FEED พาคู่จิ้นคู่ใหม่ของวงการบันเทิงมาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักพวกเขากัน “ฟอร์ด ฐิติพงศ์” และ “พีท วสุธร” นักแสดงจากซีรีส์ บรรยากาศรัก (Love In The Air) ซีรีส์ Y ที่กำลังมาแรงในตอนนี้อีกเรื่องนึง สำหรับใครที่ยังไม่เคยรู้จักพวกเขา หรือแม้แต่เป็นแฟนคลับของเขาทั้งคู่อยู่แล้ว แต่หลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้ ระวังคุณจะโดนตกด้วยทัศนคติและความคิดที่ดีมากๆ ของนักแสดงหนุ่มทั้งคู่นี้
แนะนำตัวกันหน่อย
ฟอร์ด / พีท : สวัสดีครับพวกเรานักแสดงจาก บรรยากาศรัก เดอะซีรีส์ ครับ
ฟอร์ด : ผม ฟอร์ด ฐิติพงศ์ รับบทเป็น พระพาย ครับ
พีท : ผม พีท วสุธร รับบทเป็น สกาย ครับ
เส้นทางสู่วงการบันเทิง
พีท : เป็นช่วงโควิดดีกว่าครับเพราะว่าตอนนั้นก็คือ ผมยังทำงานประจำอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ช่วงโควิดที่เหมือนทุกคนต้อง Work From Home แล้วมันตรงกับจังหวะที่ Me Mind Y ของพี่เมย์ (เมย์-อรวรรณ วิชญวรรณกุล หรือ MAME นักเขียนนิยายและผู้จัด) เขาเปิดแคสต์ซีรีส์เรื่องนึง ผมก็เลยหาจังหวะไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญหรืออะไร เพราะว่ามันเป็นช่วงที่ พี่อ้น ผู้จัดการก็เข้ามาติดต่อผมว่า เดี๋ยวพาไปแคสต์นะ แล้วก็ได้มาแคสต์ของพี่เมย์ แล้วก็สุดท้ายก็ได้เล่น
ฟอร์ด : ผมจำได้ว่าแคสต์ซีรีส์เรื่องแรกครั้งแรก ตอนประมาณ ม.4 ขึ้น ม.5 ครับ แล้วก็แคสต์มาเรื่อยๆ จนเหมือนช่วงเข้ามหา’ ลัยอย่างนี้ ตอนนั้นตั้งเป้าว่าอยากได้เกียรตินิยม พอเรียนปี 1 ไปได้สักสองเทอม โอ๊ะ ไม่ได้ละเกียรตินิยม ก็เลยรู้สึกว่าโอเคเรากลับมาเริ่มแคสต์งานอีกรอบดีกว่า ช่วงปี 2 ถึง ปี 3 ก็เริ่มแคสต์งานมาเรื่อยๆ แล้วก็โชคดีที่ผู้จัดการคนปัจจุบัน พี่อาร์ต ก็พยายามผลักดันให้เราไปเจอกับผู้ใหญ่ ให้ได้เล่นซีรีส์แบบเป็นสมทบบ้างก็ได้ประสบการณ์ รวมถึงเราก็รู้สึกว่าเราก็ต้องพัฒนาตัวเองก็ไปเรียนการแสดงเพิ่ม จน Me Mind Y ประกาศแคสต์
ผมมาแคสต์ของ Me Mind Y ทุกปี ตั้งแต่เรื่องก่อน เรื่องนี้ก็มาแคสต์ แคสต์สองปี คือ เรื่องแรกผมแคสต์แล้วเหมือนแคสต์ไม่ผ่าน คือเรารู้ว่าเรายังไม่พร้อมด้วย เราก็เลยกลับไปพัฒนาตัวเอง ไปเรียนการแสดง เรียนร้องเพลง ทำทุกอย่าง เข้าฟิตเนส ทำตัวเองให้พร้อมที่สุด พอวนลูปครบรอบ 1 ปี แล้วก็มาแคสต์ด้วยความมั่นใจ วันนั้นลึกๆ มั่นใจว่าวันนี้จะต้องแคสต์ให้ได้ ซึ่งไม่คิดว่าเราจะได้ตัวเมนด้วย ขอแค่ได้อยู่ใน Me Mind Y เราแค่แคสต์ให้ได้ สุดท้ายด้วยความรู้สึกเชื่อว่าพอเราเชื่อใจตัวเองเราทำได้ แล้วมันก็ทำได้จริงๆ ก็เลยรู้สึกว่าภูมิใจมากที่แคสต์ได้อะไรอย่างนี้ครับ
เหตุผลในการตัดสินใจเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง
ฟอร์ด : ผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำงานอยู่กับที่ ผมมีความฝันอยู่สักประมาณ 3 อย่างที่อยากจะเป็น คือ นักบิน อย่างนี้ก็ไม่อยู่กับที่ แล้วตอนนี้ผมเรียนวิศวะอยู่แต่อาชีพที่ผมอยากเป็นจริงๆ คือ เซลล์เอ็นจิเนียร์ ก็ไม่อยู่กับที่ เพราะฉะนั้นนักแสดงก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ไม่ได้อยู่กับที่เหมือนกัน มันได้เจอผู้คนตลอดเวลา พอเราได้เข้าไปอยู่ในกองถ่ายแล้วเราได้เริ่มแสดง รู้สึกว่านี่คือบรรยากาศที่เราชอบ มันคือ ambient (สภาพแวดล้อม) ที่เราโอเคมากๆ ถึงเราจะเหนื่อยแต่เหนื่อยทีไร กลับมาแค่นอนตื่นมาเรามีความสุขมาก เรากลับไปนอนคิดภาพที่ผ่านมาเมื่อวาน มันมีความสุขจังเลย เราทำอะไรไปนะอะไรอย่างนี้ ก็เลยรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่เรามั่นใจ แล้วก็มั่นคงกับมันว่าถึงเราจะเหนื่อย เราจำมันได้ เราชอบมันมากๆ แล้วก็รู้สึกว่าเราจะทำมันได้ดีครับ
พีท : สิ่งแรกเลยผมเชื่อเสมอว่าถ้าเกิดคนเราทำอะไรที่ตัวเองชอบอ่ะ เราจะสามารถทำออกมาได้ดีที่สุดเสมอ แล้วผมชอบการทำงานในด้านของวงการบันเทิงแล้วก็รวมถึงการแสดงด้วยครับ ผมเลยรู้สึกว่าทำอันนี้น่าจะเหมาะกับเราที่สุด เราน่าจะไปไกลแล้วก็เราทำมันได้อย่างยาวนานมากที่สุด จริงๆ มีอยู่เหตุผลนึงที่ผมไม่เคยบอกที่ไหนมาก่อนเลยที่เข้ามาทำ เอ่อ ผมทำเพราะว่าอยากช่วยเหลือที่บ้านในแบบของผมเองด้วยครับ โดยที่ไม่ต้องให้เขาเหนื่อยหรืออย่างน้อยให้เขาเหนื่อยน้อยลง นี่คือเหตุผลหลักอีกข้อนึงที่ผมมาทำ อยากดูแลตัวเองให้ได้ขั้นแรก ขั้นต่อไปคือสามารถช่วยเหลือที่บ้านได้ครับ ถ้าจำกัดประโยคได้น่าจะพูดได้แค่ว่าเหมือนฟ้าหลังฝนอ่ะครับ แค่นั้นเลย มันกำลังดีขึ้น แต่ทั้งหมดผมเชื่อว่ามันจะดีไม่ได้ ถ้าเราไม่ตั้งใจเหมือนกับทำมันด้วยตัวเราเอง
การเติบโตมาในครอบครัวของทั้งคู่เป็นยังไงบ้าง
พีท : ผมเป็นคนสมุทรสาครครับ แล้วก็จริงๆ เรียนในกรุงเทพตลอด จะมีช่วงแค่ ม.ต้น ที่เรียนแถวๆ บ้าน แล้วก็เขยิบมาก็มหา’ ลัยก็ไปเรียนที่ ABAC แล้วก็ทำงานอยู่กรุงเทพ ก็เลยเหมือนเราใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนเมืองปกติเลย เด็กๆ ผมอ้วนมากครับเพราะเป็นคนที่ชอบกิน แล้วก็พอโตมาพ่อเขาผลักดัน เขาเห็นแวว คือพ่อกับแม่จะเป็นคนที่คอยผลักดันเราให้มาทางสายวงการบันเทิงตลอด ผมจะสนิทกับพี่สาวทั้งสองคนมีอะไรจะคุยกันตลอด แต่ว่าช่วงนี้ ช่วงที่ได้เข้ามาทำงานวงการบันเทิงเหมือนกับว่าผมมีโอกาสได้คุยกับที่บ้านมากขึ้นด้วย เพราะว่าเมื่อก่อนผมจะเป็นคนที่ถ้ามีอะไรจะไม่ค่อยคุยกับที่บ้าน แต่พอได้มาทำงานสายนี้ กลับไปปุ๊บได้มีเรื่องไปเล่าให้เขาฟัง มีปัญหานู่นมีปัญหานี่ได้ปรึกษา ได้คุยเล่นกับเขา มันทำให้เราต้องบอกว่าชีวิตดีขึ้น ชีวิตครอบครัวดูจะดีขึ้นเพราะว่าผมรู้จักคนที่บ้านมากขึ้น ได้มีโอกาสได้คุยกับเขามากขึ้น ทำให้เรารู้จักคนในบ้านเยอะขึ้น
ฟอร์ด : ผมครับเกิดที่สมุทรสงครามใกล้ๆ กัน ผมไทม์ไลน์ไกลมาก เกิดสมุทรสงคราม แต่ช่วงเด็กๆ ก่อนเข้าอนุบาล 1 จะมาโตที่แถวปทุมธานี กรุงเทพฯ แล้วพอช่วงเข้าโรงเรียนก็กลับไปโตที่ตรัง เรียนถึงประมาณ ม.3 ครับ ถึงกลับมาเรียนที่สมุทรสงคราม ซึ่งตรังเป็นบ้านเกิดพ่อครับ พ่อกลับบ้านไปเพราะไปดูแลปู่กับย่าอะไรอย่างนี้ พอเราได้กลับมาอยู่ที่สมุทรสงครามอะไรก็ได้เริ่มมาแคสต์งาน ถ้าหมายถึงชีวิตที่กว่าจะถึงตรงนี้ใช่ไหมครับ ก็รู้สึกว่าพอได้แคสต์งานครั้งแรกแล้วรู้สึกว่ามันน่าสนใจ คือสิ่งที่เราชอบก็เลยพยายามมาเรื่อยๆ ที่บ้านก็ไม่เชิงว่าห้าม แต่ก็ไม่ได้ผลักดันเหมือนกัน แต่ก็เชื่อว่าเราทำสิ่งที่อยากทำนะ อยากทำอะไรทำเลย เดี๋ยวจะซัพพอร์ตอยู่ข้างหลัง
ผมต่างจากพี่พีทตรงที่ผมไม่ค่อยคุยกับที่บ้าน ผมเป็นคนที่มีอะไรเก็บไว้คนเดียว แต่ก็เห็นว่าเขาพยายามดูเราอยู่ห่างๆ ก็คอยซัพพอร์ตเรื่องอื่นๆ รอบๆ ตัวเราอย่างนี้ แล้วช่วงนี้พอเราเข้ามหา’ ลัยอ่ะครับ เราแทบอยู่คนเดียวตลอดเวลาเลยเพราะเราอยู่คอนโดก็อยู่คนเดียว แต่ที่บ้านก็พยายามแบบส่งนู่นมาให้ ส่งนี่มาให้ ซัพพอร์ตเราเรื่องนี้เหมือนกันก็เติบโตมาได้ดีครับ
ได้ประสบการณ์อะไรจากงานในวงการบันเทิง
ฟอร์ด : ความอดทนครับ ความอดทน เราเจอคนมากมายหลากหลายรูปแบบ สิ่งที่มีคือความอดทน แล้วก็อีกอย่างนึงคือเรื่องของการเข้าใจคน พอเราเจอคนหลายคนอย่างนี้ การที่เราเข้าใจเขามันทำให้เราสบายใจในการทำงาน แล้วก็ยอมรับในความหลากหลายนั้นได้ อันนี้คือสิ่งที่เจอมา อดทนกับทำความเข้าใจ แล้วก็ยอมรับมัน
พีท : ไม่ง่ายเลยครับ จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย รับมือยังไง เอ่อ ผมน่าจะเริ่มจากมองทัศนคติตัวเองที่ดีก่อน แล้วก็ตั้งใจทำมัน ผมมองว่าการที่เจอคนเยอะๆ หลายๆ คน หลายๆ รูปแบบเนี่ย เชื่อแล้วว่าคนเรามีความชอบทัศนคติ ความคิดที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าเกิดจะเริ่มจากตรงไหน ผมว่าเริ่มจากตัวเองก่อน มองตัวเอง ทำตัวเองให้ดีที่สุด ทำจนเรารู้สึกว่าเราชอบตัวเองอ่ะ แล้วคนอื่นอ่ะก็จะชอบเรากลับ อันไหนที่อย่างน้อยถ้าเราไม่ชอบก็อย่าไปทำกับคนอื่น แค่นี้ครับจุดเริ่มต้นของผม
การใช้ชีวิตเป็นบุคคลสาธารณะ กลัวการสูญเสียความเป็นตัวเองไหม
พีท : จะบอกว่าไม่กังวลก็ไม่ได้ แค่ว่าเราต้องมีวิธีการที่ยังรักษาพื้นที่ของเราไว้อยู่ครับ คือมันเหมือนกับการแบ่งเวลา เหมือนคนปกติมีเวลาทำงาน มีเวลาพัก การเป็นบุคคลสาธารณะก็ไม่ต่างกัน มันก็คืองานอาชีพนึงที่แบบว่าพอถึงเวลาปุ๊บ เราตั้งใจทำงานนะ แต่ว่าในแต่ละวันเราควรมีเวลาพักเบรกให้ตัวเอง เพื่อกลับมาฮีลตัวเองหรือว่ากลับมาพักผ่อนกับตัวเองสักนิดนึง เพื่อให้มันไม่เครียด ไม่รู้สึกอึดอัด แล้วก็ยังมีความเป็นตัวเองอยู่
ฟอร์ด : คือตั้งแต่วันแรกที่ก้าวขาเข้าวงการนี้เรายอมรับตัวเองแล้วว่า เราให้ความเป็นส่วนตัวกับสังคมแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมันต้องมีดราม่าอย่างนี้ อย่างที่พี่พีทบอกเลยเราทำตัวเองให้ดีก่อน เราไม่อยาก เราไม่ชอบอะไร เราอย่าทำอย่างนั้น มันทำให้เรากลับมามองตัวเองมากขึ้น กลับมาลงลึกที่เดิมมากขึ้นว่าเราคิดอะไรอยู่ เราทำอะไรอยู่ เราควรทำสิ่งนี้หรือเปล่า คิดว่าถ้าเราทำดีเราจะได้ดี ตามหลักพระพุทธศาสนา ทำดีต้องได้ดีครับ แล้วก็รู้สึกว่า เรื่องของการให้เกียรติคน เมื่อเราให้เกียรติคนอย่างนี้ คนก็จะให้เกียรติเราเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่าถึงมันจะเกิดขึ้นเราจะเข้าใจและยอมรับมันได้ครับ
รู้สึกยังไงที่จุดเริ่มต้นของเราเริ่มต้นด้วยซีรีส์ Y
พีท : ผมมองว่าทุกวันนี้ครับโลกมันเปิดกว้างมาก ซีรีส์ Y เป็นที่รู้จักเยอะขึ้น แล้วทุกคนให้ความสนใจ ถ้าเกิดส่วนตัวเลยสำหรับผมคือซีรีส์ Y มันก็คือซีรีส์เรื่องนึงไม่ต่างจากซีรีส์เรื่องอื่น เพียงแค่มันเป็นการบอกเล่าเรื่องราวความรักของคนในสังคมอีกรูปแบบนึงเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องเราอ่ะ บางเรื่องที่เล่าออกมามันอาจจะใกล้กับคนดูบางคน หรือมันอาจจะเป็นชีวิตของเขาเลยด้วยซ้ำ ผมเลยมองว่า ถ้ามันจะแตกต่างยังไง มันอยู่ที่วิธีการเล่าเรื่องมากกว่า
ฟอร์ด : คืออย่างที่บอกว่าผมชอบการแสดง ผมเหมือนได้อยู่ในกองถ่ายแล้วชอบงานการแสดง เรามีโอกาสได้แสดงเราก็อยากจะรับโอกาสไว้ แต่เหมือนสิ่งที่ผมประทับใจอยู่อย่างแรกคือผมชอบในบทบาท ในแครักเตอร์พี่พระพาย ในวันที่เราได้บทมาแคสต์อย่างนี้ เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นเพศอะไร แต่เรามองว่าแครักเตอร์เขาน่าสนใจ แล้วก็บทของซีรีส์เรื่องนี้น่าสนใจเราอยากเล่น ซึ่งเราเป็นนักแสดงแล้วก็ทำมันให้เต็มที่ ส่วนเรื่องบริบททางสังคมอะไรอย่างนี้ผมรู้สึกว่าเหมือนอย่างที่บอกสมัยนี้มันเปิดกว้างไปมากแล้ว เราควรมีความเท่าเทียมในเรื่องของเพศที่มันมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราก็ควรให้เกียรติเหมือนกันครับ
ซีรีส์บรรยากาศรักเป็นยังไง ในมุมมองนักแสดง
ฟอร์ด : เรารู้จักจากนิยายก่อนครับ เรารู้จักจากนิยาย 2 เรื่องก่อนของพี่เมย์ คือ พายุรักโถมใจ กับ พระพายหมายฟ้า พอได้อ่าน 2 เรื่องก็เลยรู้สึกว่าเป็นการอ่านนิยายครั้งแรกของเราสองคนเหมือนกัน ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่เคยอ่านหนังสือที่เป็นตัวหนังสือเยอะๆ 20-30 บท
พีท : ใช่ๆ
ฟอร์ด : แล้ว 2 เล่มต่อกันคือ 40-50 บทอะไรอย่างนี้ แต่เหมือนพอเราได้อ่านแล้วรู้สึกว่านิยายเนื้อหามันมีมากกว่าแค่การเสนอเรื่องของความเป็นซีรีส์ Y แต่คอนเทนต์ที่มีคือมันน่าสนใจมากจนเรารู้สึกว่าเราอยากอ่านต่อทุกครั้ง พอเริ่มติดไฟอย่างนี้เราสามารถเปิดอ่านต่อได้เรื่อยๆ จนจบอะไรอย่างนี้ พอมาถึงในพาร์ตของบทละครอย่างนี้ เรายิ่งสนุกเข้าไปใหญ่เพราะว่าเราเข้าใจทั้งหมดแล้ว แต่พอบทละครมันกระชับมากขึ้น มันน่าสนใจมากขึ้นมันปรับให้เข้ากับยุคเข้ากับสมัยมากขึ้น ทำให้เราใช้คำว่ารักได้เลยครับ รักในบทละครนี้มากเรารู้สึกว่าเราอยากให้ทุกคนได้เห็นแล้วอ่ะว่าสิ่งที่จะเสนอออกไปมันสนุกแค่ไหนอะไรอย่างนี้
พีท : สำหรับผมอ่ะ ปกติผมจะเป็นคนที่ชอบดูพวกหนังแอ็กชัน หนังไซไฟ หนังซุปเปอร์ฮีโร่มากกว่าหนังรัก นี่ก็ถือเป็นเรื่องแรก หนังรักในไม่กี่เรื่องเท่าที่ผ่านมาที่ผมตั้งใจดู แล้วก็ให้ความสำคัญกับมันมาก ตั้งแต่อ่านนิยายเลยดีกว่า ก็เหมือนที่ฟอร์ดบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสองคนอ่านนิยายแล้วก็อ่านจนจบเลย เอ่อ ความพิเศษอย่างนึงที่ผมสัมผัสได้คือการอ่าน นิยายอ่ะครับ มันเหมือนกับเราได้ใช้จินตนาการตัวเอง เข้าไปอยู่ในตัวละครมันเหมือนเราได้ไปยืนข้างๆ กับตัวละครในเรื่องอ่ะ อยู่กับเขาตลอดเวลา รู้ว่าแบบเขาจะทำอะไรเขาคิดอะไรอยู่ หรือบางมุมที่เขาอยู่คนเดียวอ่ะ เรายังรับรู้ความรู้สึกของเขาได้ ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องอื่นน่าจะมีความพิเศษเหมือนกันหรือเปล่า แต่สำหรับเรื่องของพี่เมย์ สำหรับผมมันไม่ใช่แค่บทที่เขียนขึ้นมา มันมีความพิเศษคือมันเหมือนชีวิต มันเหมือนการเล่าชีวิตของคนๆ นึง ยิ่งปรับมาเป็นบทละครแล้วจากจินตนาการที่อยู่ในหัวมันออกมาเป็นภาพ มันออกมาเป็นตัวที่เราต้องแสดงจริงๆ มันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า หูว เราอินกับมันมากเลย เราก็รู้สึกจนถึงขั้นอยากเชียร์ตัวละครที่เราแสดงอ่ะ ให้เขาประสบความสำเร็จ
ชีวิตของตัวละครทั้ง 2 ตัวแตกต่างจากเราทั้งสองคนไหม
พีท : ไม่ได้แตกต่างกันเยอะครับ ความชอบ ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต ทุกอย่าง คือคล้ายกับผมมาก รู้สึกว่าเป็นเรื่องแรก เรื่องหลักที่ดีจังเลย ที่มีตัวละครที่เราต้องเล่นแล้วมันคล้ายกับเรามาก ทำให้เราไม่ต้องปรับอะไรเยอะ
ฟอร์ด : ผมอาจจะแค่เรื่องเดียวครับ เรื่องฐานะ พี่พระพายรวยมากอะไรอย่างนี้ อันนี้ยอมครับ ไม่ไหว
พีท : วุฒิภาวะครับ (ขำ)
ฟอร์ด : หมายถึงฐานะด้วย พี่พระพายเป็นอย่างนี้ ส่วนเรื่องอายุนี่คิดว่าในอนาคตเราอาจจะเป็นพี่พระพาย เหมือนพี่พระพายได้ แต่เรื่องฐานะนี่ก็นิดนึงครับ คิดว่าเรื่องนี้เรื่องเดียว ส่วนเรื่องอื่นๆ เรารู้สึกว่าหลายๆ อย่าง เราคิดเหมือนพี่พระพายเราจริงจังกับความรักเหมือนพี่พระพายเหมือนกัน เราเป็นคนที่ไม่เครียดเหมือนกับพี่พระพายเหมือนกัน เรารู้สึกว่าหลายๆ อย่าง เรากับพี่พระพายมีความคิดที่เหมือนกันอะไรอย่างนี้ แล้วเราก็ให้ความสำคัญกับคนรอบข้างเหมือนพี่พระพาย ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีอะไรที่แตกต่างมาก
ส่วนตัวทั้งคู่คิดว่าฉากไหนในซีรีส์ยากที่สุด
พีท : ของผมมี 2 อย่าง อย่างแรกคือฉาก NC (ฉากอีโรติก) เพราะว่าสองคนนี้มีฉาก NC ที่ต้องเข้าคู่กันเยอะ ซึ่งแต่ละ NC ที่เข้าคู่กัน มันหลากหลายอารมณ์ผมว่าถ้าเกิดพูดคำนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจ เพราะว่าความรักมันมีหลาย Mood อยู่แล้ว ซึ่งการเข้า NC แต่ละครั้งอ่ะ มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป มันทำให้เราเหมือนต้องจูน จูนกันให้ติด เชื่อใจกันแล้วก็เข้าใจในแต่ละประโยคที่พี่เมย์เขียนมาใน NC ว่าตัวละครตัวนี้ต้องการจะสื่ออะไร เขาคิดอะไรอยู่ ส่วนอีกอย่างหนึ่งน่าจะเป็นโมเมนต์ที่สกายไปยืนหน้ากำแพงที่ตัวเองสร้างขึ้นมา มันเป็นจังหวะที่ว่าจะกะเทาะกำแพงนี้ดีไหม นั่นคือซีนที่ยากที่สุดของผมซีนนึง ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่สกาย ลำพังถ้าเกิดเป็นตัวของผมคือพีทเองอ่ะ ถ้าเกิดต้องไปยืนอยู่หน้ากำแพงที่ตัวเองจะต้องข้ามไปให้ได้อ่ะ มันก็เป็นอะไรที่ยากอยู่แล้วเหมือนกัน ซึ่งตรงนั้นเป็นอะไรที่ยากมากๆ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยคำปรึกษาจากพี่เมย์ พี่เน หรือว่าแอ็กติงโค้ชครับ
ฟอร์ด : ที่พี่พีทบอกว่าซีนที่ยากของสกายคือต้องยืนอยู่หน้ากำแพงใช่ไหม แต่สำหรับผมอ่ะรู้สึกว่าหลายๆ ซีนที่ยากของพี่พระพาย ที่ผมต้องเล่นคือซีนที่ต้องทำลายกำแพงนั้นให้ได้ คือถึงรู้ว่าพี่พระพายจะเป็นคนที่มองว่ามันเป็นเรื่องที่ Easy มากอย่างนี้ แต่เขาดูใส่ใจกับความรู้สึกของสกายมาก ก็เลยรู้สึกว่าการที่เขาจะทำลายกำแพงนั้น เขาต้องมีข้อมูลต้องมีเหตุผลแล้วก็ค่อยๆ หยิบอิฐบล็อกออกทีละก้อน ไม่ใช่ต่อยมันเข้าไปอะไรอย่างนี้ รู้สึกว่าทุกซีนที่มันพยายามทำให้กำแพงนั้นลดลงมา เป็นซีนที่ยากทั้งหมดเลย
พีท : ใช้ค้อนทุบได้ไหม ต่อยมือเจ็บ (ขำ)
ฟอร์ด : ก็ว่าไป (ยิ้ม)
เขินกันไหม
พีท : แค่ครั้งแรกครับเพราะว่าหลังจากนั้นอ่ะเราจะจูนอิน เป็นตัว สกาย เป็น พี่พระพาย ก่อนที่จะเข้าซีน ทำให้ทุกครั้งที่อย่างน้อย ถ้าเกิดจะเข้า NC เราจะเชื่อใจกัน เราจะใช้ความรู้สึกของตัวละครนั้นเข้าไปเล่น ไม่ใช่ความเป็นพีทหรือความเป็นฟอร์ด
ฟอร์ด : ใช่ครับ
First Impression ระหว่างกัน
ฟอร์ด : ผมพูดตรงๆ ว่าตอนเห็นครั้งแรกวันนั้นพี่พีทใส่เสื้อกล้ามสีดำ แล้วตัวขาวมาก แล้วแบบโอ๊ะ คนนี้ใส่เสื้อกล้ามมาแคสต์ซีรีส์ด้วย อื้ม ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มั่นใจตัวเองดี ก็เลยรู้สึกว่าดี เราเห็นตอนนั้นก็แบบก็เหมือนในช่วงแรกเราก็ยังไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย แล้วก็เคารพความเป็นส่วนตัวของเขาเหมือนกัน เห็นว่าเขาเตรียมตัวมาดี ก็เลยไม่ได้คุย แต่พอได้มาจับคู่กันจริงๆ แล้ว เราถึงได้เริ่มคุยจริงๆ ก็เริ่มเห็นความแบบ ความเฟรชของเขา เขาดูไม่มีกำแพงกับเรา เราเลยกล้าที่จะเข้าไปเล่นจนเข้าไปแตะแก้ม เพราะด้วยความที่เขาไม่กำแพงกับเราจริงๆ เราสามารถเล่นกับเขาได้อย่างนี้
พีท : ฟอร์ดเป็นคนที่ถ้าเกิดทำหน้านิ่ง แล้วถ้าเกิดไม่ได้รู้จักใครมาก่อนอ่ะครับ เขาจะเป็นคนที่เหมือนมีกำแพง แล้วก็เอาจริงๆ ก็ดูดุนะถ้าเขาไม่ยิ้มเลยอ่ะ มันดูเหมือนเราเข้าหาเขายาก ก็ยอมรับเลยว่าตอนที่แคสต์คู่กับเขายังไม่รู้จักเขา ก็คิดแค่ว่าต้องทำตัวเราหน้าที่เราให้ดีที่สุด แสดงในส่วนของเราให้ดีที่สุด แล้วก็อีกฝ่ายจะแสดงยังไงก็รับเขามา แต่พอยิ่งรู้จักก็กลายเป็นว่าจากคนที่รู้สึกว่าน่าจะโตกว่าเราอ่ะ กลายเป็นเด็กรุ่นน้องที่แบบ โอ๊ะ ก็น่ารัก ฟอร์ดเป็นคนที่คุยเก่งเป็นคนที่เอนเนอร์จี้เยอะ ทำให้บรรยากาศรอบข้างสนุก ถ้าเกิดใครที่ติดตามผมสัมภาษณ์ตลอดจะรู้ว่าผมจะชมฟอร์ดอย่างนี้เสมอ แล้วก็ยังเป็นอย่างนั้นมาตลอดครับ
พอสนิทกันการทำงานง่ายขึ้นไหม
ฟอร์ด : คือช่วงแรกๆ อ่ะ เราก็ยังมีความเกรงใจในตัวเขาเหมือนกัน แต่ว่าเราเกรงใจเราไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง เขาจะอะไรยังไง แต่เหมือนหลังๆ เรามานั่งคุยกันเยอะขึ้น เรามีอะไรก็คุยกันเยอะขึ้นด้วยความที่คนเราครับ มันร้อยพ่อ พันแม่อะไรอย่างนี้ ความคิดมันต่างกันอยู่แล้วแต่คิดว่าสิ่งที่มันจะทำให้เราเข้าใจกันได้คือ เรามานั่งคุยกัน อะไรที่เราเห็นไม่ตรงกันอย่างนี้เราจะมานั่งคุยกันทุกครั้งเหมือนกลับบ้าน เลิกกองอย่างนี้ เราก็คุยกันตลอดช่วงนั่งรถตู้กลับ นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงจนแบบถึงบ้านพี่พีทอะไรอย่างนี้ เลยรู้สึกว่าตรงนี้ที่ทำให้เราอ่ะเชื่อใจกันได้มากขึ้น แล้วทำงานกันได้สบายใจจนถึงวันนี้ บางอย่างคือไม่ต้องถามแล้วว่าพี่พีทชอบไหม หรือบางอย่างพี่พีทก็รู้แล้วว่าเราไม่ชอบอะไรอย่างงี้ ก็ไม่ต้องถามกันแล้ว
พีท : เพราะเราคุยกันทุกเรื่องจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องงาน เรื่องบท หรือเรื่องซีนยากๆ ที่ต้องเข้า แต่ว่าเรื่องอื่นด้วย เรื่องแบบปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิตหรือเรื่องอะไรที่เหมือนไม่สบายใจ เหมือนเราต่างคนต่างเล่าให้กันฟัง จนมันเปลี่ยนจากคำว่าเพื่อนร่วมงานไปเป็นพี่น้อง
หลังจากซีรีส์ออน ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง
พีท : เรียกว่าเหมือนเปลี่ยนชีวิตไปเลยเพราะว่าช่วงแรกคือช่วงที่ workshop แล้วก็ออกกองเหมือนเป็นช่วงที่เหมือนเราทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แต่พอช่วงนี้มันเปลี่ยนจากหลังกล้อง มาเป็นอยู่หน้ากล้อง ต้องหาพี่ๆ ทุกคน ต้องแบบไปเจอคนเยอะขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าตื่นเต้น มันเป็นความตื่นเต้นอีกรูปแบบนึงเนาะ
ฟอร์ด : ใช่ ส่วนผมเองคือผมเรียนอยู่ด้วยครับ แล้วช่วงใกล้สอบเหมือนกันแล้วก็ช่วงโปรโมท ก็รู้สึกว่าก็ท้าทายชีวิตเหมือนกัน ช่วงชาเลนจ์ชีวิตว่าเราต้องทำให้ได้ทั้งสองอย่าง manage ให้ได้
พีท : แล้วก็พอซีรีส์ออนไปหลายๆ ตอน ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก คู่แรกเป็นพาร์ทของบอสกับโนอึล ก่อนจะถึงคู่ของเราก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีก็ดีใจกับน้องเขา แล้วก็ดีใจที่ทุกคน แฟนคลับเดิม แล้วก็แฟนคลับใหม่ที่เขาให้ความสนใจกับซีรีส์เราเยอะมากๆ ครับ
กระแสของทั้งคู่เป็นไงบ้าง
ฟอร์ด : คือของเรายังไม่เจอกันเลยครับ
พีท : ออกอย่างละนิด
ฟอร์ด : ถ้าในไทม์ไลน์จริงอ่ะ มันเจอกันแล้วครับแต่ว่าในการออนแอร์ยังไม่เจอกัน เพราะว่าเราเล่ากันเป็นคนละครึ่งเลย 1-7 กับ 8-13 อะไรอย่างนี้ ก็เลยยังไม่เจอกัน แต่ว่าเราก็จะออกมาคนละซีน ผมนี่ออกมา EP ละซีนอย่างนี้ครับ ก็เล่าให้ฟังก่อนดีกว่า ฟีดแบ็กฝั่งเราก็ทุกซีนที่ออกมา แฟนคลับทุกคนก็ซัพพอร์ตอย่างดีเลยครับ แล้วก็ให้ความสำคัญแล้วก็ชื่นชมเราเหมือนกันอะไรอย่างนี้ ก็ขอบคุณมากๆ รวมถึงฝั่งของบอสและอึลอย่างนี้ อย่างซีน EP 3 ในเบรกสุดท้ายผมร้องไห้ตามเลย ทั้งที่ตอนนั้นเราก็จำได้ว่าอยู่หน้าเซตเหมือนกันแต่เราไม่ได้อิน แต่พอเราได้ดูจริงๆ เราโอ้ว สงสารน้องเรนมากๆ ก็เลยรู้สึกว่า ขนาดเราที่รู้จักเพื่อนที่สนิทกันอย่างนี้ยังอินมาก ถ้าแฟนคลับที่ไม่ได้รู้จัก หรือแฟนซีรีส์ที่ไม่เคยดูอย่างนี้ได้ดูคงจะอินมากๆ แน่เลยอะไรอย่างนี้
พีท : อยากขอบคุณแฟนคลับทุกคนรวมถึงพี่ๆ สื่อทุกคนแล้วก็ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ข้างหน้า แต่คนข้างหลังไม่ว่าจะเป็นพี่เมย์ พี่ๆ ที่ Me Mind Y พี่โปรดักชั่นทุกคนที่ผลักดันเรามาจนถึงจุดนี้ แล้วก็ทำให้พี่ๆ แฟนคลับทุกคนได้ดู แล้วก็ยังคอยซัพพอร์ตแล้วก็ชอบผลงานของเรา อยากจะบอกแค่ว่าตอนนี้พาร์ทของผม 2 คน อาจจะยังไม่เยอะแต่รอดูไปก่อนครับ
ฟอร์ด : ใช่
พีท : รอพาร์ทของคู่แรกจบปุ๊บ จะมาถึงพาร์ทของคู่ผม ทีนี้จะได้รู้เรื่องราวของทั้งเรื่องแบบเต็มๆ แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ตอนนี้ขอบคุณที่พี่แฟนคลับทุกคนชอบสกายเวลาอยู่กับเพื่อนครับ มันเป็นมุมที่น่ารักอีกมุมนึง แต่หลังจากนี้อยากบอกว่าเฝ้ารอมุมอื่นของสกายที่เขาแบบเก็บเอาไว้ด้วยครับ
มีโอกาสได้ติดตามกระแสในโซเชียลบ้างไหม
พีท : ติดตามตลอดครับ
ฟอร์ด : เช่นเดียวกันครับ ดูตลอด ก็จริงๆ พี่แฟนคลับหรือว่าพี่ๆ ที่เป็นแฟนซีรีส์อย่างนี้ก็ชมในทั้งเรื่องของแอ็กติง เรื่องของภาพ แสง สี เสียง ซึ่งผมรู้สึกว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นกำลังใจในการทำงานของพวกเราเหมือนกัน คือถึงเราจะเหนื่อยแต่พอได้อ่าน ได้ดูอะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเออมันเรามีกำลังใจมาก รวมถึงพี่ทีมงาน ภาพสวย แสงสวย องค์ประกอบภาพดีอย่างนี้ พวกพี่เขาก็ดีใจก็มาคุยเหมือนกันว่านี่เขาชมพี่ด้วยนะอะไรอย่างนี้ ก็รู้สึกว่าดีเหมือนกันครับ
พีท : เหมือนกัน แล้วยิ่งแบบแค่คำชมเล็กๆ น้อยๆ ครับ แบบซีนนี้สกายน่ารักจังเลย ซีนนี้พี่พายหล่อจังเลย ผิวปากเท่มากคือแค่นี้มันก็เลยทำให้เราดีใจ ดีใจจังเลย ยิ่งแบบชมเรื่องของการแสดงผลงานมันยิ่งทำให้เราก็เหมือนมีกำลังใจในการที่จะทำงานด้านนี้ต่อ แต่ว่าก็ไม่ใช่แค่คำชมรวมถึงเราทั้งหมดอ่ะ ก็ยังอยากรอคอยถ้าเกิดมีคำติชมของแฟนคลับทุกคน ที่อยากจะบอกเราหรืออยากให้เราปรับแก้ไขอ่ะ ก็บอกมาได้ครับ
ฟอร์ด : พร้อมที่จะแก้ไขเหมือนกัน
พีท : เราก็ถือว่าเป็นมือใหม่ที่อยากจะพัฒนาฝีมือของเราให้มันดีขึ้นครับ
มีชื่อด้อมกันหรือยัง
ฟอร์ด : ยังเลยครับ ยังไม่มีเป็นทางการ แต่เดี๋ยวในอนาคต คิดว่าพี่ๆ แฟนคลับก็จะทำให้
พีท : อยากให้พี่ๆ แฟนคลับช่วยตั้งให้พวกเราด้วย
ฟอร์ด : คิดชื่อด้อมให้ด้วย (ขำ) ด้อมของกิน
พีท : อันนั้นของพี่แล้วของกิน
ฟอร์ด : ด้อมยาดม
พีท : ด้อมยาดม
ฟอร์ด : อันนี้ของผม
อยากบอกอะไรกับตัวเองบ้าง
ฟอร์ด : สู้ๆ อยากบอกตัวเองว่าสู้ๆ นะ อะไรอย่างนี้ อันนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เรายังต้องเจออะไรอีกมากมายอยากให้ตัวเองสู้ แล้วเข้มแข็ง อดทน แล้วก็เป็นตัวเองที่ดีขึ้นไปทุกวันครับ
พีท : สู้ต่อไปครับ ถึงว่าชีวิตจะสู้กลับก็ตาม (ขำ) ไม่ว่าจะเจออะไรก็อย่างน้อยทำส่วนของเราให้มันดีที่สุด แล้วทุกปัญหาที่มันเข้ามามันจะมีทางออกของมันเอง ถ้าเหนื่อยก็พัก พอหายเหนื่อยก็แค่กลับมาเอาใหม่ สู้ใหม่ทำงานต่อเท่านั้นครับ
ฝากผลงานกันหน่อย
พีท : เราเตรียมมา (ขำ)
ฟอร์ด : ฝากเพลงด้วย
พีท : ก็ฝากบรรยากาศรักเดอะซีรีส์ของพวกเราทั้ง 4 คน ด้วยนะครับ สามารถรับชมได้ทุกวันพฤหัสครับผม เวลา 5 ทุ่ม GMM25 ครับ รวมถึงยังสามารถรับชมแบบออนไลน์ได้ที่
ฟอร์ด : แอพพลิเคชั่น IQIYI ครับ
พีท : เพลงของพวกเราทั้ง 4 คน ยังมีทั้งเพลงคู่ของพวกผมสองคน แล้วก็ของสองคนนั้นด้วย แล้วก็เป็นเพลงรวม 4 คน ของพวกจะชื่อว่าเพลง Never Say แล้วก็เพลงรวม 4 คนที่ชื่อว่า Love in the air แล้วก็ยังมีคอนเทนต์อื่นๆ ในอนาคตหรือว่าอีเวนต์ ถ้าพี่ๆ แฟนคลับคนไหนอยากเจอพวกเรา สามารถติดตามตารางงานได้ที่ Me Mind Y official ครับ ทุกช่องทางเลย
ฟอร์ด : ใช่ครับ
เป็นไงกันบ้างคะ สำหรับคู่จิ้นคู่ใหม่ #ฟอร์ดพีท สำหรับใครที่อยากติดตามผลงานของน้องทั้งคู่สามารถไปติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่อินสตาแกรมของพวกเขากันเลยที่ IG : @fortfts และ IG : @peatwasu ทาง FEED เองก็ขอให้น้องทั้งคู่ปังๆ ดังๆ มีแฟนคลับรักเยอะๆ น้า
ขอบคุณภาพ IG : @fortfts @peatwasu