การเตรียมตัวเป็นคุณแม่ไม่เพียงแค่การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง แต่ยังรวมถึงการวางแผนฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องทารกจากโรคที่อาจมีผลกระทบทั้งต่อแม่และทารกในระยะตั้งครรภ์และหลังคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีน RSV และวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งแม่และเด็ก การได้รับวัคซีนที่จำเป็นในระหว่างตั้งครรภ์จึงเป็นวิธีที่สำคัญในการเสริมภูมิคุ้มกันที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรง แต่ยังสามารถถ่ายทอดภูมิคุ้มกันไปยังทารกในครรภ์ได้ นอกจากนี้ ภูมิคุ้มกันที่ได้รับยังช่วยป้องกันทารกจากการติดเชื้อในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอดอีกด้วย

ในรายการ “ครูก้อยพบแพทย์” โดย ครูก้อย – นัชชา ลอยชูศักดิ์ ครูวิทยาศาสตร์ผู้ก่อตั้งเพจให้ความรู้เตรียมตั้งครรภ์ BabyAndMom.co.th ยืนหนึ่งในใจผู้มีบุตรยาก ได้เชิญ พญ.กมลภัทร วิจักขณ์พันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ จากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ มาร่วมให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวัคซีนที่คุณแม่ควรฉีดในช่วงตั้งครรภ์  โดยครูก้อยเผยว่า “การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพของตนเองและลูกน้อยในครรภ์อย่างยิ่ง และหนึ่งในวิธีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและปกป้องทั้งคุณแม่และทารกจากความรุนแรงของโรค คือการรับวัคซีนที่จำเป็น ดังนั้นในรายการครูก้อยพบแพทย์ EP.109 ครูก้อยจึงนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที่ควรฉีดขณะตั้งครรภ์ ซึ่งได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้คุณแม่มีความมั่นใจ และเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลสุขภาพในช่วงเวลาสำคัญนี้ โดยเฉพาะ 3 วัคซีนหลักที่ได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่  วัคซีนไข้หวัดใหญ่   วัคซีน RSV วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้แม่ส่งต่อภูมิคุ้มกันผ่านรกไปยังลูกน้อยในครรภ์  และลดความเสี่ยงรุนแรงของโรคในทารก”

โดยในช่วงตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่จะอ่อนแอลงตามธรรมชาติ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สูงกว่าคนทั่วไป เช่น ปอดอักเสบ ไข้สูง จนถึงการคลอดก่อนกำหนด และยังส่งผลถึงทารกในครรภ์ด้วย

ซึ่ง พญ.กมลภัทร” ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ทุกช่วงของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่หมอจะหลีกเลี่ยงในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เพื่อหลีกเลี่ยงความกังวลของคุณแม่ เพราะหลังฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ บางคนอาจจะมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย และควรฉีดทุกปีเพื่อลดความรุนแรงของอาการหากได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่”

โดย “ครูก้อย”  เน้นย้ำว่า “ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์แพทย์ไม่ได้ห้ามฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่เป็นช่วงที่คุณแม่มักจะกังวล ดังนั้นควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก่อนตั้งครรภ์ หรือ หากไม่ได้ฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์ ในช่วงไตรมาสแรกคุณแม่ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีเป็นพิเศษ”

ส่วนRSV (Respiratory Syncytial Virus) คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ โดยเชื้อไวรัสอาจทำให้มีเสมหะมาก เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) และ ปอดอักเสบ (Pneumonia) และเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก จึงทำให้เด็กมีอาการเหนื่อยหอบ และหายใจลำบาก

โดย พญ.กมลภัทร เผยว่า “สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ หากได้รับเชื้อ RSV ร่างกายมักจะสามารถต่อสู้กับเชื้อได้เอง โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาตามอาการ หรือพ่นยาในบางราย ซึ่งโดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงมากนัก แต่สำหรับทารกแรกเกิด โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด จะยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอต่อ RSV หากติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ดังนั้น การฉีดวัคซีน RSV ให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์จึงมีความสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นให้คุณแม่มีภูมิคุ้มกันต่อ RSV แล้ว ร่างกายยังสามารถส่งต่อภูมิคุ้มกันผ่านทางรกไปยังทารกในครรภ์ได้อีกด้วย เมื่อทารกคลอดออกมา ก็จะมีภูมิคุ้มกันทำให้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค RSV ได้”

โดยวัคซีน RSV สามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 24 สัปดาห์ –  36 สัปดาห์ จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายคุณแม่สร้างแอนติบอดี (antibodies) ซึ่งสามารถส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์ผ่านทางรกได้โดยตรง ภูมิคุ้มกันนี้จะช่วยปกป้องทารกในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก RSV

นอกจากนี้ยังมี วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ที่คุณแม่ควรฉีดขณะตั้งครรภ์ เพื่อส่งต่อภูมิคุ้มกันให้กับทารกในครรภ์เนื่องจากทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนยังไม่สามารถรับวัคซีนโดยตรงได้ และเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไอกรน  รวมถึงกระตุ้นภูมิบาดทะยัก และ คอตีบให้กับคุณแม่และส่งภูมิคุ้มกันไปยังลูกน้อยในครรภ์ด้วย

พญ.กมลภัทร กล่าวเสริมว่า การฉีดวัคซีนไอกรนขณะตั้งครรภ์จะช่วยส่งภูมิคุ้มกันโรคให้กับทารกในครรภ์  โดยที่ไม่ต้องรอภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนให้ทารกโดยตรงหลังคลอด เพราะต้องใช้เวลาในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันประมาณ 6 เดือน หากทารกไม่มีภูมิคุ้มกันและได้รับเชื้อไอกรน ขณะที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน จะมีอาการไอหนักมาก ไอรุนแรง แบบเสียงแหบแห้ง หายใจไม่ทัน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถ้าติดเชื้อรุนแรงไปถึงปอดซึ่งอันตราย ดังนั้นจึงแนะนำคุณแม่ตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนไอกรนในไตรมาส 3 ของการตั้งครรภ์

ส่วนวัคซีนบาดทะยัก แม้ว่าคุณแม่ในประเทศไทยจะได้รับวัคซีนบาดทะยักครบตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตามหลักสาธารณสุขไทย แต่หากได้รับวัคซีนบาดทะยักเกิน 10 ปี ควรฉีดวัคซีนบาดทะยักบูสอีก 1 เข็ม เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ฉะนั้นคุณแม่ที่เตรียมตั้งครรภ์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีน คอตีบ บาดทะยัก ร่วมด้วย เพื่อบูสกระตุ้นภูมิคุ้มกันเดิมไปพร้อมๆ กันเพื่อส่งต่อไปให้ทารกในครรภ์ แต่สำหรับคุณแม่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนบาดทะยักมาเลย หมอจะแนะนำให้ฉีดวัคฉีดบาดทะยักให้ครบ 3 เข็มใน 6 เดือน ​”

การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา และการฉีดวัคซีนในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงทั้งให้คุณแม่และลูกน้อยในครรภ์   โดย “ครูก้อย” ได้สรุปวัคซีนที่ควรฉีดขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะ 3 วัคซีนหลักที่ได้รับการแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่  1.วัคซีนไข้หวัดใหญ่ – สามารถฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดเวลา แต่คุณแม่ที่กังวลในช่วงในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์แนะนำให้ฉีดก่อนตั้งครรภ์ ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ในแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อย ซึ่งสามารถช่วยคุมการเกิดโรคได้ประมาณ 1 ปี  2.วัคซีน RSV ฉีดช่วงอายุครรภ์ 24 – 36 สัปดาห์ เพื่อส่งต่อภูมิคุ้มกันให้ทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินหายใจในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด 3.วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน สามารถฉีดในช่วงไตรมาส 3 ของการตั้งครรภ์ หรือ ช่วงอายุครรภ์ 27 – 36 สัปดาห์ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แม่และส่งต่อภูมิคุ้มกันไปยังทารกในครรภ์และลดความเสี่ยงของโรครุนแรงในทารกแรกเกิด  

โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

รายการครูก้อยพบแพทย์ EP.109 วัคซีนที่ควรฉีดขณะตั้งครรภ์

หรือ ติดตามความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยากทางเฟซบุ๊กเพจ:

https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th

หรือแอดไลน์ปรึกษาความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก

ได้ที่ Line official :@babyandmom.co.th 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก