมมีทีมที่มีความเชื่อเดียวกันหมดเลย แม้กระทั่งคนที่เห็นอาโปเป็นตัวละครรำ เห็นมายในบทบาทนี้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่คุ้มค่าเหลือเกิน

ผมกล้าพูดว่าไม่รู้ผ่านไปอีกกี่ปี เราจะไม่เห็นตัวละครรำที่งดงามเท่าเขม ที่รับบทโดยอาโปอีกแล้ว ต่อให้มีก็จะไม่เท่า และจะไม่เหมือน อาจจะดีกว่าก็ได้ หรืออาจจะไม่ดีกว่าก็ได้ แต่งานในแบบนี้ มันไม่มีแล้ว แล้วผมภูมิใจ ผมว่านี่คือสิ่งที่ตัวนักแสดงเองก็จะภูมิใจไปตลอดชีวิตเหมือนกัน ผมว่ามันโอเคมาก

ตอนนี้แมนสรวงยังทำหน้าที่ของมันในตลาดต่างประเทศอยู่ มันอยู่ในจุดที่ผมว่า สำหรับภาพยนตร์แบบนี้กับค่ายเราที่เพิ่งเปิดขึ้นมาปีกว่าๆ แล้วทำภาพยนตร์เรื่องแรก ผมว่าผมภูมิใจมาก มากๆ เลย และผมไม่เคยคิดว่าผมต้องแข่งกับใคร เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าผมจะชนกับใคร ผมตั้งเป้าหมายตามที่พวกเรา ไม่ใช่ผมคนเดียวนะ ใช้คำว่าพวกเราเชื่อ แล้วมันก็ฮิตเป้าหมายเราแล้ว ทุกงานที่เตรียมการและกำลังจะทำอยู่ตอนนี้ มันคือความตั้งใจและจริงใจล้วนๆ อย่างที่บอกว่า ผมใช้ความเชื่อเหลือเกินว่า งานที่ดีต้องเกิดจากความจริงใจและตั้งใจ ความจริงใจและตั้งใจต้องใช้เวลา

”มาย-อาโป“ จากคู่วายสู่แฟชั่นวีค และผู้ทรงอิทธิพลต่อแฟชั่นโลก

เพิ่งไปแฟชั่นวีคมา พามายกับอาโปไปในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของดิออร์ ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วการได้ทำงานกับ คริสเตียน ดิออร์ นี่เป็นไรที่แบบที่สุดของผมเหมือนกัน ผมเป็นคนทำเองทุกขั้นตอน ผมคุยเอง ผมเจอผู้บริหารดิออร์ทุกคน พูดคุยกันด้วยตัวเอง วางแผนทุกอย่างด้วยกันอย่างดี ผมไม่รู้จะขอบคุณเขายังไง เขาพาผมไปเจอประสบการณ์ที่เงินซื้อไม่ได้

หลายครั้งที่ผมเดินๆ อยู่ในงานหรือเดินอยู่ที่โรงแรมหลังเสร็จงานผมก็จับที่หัวใจตัวเองแล้วผมก็บอกว่าปอนด์ มึงเก่งมาก ทีมทุกคนเก่งมาก ที่เรามายืนตรงนี้ได้ ต้องบอกก่อนว่ามันไม่ใช่แค่การ house ambassador ของดิออร์ มันเป็นการทำงานร่วมกัน การวางแผนร่วมกันที่ดีมากๆนะครับ ทุกชุด ทุกลุค ทุกการเดิน การแต่งหน้า การวางแผนทุกอย่าง ไม่มีอะไรง่าย

เวลาไปแฟชั่นวีคไม่เคยไม่เหนื่อยเลย เหนื่อยมากทุกคน แต่เรามีความสุขมาก และที่สำคัญล่าสุด มันคือการติด BoF 500 มันคือ 500 คนที่ทรงอิทธิพลต่อแฟชั่นโลก ยากมากนะครับ กับคนที่เข้ามาในวงการนี้ในระยะสั้นแค่นี้ แล้วผมได้ไปอยู่ในงานนั้นด้วย มันเป็นความภูมิใจ ต้องให้เกียรติงานเขา ว่าผมคือคนที่ไม่เคยอยู่ในวงการแฟชั่นมาก่อนเลย แล้วผมได้ถูกเชิญไปด้วยโดยที่มายโปติด แล้วทุกคน สื่อ สังเกตุได้ว่า ถ้าไปดู สื่อต่างประเทศเยอะมากจากทั่วโลก มีมายอาโปอยู่ในนั้นหมด

อยากให้ทุกคนภูมิใจไปด้วยกันเพราะมันไม่ได้ฟลุ๊ค มันไม่ได้เกิดเพราะเขาสองคนหล่อหรือดัง ผมว่าการดัง ความหล่อ มันไม่ได้เป็นการตอบโจทย์ เพราะคนทั้งดัง ทั้งหล่อกันทั้งโลกแต่ทำไมเด็กไทย 2 คนนี้ถึงติด อยากให้ชื่นชมทั้งเขาแล้วทีมงานด้วยกันทั้งหมด รวมถึงทีมของดิออร์ที่เชื่อในทีมไทยทีมนี้

เราใช้ประสบการณ์แบบเดียวกัน ความเชื่อแบบเดียวกันพากันไป เราไม่เคยเหนื่อยเลย เรามีความสุขด้วยทุกครั้งเวลาไป ปีนี้ผมเดินทางไปผรั่งเศส 6 รอบ ปารีสเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองเลยมันเกินฝัน แต่ผมแอบเชื่อว่าจากสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไปได้อีก“

เป้าหมายต่อไปของ ปอนด์ กฤษดา นำ บี ออน คลาวน์ ก้าวสู่ระดับโลก


อย่างแรกเลยผมอยากให้ บี ออน คลาวด์ เป็นตัวเลือกของบริษัทบันเทิงไทย ที่มีคุณภาพ มีคาแรกเตอร์ที่ขัดเจน และคนทำงานมีความสุข ผมอยากไประดับโลกได้จริงๆ ผมอยากให้คนเห็นว่าคนไทย ความสนุกแบบไทยๆ มันเป็นสิ่งที่ยอมรับและเข้าใจได้ทั้งโลก

ผมเอนจอยทุกโมเมนต์ที่ผ่านมา และตอนนี้ผมเชื่อว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป มันไม่ใช่แค่พวกเราที่เอนจอย ผมเชื่อว่าทุกคนได้ดูผลงานของเราก็จะรู้สึกแบบเดียวกับเรา เพราะมันสร้างด้วยความเชื่อและความสุข

ผมพูดกับตัวเองเกือบทุกวันเลย ทำดีแล้ว ทำต่อไป เราพัฒนาตัวเองได้อีก เราเป็นคนที่ดีขึ้นได้ในทุกๆวัน ต่อให้อะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้เชื่อในความดีที่ตั้งใจไว้ เราเก่งมากแล้ว ไปต่อไอ้หนู

ผมได้เจอพี่วู้ดดี้ (วุฒิธร มิลินทจินดา) เขาก็สอนผมอย่างนึงว่าการเกลียดชังมันคือการตัดขาตัวเอง การที่เรามีความรักให้กับทุกคนได้แล้วก็มีความเข้าใจกัน มันคือการต่อยอดชีวิตที่ดีไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าอันนี้มันสำคัญมากเลย มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกรักทุกอย่างไปหมดเลย ตอนนี้ผมรักตัวเองมากๆ รักแบบไม่ได้หลงตัวเองนะ ทุกวันนี้ผมชื่นชมตัวเองบ่อยมาก ชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองทำให้กับตัวเองและทำให้ผู้อื่น ผมเลยพยายามบอกหลายๆ คนว่าเชื่อเถอะ เรามาสร้างความสุขให้ตัวเองก่อน แต่ต้องสร้างความสุขให้ตัวเองแบบพอดีนะ แล้วพอมันพอดีปุ๊บ คุณแบ่งส่วนที่มีให้คนอื่น แล้วคนอื่นเขาจะสร้างความสุขต่อไปเรื่อยๆ ผมว่ามันเป็นวิธีที่ง่ายมาก การเกลียดชัง ด่าทอ หรือการตัดสินคนอื่น มันไม่มีทางสร้างความสุขได้ ผมเชื่อมากว่า บี ออน คลาวด์ตอนนี้เป็นแบบนั้น

“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช" ผู้บริหารค่าย Be On Cloud
“ปอนด์ กฤษดา วิทยาขจรเดช” ผู้บริหารค่าย Be On Cloud

ขอบคุณแฟนๆ ที่สนับสนุน บี ออน คลาวน์


ขอบคุณมาก สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันมาถึงวันนี้ได้และทุกประสบการณ์ มันไม่ใช่แค่เพราะพวกเราแน่ๆ เพราะแฟนๆ แข็งแรงมากจริงๆ แล้วก็ขอโทษที่เคยทำให้รู้สึกไม่ดีบ้างในหลายๆ จุด อยากจะบอกว่าผมพยายามทุกวัน แต่มันไม่ได้ง่ายเลย เราพยายามจะรับมือกับพลังของทุกอย่าง ก็อยากให้ทุกคนให้โอกาส แล้วก็เติบโตไปด้วยกัน มีอะไรก็แนะนำกัน

ทุกๆ ปีช่วงปีใหม่ ก่อนที่จะทำ บี ออน คลาวด์ ผมจะอยู่กับคนที่ผมรักเสมอ แล้วมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะมีทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัวเพื่อน แต่ก่อนจะมีแค่ครอบครัวเรา มันมีไม่กี่คน จนมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนวันนี้ การข้ามปีใหม่กับกลุ่มคนที่เรารักหลายๆคนและทุกคนมาด้วยความสนุก และความรักร่วมกัน มันสำคัญสำหรับผม ผมเป็นคนที่ให้ค่าความรู้สึกดีมากๆ แล้วพอเวลาที่มันเป็นทุกข์หรือเป็นดราม่ามันจะหายไปไวมากๆ

ผมเลยอยากให้ทุกคนอยู่กันอย่างนี้ อย่างน้อยในวงการบันเทิงการที่คุณจะชื่นชอบใคร อย่าไปตัดสินหรืออย่าไปสั่ง อย่าด่าทอกันเอง มันคือ ความแข็งแรงของแฟนๆที่น่ารัก ที่เป็นแรงที่สนับสนุนนักแสดงที่คุณรักให้ไปสู่ระดับโลกได้

สำหรับ มาย-อาโป แค่การที่มีแฟนๆ ไปรอที่ปารีสเยอะขนาดนั้นมาตลอดเป็นปี มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วมันเป็นแบบนี้ทุกๆประเทศ มีแฟนๆ ไทยหรือแฟนๆ ต่างชาติช่วยกันเทรนด์ดิ้ง กดไลก์ นี่มันเป็นสิ่งที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการไทยมากๆ ผมเลยรู้สึกว่าสามัคคีกันเข้าไว้นะ ถ้ามีอะไรก็ละมุนละม่อม บอกเรา บอกกัน ด้วยความใจเย็นๆ รู้ว่ามันอาจจะขัดหูขัดตาบ้างแหละ แต่เชื่อเถอะว่าค่ายที่เปิดมาปีกว่าๆ ค่ายนี้ พยายามทุกวัน ขอให้เชื่อมั่นเราว่า เราจะไม่ทรยศความจริงใจของคุณเหมือนกัน แต่ขอให้เชื่อและให้โอกาสเราครับ

เสาหลักนักข่าวบันเทิงไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก