Sustainability Expo 2025 (SX2025) ต้นแบบงานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างเมื่อวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00–20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ณ SX GATHERING SPACE HALL 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ช่วง Panel Discussion ดูแลใจในที่ทำงาน เวลา 13.30 -14.30 น. เวทีเสวนานี้ชวนทุกคนมาทำความเข้าใจแนวคิด “สุขภาวะทางปัญญา” และเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการดูแลใจพนักงานกับการพัฒนาองค์กร และสังคมให้เข้มแข็งยั่งยืน เพื่อร่วมกันค้นหาว่าความเข้มแข็งของจิตใจคนทำงาน ส่งผลต่อความยั่งยืนขององค์กรและสังคมอย่างไร? และองค์กรสามารถช่วยสนับสนุนให้พนักงานเติบโตอย่างสมดุล พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกันได้จริงหรือไม่?

ดำเนินรายการโดย ดร. ทรงวาด สุขเมืองมา บรรณาธิการกิจกรรมพิเศษ AME Imaginative (ในเครือ Amarin Group) ร่วมกับวิทยากร 3 ท่านได้แก่ ปรีชาพล ดุลนีย์ (คุณอาร์ต) รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ดร.ธันยพร กริชติทายาวุธ (พี่ปุ๋ย) ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ (อาจารย์เอเชีย) ผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมฟังเสวนา มีทั้งผู้ที่อยู่แวดวงผู้ที่ทำงานด้านทรัพยากรบุคคล นักศึกษา และสื่อมวลชน
โดย ดร. ทรงวาด สุขเมืองมา เปิดประเด็นแรกกล่าวถึง สุขภาวะทางจิต (Mental Health) และ สุขภาวะทางปัญญา (Spiritual Health) แตกต่างกันอย่างไร?
ทำไมเราจึงต้องการการรวมตัวกันเป็นชุมชน (Community) และการมาพบกันวันนี้มีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจว่าเราสร้างชุมชนขึ้นมาเพื่ออะไร และต้องการคลี่คลายว่าเรื่องจิตใจไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ต้องช่วยกัน รวมทั้งต้องการเข้าใจว่าทำไม HR จึงสำคัญ ทำไมจิตอาสาจึงสำคัญ และทำไมความยั่งยืนจึงสำคัญ
โดย ดร.สรยุทธ กล่าวว่า “ตอนนี้เป็นยุคของของคนที่มีปัญหา และคนที่อยากจะดูแดคนอื่น ซึ่งต่างจากยุคสมัยก่อนเรอแนซ็องส์” ดันนั้นสุขภาวะทางปัญญา เป็นศาสตร์ที่เติบโตมาจากการเห็นว่ามนุษย์นั้น “เต็มสมบูรณ์” (Holy มาจาก Whole ที่แปลว่าเต็มสมบูรณ์)
ในขณะที่ศาสตร์ด้านสุขภาพจิต (Mental Health) เดิมเน้นการศึกษาคน ที่ออกนอกความปกติ (ออกจากการเป็นนอม) เช่น ผู้ป่วยซึมเศร้า หรือจิตเภท
สุขภาวะทางปัญญาคือ ความสุขที่เกิดจาก 3 อย่างคือ 1) เข้าใจตัวเอง เข้าใจชีวิต (ธรรมชาติและความจริงของชีวิต) 2) เห็นความเชื่อมโยงของเรากับคนอื่น โลก และธรรมชาติ และ3) เมื่อเราได้เติมเต็มก็ร่วมสร้างสังคมเกื้อกูลผู้อื่นต่อไป ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับความยั่งยืน (sustainability)
ดร. ธัญยพร เสริมต่อว่า ความสำคัญของการเข้าใจตัวเองและการจัดการความเครียด? สิ่งสำคัญคือต้อง รู้ตัวเองว่าเครียด เพราะบางคนเครียดโดยไม่รู้ตัว และทำให้สิ่งแวดล้อมเครียดไปด้วย
การฝึก Mindfulness in Organization (เช่น พักภาวนา 15-30 นาที) ช่วยให้พนักงานมีสติยาวขึ้นตลอดทั้งวัน เมื่อมีสติและรู้ตัวได้เร็วขึ้น เราก็จะเห็นอารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น ทำให้ไม่มีอารมณ์โกรธเมื่อเจอปัญหาเป้าหมายคือให้สามารถ จัดการความเครียดกับตัวเองได้ แค่นี้ก็พ้นจากความทุกข์แล้ว (ไม่จำเป็นต้องมีความสุขแค่ไม่ทุกข์ก็พอแล้ว)

ด้าน คุณปรีชาพล ปิดท้ายว่า ทำไมสุขภาวะทางปัญญาจึงสำคัญในออฟฟิศหากพนักงานมีความสุขและสามารถกระจายความสุขนั้นต่อไปได้ ทุกคนจะสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและเติบโตร่วมกับองค์กร เมื่อใดเป็นสุข ความเจ็บป่วยทางกายก็จะน้อยลง
ทั้งนี้ คุณอาร์ต มีแนวทางปฏิบัติในการสร้างสุขภาวะให้พนักงาน เริ่มต้นจาก การรับฟัง ฟังจาก Employee Survey และฟังจากตัวแทนพนักงาน (MTL Avenger ประมาณ 80 คน) ซึ่งเป็นตัวเชื่อมกับพนักงานเกือบ 3,000 คน และไม่ละเลยเสียงเล็กๆ
ออกแบบกิจกรรม แบ่งเป็น 3 หมวดหลัก: 1) Mind and Soul (เชื่อว่าถ้าจิตใจดี ทุกอย่างจะดี ปรับใจได้แม้เปลี่ยนที่นั่งไม่ได้) 2) Art and Music 3) Body and Sport และสุดท้ายวิธีการจัด พยายามหาช่องว่างให้พนักงาน เช่น กิจกรรม 3 ชั่วโมงพนักงานจะสนใจมาก และมีการจัดออนไลน์สำหรับกลุ่มคนที่อยู่ไกล