“Jurassic Park” ในปี 1993 เป็นผลงานที่นำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการสร้างไดโนเสาร์ด้วย CGI ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์. CGI ที่ใช้ใน “Jurassic Park” ได้มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอไดโนเสาร์อย่างน่าทึ่งและสมจริงในภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังมีการใช้อิมเมอร์ชัน (animation) เพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้ในฉากที่ไดโนเสาร์ปรากฏตัว.
การตัดต่อและการใช้เทคโนโลยีในภาพยนตร์นี้นั้นทำให้ได้ฉากที่มีความสามารถในการสร้างความตื่นเต้นและความน่ากลัวอย่างมีคุณภาพ. ฉากที่โดรมีโอซอร์หรือแร็ปเตอร์ถูกนำมาเป็นตัวละครยอดฮิตที่ทำให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจ เป็นตัวอย่างการออกแบบที่ทำให้ความกลัวและความตื่นเต้นที่ไม่ลงเดิมพันธุ์ในเรื่องนี้
สร้างองค์ประกอบนี้ให้กับ “Jurassic Park” จะยากที่จะเปรียบเทียบกับความสำเร็จที่เคยมีไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกับ “Jaws” (1975) และ “E.T. the Extra-Terrestrial” (1982) ที่ได้รับความนิยมและผลตอบรับจากผู้ชมอย่างมาก. อย่างไรก็ตาม, “Jurassic Park” กลับเป็นภาพยนตร์ที่กำลังภูมิใจและมีความสำเร็จทางการเงิน ทำรายได้สูงถึง 50 ล้านเหรียญฯ ในสัปดาห์แรกของการฉาย, และนับว่าเป็นปรากฏการณ์ในวงการภาพยนตร์ในปัจจุบัน.
การจัดทำภาพยนตร์ “Jurassic Park” ไม่ได้มีแต่เพียงการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและความคล้ายคลึงในไดโนเสาร์เท่านั้น, แต่ยังเป็นเรื่องราวที่มีประโยชน์ทางวิชาการ โดยเน้นไปที่กระบวนการวิวัฒนาการของไดโนเสาร์ ทำให้นักศึกษาและนักวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสศึกษาและศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกธรรมชาติ ซึ่งมีผลในการเรียนรู้และภูมิคุ้มกันสู่ปัจจุบัน
ในท้ายที่สุด, “Jurassic Park” เป็นอิงที่สำคัญในวงการภาพยนตร์เพื่อให้ตัวละครเด็กๆ และผู้ใหญ่ได้ตื่นตาตื่นใจและตระหนักถึงความหลากหลายของสัตว์ที่ดีงามและน่ากลัวในโลกนี้ รวมถึงสิ่งที่เรียนรู้ได้จากการย้อนอดีตและการสืบทอดสิ่งมีชีวิตที่อาจจะหายไปแล้ว ทั้งนี้ทำให้ “Jurassic Park” เป็นภาพยนตร์ที่มีความสำคัญทางวิชาการและวัฒนธรรมอย่างมากในวงการภาพยนตร์โลก
สรุปล่าสุด, “Jurassic Park” เป็นผลงานที่สร้างการปฏิวัติทั้งในด้านเทคโนโลยี, ศิลปะภาพยนตร์, และการนำเสนอเรื่องราว โดยได้ผลิตสื่อบันเทิงที่ทำให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจและตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งมีชีวิตและโลกนี้ในทุกๆ วันของเรา