เป็นอีกหนึ่งคู่นักแสดงซีรีส์ที่เคมีพาเราจิ้นฟินสุดๆ กับ 2 หนุ่ม เฟิร์ส คณพันธ์ ปุ้ยตระกูล และข้าวตัง ธนวัฒน์ รัตนกิจไพศาล ตั้งแต่ผลงาน ซีรีส์ “คาธ The Eclipse” และล่าสุดกับการมาพบกันอีกครั้งใน ซีรีส์ “Moonlight Chicken พระจันทร์มันไก่”
FEED จะพาไปพูดคุยกับเขาทั้ง 2 คน กับบทบาทใหม่สุดท้าทาย ที่เจ้าตัวเผยไว้ว่าทำเอาร้องไห้ไม่หยุด และคาดหวังรางวัลจากเรื่องนี้
เฟิร์ส : สวัสดีครับ ผม เฟิร์ส คณพันธ์
ข้าวตัง : ข้าวตัง ครับ
ความรู้สึกต่อตัวเองในวันนี้
เฟิร์ส : ความรู้สึกต่อชีวิตตัวเองในตอนนี้เหรอ เป็นอย่างไรบ้างเพื่อน
ข้าวตัง : ตอนนี้เหรอครับ รู้สึกว่าถามว่าพอใจไหม ก็พอใจมีความสุขแฮปปี้ดี กับตรงนี้ครับ เรามีความสุขกับการทำงาน เรามีความสุขกับการได้เจอผู้คน แต่ถามว่าเราอยากไปได้ไกลกว่านี้ไหมก็อยากครับ
เฟิร์ส : ของผมก็คล้ายๆ กัน ก็เหมือนกับที่ผ่านมาเราก็ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง ที่เรายังไม่เคยได้ลองทำ แล้วก็หลังจากนี้เราก็มีความฝันไว้อีกว่าเราอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยทำเช่นกัน ถ้าถามว่าตอนนี้เราชอบไหม เราพอใจกับสิ่งตรงนี้ แต่ว่าเราก็มีความโลภของเราที่เราอยากจะทำให้มันดีขึ้นครับ
ข้าวตัง : มันเป็นเรื่องของการที่เราอยากทำงานที่มันใหม่ขึ้น แล้วก็งานทื่มันหลากหลายมากขึ้น หรือว่าแบบ..
เฟิร์ส : ทำให้คุณภาพงานมันดีขึ้น
ข้าวตัง : ใช่ๆ เราอยากโตไปมากกว่านี้
พอใจชีวิตตอนนี้มากน้อยแค่ไหน
เฟิร์ส : พอใจขนาดไหนเหรอ จริงๆ เป็นระดับกลางๆ เพราะว่ามันเหมือนกับว่าการที่เรามายืนตรงนี้ได้ เราก็รู้สึกดีใจ รู้สึกขอบคุณทุกคน รู้สึกขอบคุณองค์ประกอบทุกอย่าง รวมไปถึงตัวเองด้วยที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราอยากจะไปไกลกว่านี้อีก มันก็เลยเป็นความรู้สึกว่ากลางๆ เพราะเรามีความเผื่อว่าฉันอยากจะไปไกลกว่านี้ ฉันอยากจะทำผลงานออกมาให้มันดีกว่านี้ อยากจะตอบแทนทุกคนให้มันได้มากกว่านี้
ข้าวตัง : มันเหมือนเป็นความทะเยอทะยานที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะไป อยากจะทำมันออกมาให้มันดีกว่านี้
เฟิร์ส : แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือต้องไม่เดือดร้อนใครด้วย
อุปสรรคใหญ่ที่สุดในการทำงาน
เฟิร์ส : ของเฟิร์สก่อนแล้วกัน ของเฟิร์สจะชัดๆ เลยคือเรื่องของการร้องเพลง หรือการต้องโชว์บนเวทีเพราะว่าเฟิร์สเป็นคนที่อ่อนด้านนี้มาก เมื่อก่อนเฟิร์สหูเพี้ยน ฟังโน๊ตไม่ออกแยกเมโลดี้ไม่ออกว่าเพลงๆ นี้เขาจะต้องร้องคีย์อย่างไร จะเข้าจังหวะอะไรอย่างไร จนเราต้องมาทำจริง มันทำให้เราต้องผลักตัวเองขึ้นมา ต้องไปเรียนร้องเพลงเพิ่มไปจับจังหวะ ไปหาเมโลดี้ ไปทำอะไรก็ได้ที่มันเป็นการพัฒนาตัวเอง ที่จะทำให้เราสามารถทำงานตรงนี้ต่อได้ มันก็เลยเหมือนกับความดีใจเราร้องเพลงเล่นๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่าวันนี้เราเข้าใจมันมากขึ้น ว่ามันควรจะเป็นแบบไหน และประมาณไหนสำหรับการทำงาน ทุกวันนี้เฟิร์สรู้สึกว่าอยากร้องเพลงให้ทุกคนฟัง เฟิร์สอยากมีอีเวนต์ อยากมีคอนเสิร์ต เฟิร์สอยากไปงาน Public แล้วยืนถือไมค์ร้องเพลงให้กับทุกคนฟัง
ข้าวตัง : ของข้าวตังน่าจะเป็นเรื่องของรูทีนในชีวิตประจำวันมั้งครับ ในเรื่องของเวลาเข้านอนเวลาตื่นนอนที่มันไม่เป็นเวลาเท่าไหร่ ซึ่งบางทีมันทำให้เรา Energy ไม่เต็มร้อยเท่าไหร่ครับในบางที แต่ถามว่าเราเต็มที่ ณ ตรงนั้นไหมเราก็เต็มที่ ณ ตรงนั้น ก็เต็มที่มากๆ แล้ว แต่ว่าเป็นสิ่งที่อยากแก้ในการจัดการรูทีนของตัวเอง หรือว่าแบ่งเวลาทำงาน แบ่งเวลาใช้ชีวิต หรือว่าแบ่งเวลาหาสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ตัวเรารู้สึกเติมเต็มมากกว่าการทำงาน หมายถึงว่าการทำงานอดิเรก เพลง การอ่านหนังสือ การใช้ชีวิตอยู่กับแมวที่ห้อง หรืออะไรอย่างนี้ ก็อยากจะ Balance ตรงนี้ให้มันดีมากขึ้น
ความรู้สึกระหว่าง “เฟิร์ส” กับ “ข้าวตัง”
ข้าวตัง : ระยะเวลาหลายปีที่เราอยู่ด้วยกันมา มันเหมือนเป็นพาร์ทชีวิตประจำวันที่มันเป็นเพื่อนกันมาก่อน เขาเรียกว่าอะไรนะ ช่วงเวลาตรงนี้มันก็คือเพื่อนกันรู้ใจกันมันสนิทกัน ที่มันเพิ่มเติมขึ้นมาในช่วงหลังๆ ข้าวตังมองว่ามันยังไม่นานมากคือการทำงานร่วมกันแบบจริงๆ จังๆ ข้าวตังก็มองว่าตรงนี้ข้าวตังกับเฟิร์สมันมีสิ่งที่เหมือนกัน อย่างที่บอกไปมันคือความทะเยอทะยาน มันคือความตั้งใจอยากจะทำสิ่งต่างๆ เอาไว้ให้มันดีขึ้นๆ ไปอีก มันเลยทำให้เวลาเราทำงานอะไรด้วยกัน
เฟิร์ส : มองเป้าหมายเดียวกัน เหมือนเราทั้งคู่อยากจะพัฒนาไปไกลกว่าเดิมทั้งคู่ จากจุดที่เรายืนอยู่ มันก็เลยทำให้เราคุยกันได้ง่ายกว่าเดิม ทั้งที่จริงๆ แล้วเราเป็นเพื่อนสนิทกันเราคุยกันได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่พอมองเป้าหมายเดียวกันอีก เหมือนยิ่งทวีคูณความเข้าใจกันขึ้นมาอีก
ข้าวตัง : มันก็เลยส่งผลให้การทำงานมันง่าย จนแทบไม่มีอะไรที่มันแบบต้องมาปรับจูนอะไรกันเลย
ในสายตาของเฟิร์ส ข้าวตังเป็นคนอย่างไร
เฟิร์ส : ดื้อครับ (หัวเราะ)
ข้าวตัง : (หัวเราะ)
เฟิร์ส : เป็นคนดื้อ เอาแต่ใจเป็นบางเวลาครับ แต่ว่าในความเอาแต่ใจนั้นมันก็จะมีเหตุผลของเขาเสมอ แล้วก็เป็นคนสปอยคน
ข้าวตัง : (ยิ้มกว้าง) ครับ
ในสายตาข้าวตัง เฟิร์สเป็นคนอย่างไร
ข้าวตัง : เฟิร์สเหรอครับ อืม…เป็นคนเฟรนด์ลีสมมติเขาเรียกว่าอะไร เป็นคนที่ในบางเวลาหรือในชีวิตประจำวัน ในบางเวทีที่สมมติ Mood ของเรา มันตกลงเขาจะเป็นคนที่ทำให้ เชียร์อัพให้มันให้ Mood มันดีขึ้น บรรยากาศรอบข้างมันดีขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แบบมหัศจรรย์เหมือนกันนะ
เฟิร์ส : อู้วมหัศจรรย์ไปเลย
ข้าวตัง : ซึ่งมันหมายถึงว่าข้าวตังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนึกออกไหม แต่เขาเป็นคนนั้นที่ทำได้
เฟิร์ส : แต่จริงๆ ข้าวตังก็มีสิ่งทีเฟิร์สไม่มีนะ คือข้าวตังบอกว่าเฟิร์สมีสิ่งนี้ แต่กลับกันสิ่งที่เฟิร์สมองเห็นในตัวข้าวตัง มันก็มีเหมือนกัน อย่างข้าวตังก็จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีเทสต์มีการตัดสินใจต่างๆ จากตัวเอง ซึ่งเฟิร์สมองว่าเฟิร์สไม่มีตรงนั้น เพราะว่าเหมือนเรามองภาพรวม และเราตัดสินใจจากภาพรวมซะส่วนใหญ่ ซึ่งข้าวตังใช้เทสต์ตัวเองในการทำงานซะส่วนใหญ่ มันเลยทำให้บางชิ้นงานของข้าวตัง มันออกมาโดดเด่น มันออกมาดีมากๆ จนเรารู้สึกว่าจริงๆ เราก็อยากลองทำแบบนั้นดูบ้างนะ แต่ว่าเราไม่มีทางด้านนั้น
ข้าวตัง : จริงๆ แล้วมันเหมือนกับว่าการที่เราอยู่ด้วยกัน 2 คน มัน Weight กัน มัน Weight น้ำหนักกัน บางทีคนหนึ่งดีดไปเยอะต้องตบลงมา เฟิร์สก็จะเป็นคนตบลงมา บางคนอยู่ข้างล่างอีกคนหนึ่งก็จะช่วยดึงขึ้นมา
มีมุมมอง หรือความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันบ้างไหม
เฟิร์ส : ยากจัง มีไหม
ข้าวตัง : ในเรื่องการทำงานจริงๆ ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่เลยสิ่งที่ข้าวตังให้ความสำคัญมากที่สุดในการทำงาน คือเรื่องของเสื้อผ้า การแต่งตัว
เฟิร์ส : ใช่ๆ เรื่องนี้ข้าวตังจะให้ความสำคัญกับมันมาก ก็อยากให้ภาพรวมของชิ้นงานมันออกไปดูโอเค ดูดี ก็จะโฟกัสตรงนี้เป็นพิเศษ
ข้าวตัง : แล้วก็เหมือนแบบถ้าสมมติ การที่เราใส่เสื้อผ้าออกมาแล้วมันดี เรามั่นใจในสิ่งที่เราใส่ไป ข้าวตังรู้สึกว่ามันเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเราได้ งานที่ออกมามันจะดีขึ้นไปอีก
เฟิร์ส : เฟิร์สก็จะคือๆ กับข้าวตังแต่ว่ามันจะเป็นเลเวลของความต้องการที่มันเบาลงมากว่า อย่างข้าวตังอาจจะต้องการ คือข้าวตังอาจจะต้องการ 5 เฟิร์สต้องการอยู่ที่ 3 แต่ว่าทั้งคู่ก็คือมีเป้าหมายเดียวกันคือการให้งานมันออกมาดี แต่บางทีความต้องการของข้าวตังมันอาจจะมากไป
ข้าวตัง : เฟิร์สก็ต้องคอยตบๆ ลง ใช่ครับใช่
เฟิร์ส : มันเลยอยู่ด้วยกันแบบคนไหนมากไป หรือคนไหนผิดอะไรไป มันก็ต้องคอยช่วยกันแก้ ช่วยกันตบขึ้นตบลงบ้าง เพราะว่ามันอยู่ด้วยกันครับ
ปรับตัวเข้าหากันง่ายมาก
เฟิร์ส : เปิดกว้างเหรอ
ข้าวตัง : เออ ไม่รู้นะ หรือว่าอาจจะด้วยความ เป็นคนชิลๆ ทั้ง 2 คนด้วยมั้งครับ มันก็เลยต่างคนต่างอะไรก็ได้ อะไรก็ได้มึง อะไรอย่างนี้ครับ
เฟิร์ส : ใช่ครับ ตอบอะไรก็ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้สักทีเดียว (หัวเราะ) มันก็จะมีเกณฑ์ความต้องการอยู่ด้วย
ข้าวตัง : ไม่พูดแต่มันก็รู้กัน
เฟิร์ส : มันเข้าใจได้
วางเป้าหมายการทำงานไว้อย่างไร
ข้าวตัง : ตอนนี้ฝันว่าอยากมีคอนเสิร์ต
เฟิร์ส : โอ้ย เหมือนผมเลย อยากมีคอนเสิร์ตคู่ที่เป็นเรา 2 คน เต็มๆ คอนเสิร์ตที่เรา 2 คน ทำโชว์ออกมาให้ทุกคนดู
ข้าวตัง : อันนั้นก็น่าจะเป็นความฝัน ที่อยากทำ เฟิร์สก็อยากร้องเพลง ข้าวตังก็อยากร้องเพลงกับคนดูที่เป็นแฟนคลับ
เฟิร์ส : ใครก็ตามที่มานั่งดูเรา
ข้าวตัง : ล่าสุดที่เราไปแฟนมีตมาเหมือนเราสัมผัสถึงมวลพลังงานที่มันอยู่รอบๆ เรา แล้วเรารู้สึกว่า โหอันนี้มันเป็นสเกลแฟนมีต แล้วถ้าเป็นสเกลคอนเสิร์ตที่มันใหญ่ไปอีก จะแบบโหอิมแพคขนาดไหน
เฟิร์ส : จริงๆ เร็วๆ นี้ ก็มีคอนเสิร์ตที่พวกเราจะขึ้นด้วยกัน แล้วก็ขึ้นกับอีกหลายๆ คู่เลยครับ ก็จะเป็นคอนเสิร์ต LOL ที่จัดขึ้นช่วงหลางปีนี้ครับ แต่ว่ามันเป็นคอนเสิร์ตเหมือนกับภาพรวมเหมือนกับไดเร็กคู่มารวมกัน แต่ว่าสิ่งที่พวกเราฝัน เหมือนอยากยืนด้วยลำแข้งของพวกเราเองได้
ข้าวตัว : (หัวเราะ) ยืนด้วยลำแข้ง
เฟิร์ส : เราอยากเป็น 2 คนที่สามารถ Hold ทั้งสเตเดียม Hold ทั้งฮอลล์ให้กับคนดูได้ มันอาจจะเป็นความฝันที่ตอนนี้เราอาจต้องพัฒนาความสามารถในหลายๆ ด้าน เพื่อที่จะไปถึงจุดนั้น แต่ว่าก็มองความฝันนี้ไว้ว่าอยากให้เกิดขึ้น
ข้าวตัง : ก็ตั้งเป้าให้ไกลไว้ก่อน
เฟิร์ส : อู้ว ไกลจังเลย (หัวเราะ)
เฟิร์ส : ขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกนิดหนึ่งนะครับ
ข้าวตัง : ตั้งใจเรียนเต้น เรียนร้องเพลงเนอะ
ได้ยินชื่อซีรีส์พระจันทร์มันไก่ครั้งแรกแล้วรู้สึกอย่างไร
เฟิร์ส : ข้าวมันไก่ นึกถึงข้าวมันไก่
ข้าวตัง : ใช่ๆ นึกถึงร้านข้าวมันไก่จริงๆ ตอนอ่านบทเราก็พอจะจินตนาการภาพออกว่ามันจะเป็น แบบไหน แต่ด้วยความที่เป็นพี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) กำกับ พี่ออฟ เขาก็ชัดเจนในความดราม่าอยู่แล้ว
ตั้งคำถามไหมว่าทำไมซีรีส์ถึงตั้งชื่อนี้
เฟิร์ส : จริงๆ เรื่องชื่อสำหรับผมนะ ส่วนตัวผมมองว่ามันโอเค สำหรับผมมองว่ามันกลมกล่อมแล้ว พอเราได้ลองอ่านบท แล้วได้ลองทำความเข้าใจดู รู้สึกว่าธีมเรื่องมันคือพระจันทร์มันไก่ ในเวลาเที่ยงคืน หลังจากที่ทุกคนเลิกงานกันแล้วหลายๆ คนรวมตัวกันมาทื่ร้านนี้แล้วเกิดเป็นเรื่องราวต่างๆ ผมมองว่า Mood ของร้านข้าวมันไก่ตอนเที่ยงคืนของคนที่มาอยู่ที่บริเวณนี้ มันมีความหมาย มีความสู้ชีวิต มีความลำบากของคนที่ทำงานดึกดื่นอยู่ครับ มันเลยทำให้คล้องจองกับชื่อเรื่อง สีของชื่อ สีของโทนเรื่องมันไปด้วยกัน
ข้าวตัง : จะบอกว่าตอนแรกที่พี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) ถามมาแล้วก็บอกชื่อเรื่องมาก็จำชื่อเรื่องไม่ได้ จำชื่อเรื่องเป็นมนต์รักข้าวมันไก่ มาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น แล้วแบบมนต์รักข้าวมันไก่
เฟิร์ส : อืม สงสัยกินข้าวมันไก่แล้วตกหลุมรักกัน
ข้าวตัง : มันก็เป็นเรื่องโรแมนติกแหละเนอะ แล้วพอมาอ่านบทจริงๆ ก็ซึม ซึมเลย แต่ว่าตั้งแต่อ่านบทเอาจริงเราว่าแบบเรานึกภาพตาม แล้วเราอยากเล่น เรารู้สึกว่ามันมีพลัง แค่ตัวบทมันมีพลังแล้ว แล้วพอทำให้มันออกมาเป็นภาพ ข้าวตังว่าทุกคนต้องรับรู้ ต้องได้รับรู้ถึงมวลพลังที่พวกเราถ่ายทอดออกไปได้อย่างแน่นอน
เรื่องราวของเฟิร์ส – ข้าวตัง ในพระจันทร์มันไก่เป็นอย่างไร
เฟิร์ส : ผมรับบทเป็นอลันก็ในเรื่องอลันจะเป็นพนักงานธนาคารแล้วก็คาแรคเตอร์เขาจะเป็นคนเหมือนกับเขาเรียกว่าอะไร มีความเป็นผู้นำ มีความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิต
ข้าวตัง : มีมาด
เฟิร์ส : ใช่ มีมาด แล้วก็เขาเป็นคนที่เชื่อเรื่องความรักมากๆ ว่าถ้ารักกันมันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ อะไรประมาณนี้ แล้วก็ตัวละครอลันจะไปมีความสัมพันธ์บางอย่างกับตัวเหวิน ในตอนนี้ผมคิดว่าน่าจะยังไม่สามารถพูดได้ เพราะว่าอยากให้ทุกคนรอติดตาม แล้วทีนี้มันก็อาจจะนำไปสู่การพบเจอกับไก่ป่า ซึ่งมันอาจจะออกมาเป็นการพบเจออย่างไร เนี่ยผมก็คิดว่ายังเล่าไม่ได้อยู่เหมือนกัน
เฟิร์ส : ไก่ป่า ก็จะเป็นลูกเจ้าของตลาด แม่เป็นเจ้าของขายไก่ แล้วก็ขายไก่ให้ลุงจิมนี่แหละครับ เราก็เชื่อว่าแบบเออความรักที่มันดีมันมีอยู่จริงๆ แล้วเราจะต้องเจอคนนั้นให้ได้ แล้วก็คนนั้นที่เราคิดก็คือลุงจิม ซึ่งเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไรต่อก็จะต้องไปติดตาม
พระจันทร์มันไก่จะพาคนดูไปเจอกับอะไรบ้าง
ข้าวตัง : ซึมจริงๆ คนดูน่าจะได้อะไรหลายอย่างเลยเนอะในเรื่องนี้ เพราะว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์แค่แบบความรัก ความรักแบบเชิงแฟนกัน
เฟิร์ส : ผมว่าเรื่องนี้มันลึกมาก แต่ละตัวละครเขาก็จะมีมุมมองนั้นๆ ของตัวละครที่จะต้องถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละครนั้น อย่างตัวละครข้าวตังก็จะมีมุมมองความรักของการที่ อะคุยเอง
ข้าวตัง : ครับ ของข้าวตังมันก็จะมีพาร์ทของครอบครัวเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งทุกคนน่าจะ Relate ได้ แล้วก็ทุกวัยน่าจะเข้าถึงเรื่องนี้ได้ เพราะว่าทุกคนต่างเจอกับความรัก ทุกคนอาจจะเคยประสบปัญหา (หัวเราะ)
เฟิร์ส : นั่นแหละๆ ทุกคนอาจจะเคยประสบปัญหาเรื่องความรักมาบ้าง ผมว่าทุกคนจริงๆ นะ ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องพบเจออย่างน้อยสักหนึ่งครั้ง อาจจะเป็นในมิติที่แตกต่างกันเฉยๆ
ข้าวตัง : ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่น้อง แฟน ครอบครัว และผมเชื่อว่าคนดูที่ดูเรื่องนี้จะต้องรู้สึกกับตัวละครสักหนึ่งตัวละครในเรื่องนี้แน่นอน แล้วก็สุดท้ายหลังจากดูเรื่องนี้จบผมว่ามันจะได้อะไรกลับไปมากมายแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่น มวลรวมต่างๆ สุดท้ายแล้วจะกลับไป
บรรยากาศ – ความสัมพันธ์ในกองถ่าย
ข้าวตัง : ข้าวตังก่อน อย่างข้าวตังเคยทำงานกับพี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) แล้วเอิร์ธ (พิรพัฒน์ วัฒนเศรษสิริ) พี่เอิร์ธ (หัวเราะ) ชอบเรียกเขาดิเอิร์ธ ครับ พี่เอิร์ธ แล้วก็มิกซ์ (สหภาพ วงศ์ราษฎร์) ครับมาอยู่แล้วตั้งแต่ นิทานพันดาว แล้วก็กับเฟิร์สก็รู้จักกันมาอยู่แล้ว การทำงานก็เลยไม่มีปัญหา ส่วนน้องๆ เพิ่งมาเจอใหม่ครับ ข้าวตังรู้สึกว่าน้องเป็นคนมีของมาก สิ่งเดียวที่เราทำกันก็คือ ลดกำแพงละลายพฤติกรรม ระหว่างกันให้ได้มากที่สุด เพราะว่าเราทุกคนอยากให้น้องๆ จอยด้วยกับเราอะไรอย่างนี้ ซึ่งเราก็น่ารักกันอยู่แล้ว
เฟิร์ส : ของเฟิร์สก็เหมือนกันครับ แต่ว่าเฟิร์สจะไม่เคยทำงานกับพี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) มาก่อน เหมือนแค่เคยคุยๆ กันมาก่อนว่าอยากทำงานด้วยกันนะ อยากลองเล่นบทประมาณไหนอะไรอย่างไร จนกระทั่งได้มาเล่นเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นการเติมเต็มเราเหมือนกัน เพราะว่าตัวบทที่เราได้รับมันมีความลึกแล้วก็มีความท้าทาย ทางด้านการแสดงสูงมาก ตอนเฟิร์สอ่านบทก็รู้สึกว่า ผมไม่เข้าใจตัวละครนี้เลย ผมไม่เข้าใจเลยว่าคนๆ หนึ่ง ทำไมถึงมีมายเซ็ตแบบนี้ ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ ทำไมถึงทำอะไรที่มันดูเป็นแบบนั้นออกไป ซึ่งพอเราได้ลองเล่นไปเรื่อยๆ ลองได้ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วผมโคตรเข้าใจอลันที่ว่าทุกการกระทำของเขาที่เขาทำไป ถึงแม้มันจะไร้เหตุผลแต่จริงๆ แล้วทั้งหมดมันจากความรู้สึกของเขา จากเหตุผลและความต้องการของเขา แต่ผมไม่สามารถพูดได้ว่ามันจะเป็นประมาณไหน อยากให้ทุกคนไปลองติดตาม แต่ว่าสุดท้ายแล้วผมเข้าใจตัวละครตัวนี้มาก แล้วรู้สึกขอบคุณพี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) ที่ให้โอกาสตรงนี้กับพวกเราแล้วได้มาใช้เวลาตรงนี้ร่วมกันกับทุกคน รู้สึกแฮปปี้มาก
บทบาทไก่ป่ายากไหม
ข้าวตัง : จริงๆ ก็ไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ยากเท่าอายันต์ ข้าวตังรู้สึกว่าเพราะว่าไก่ป่าเป็นคนที่มีความร่าเริงในตัว มีความปากจัดในตัว มีความแซ่บอยู่ในตัวแล้วพอเหมือนแบบเราคุยพี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) เขาก็จะบรีฟมา โอเคเข้าใจมันก็เลยไม่มีอะไรยากในการเเข้าคาแรคเตอร์ สิ่งที่มันยากก็คือการเล่นดราม่าข้าวตังรู้สึกว่าเรื่องนี้มันทลายขีดจำกัดของตัวเองไปอีกขั้นหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็สปอยไมได้นะ
ดราม่าขนาดไหน
ข้าวตัง : โอ้โฮ คัทแล้วยังไม่หยุดร้อง ใช่ มันพังมันถึงขั้นนั้นเลย
เฟิร์ส : ไม่เป็นไรนะเพื่อนนะ เหมือนผมมีทีมงานทำรีเสิร์ชมาให้ผมว่าทั้งเรื่องเนี่ย ผมเล่นซีนดราม่ากี่ซีน เขาบอกว่ามันเยอะเกินไปแล้วเขานับไม่ถูก เขาเลยนับซีนที่มีรอยยิ้มออกมาให้ ทั้งหมด 2 ซีนครับ เป็น 2 ซีนที่เฟิร์สมีรอยยิ้มในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น Mood เรื่องมันก็ประมาณนั้น
จุดเริ่มต้นอยู่ที่ร้านข้าวมันไก่ จุบจบของเรื่องอยู่ที่ไหน
เฟิร์ส : ร้านข้าวมันไก่อยู่ดี
ข้าวตัง : ร้านข้าวมันไก่เหมือนเดิมครับ
เฟิร์ส : มันมีผมเคยได้ยินตอนสมัยเรียนนะว่ามันมีทฤษฎีเกี่ยวกับการละครภาพยนตร์อะไรอย่างนี้ เปิดที่ปิดปิดที่เปิด หมายถึงเปิดเรื่องที่จุดจบของเรื่องอะไรอย่างนี้ ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นแบบเดียวกันนะ หรือเปล่า? ไม่รู้ ไม่บอก
ข้าวตัง : (หัวเราะ)
คาดหวังกับซีรีส์เรื่องนี้มากแค่ไหน
ข้าวตัง : ก็มีคำถามหนึ่งที่พี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) ถามตอนอ่านบทเสร็จครับว่า คาดหวังอะไรจากเรื่องนี้ คำแรกที่ผุดมาในหัวของเราก็คือรางวัลครับ
เฟิร์ส : เหมือนกันผมก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
ข้าวตัง : ทุกคนต้องคิดเหมือนกันหลังจากอ่านบท คืออย่างที่บอกว่าบทมันมีพลังมาก แล้วก็มันเลยทำให้เราคิดไปถึงขั้นนั้นว่าแบบอยากได้รางวัลจากเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่เราคาดหวังไว้
เฟิร์ส : แต่จริงๆ เราก็คาดหวังทุกเรื่องว่าเราอยากได้รางวัล (หัวเราะ)
ข้าวตัง : (หัวเราะ)
เฟิร์ส : ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งตัวเราเองด้วย
ฝากซีรีส์พระจันทร์มันไก่
ข้าวตัง : ฝากด้วยนะครับ Moonlight Chicken พระจันทร์มันไก่ ติดตามได้ทาง Disney Plus + Hotstar
เฟิร์ส : เวลา 18.00 น. ทุกวันพุธ และวันพฤหัสบดี เริ่มตอนแรกวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ครับ
ข้าวตัง : ฝากด้วยนะครับ
ก่อนจบการสัมภาษณ์วินาทีนี้อยากบอกกับตัวเองว่าอย่างไร
เฟิร์ส : เหน็บกินครับ ผมนั่งไขว่ห้างอันนี้เหตุผลที่ผมสลับข้าง เพราะว่าเหน็บมันกินข้างขวา (หัวเราะ) อะคุณมีอะไรจะพูด
ข้าวตัง : ให้กำลังใจแล้วกัน ทั้งตัวเองแล้วก็คนอื่นด้วย เก่งแล้ว ไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่หรือว่าอยู่ตรงไหนของชีวิต อยู่ตรงไหนของโลกใบนี้ทุกๆ คน สิ่งที่คุณทำอยู่ตอนนี้คุณเก่งแล้วครับผม จริงๆ เป็นการให้กำลังใจตัวเอง แล้วก็เพื่อนด้วยเหมือนกันนะ การที่เราทำตรงนี้มาอยู่จุดนี้ เราเก่งมากแล้วจริงๆ
เฟิร์ส : ไม่เป็นไร เก่งแล้วเพื่อน
ข้าวตัง : (สะกิดขาเฟิร์ส) อ้าวเหน็บกินต้องไอ้นี่ไม่ใช่เหรอ
เฟิร์ส : เหน็บกินมันมาอาการคือมดตอมๆ เยอะๆ
ข้าวตัง : อ๋อแล้วอันนั้นคืออะไรถ้ามันแบบซ่าๆ อะ
เฟิร์ส : เหมือนกัน
ข้าวตัง : อ๋อเหมือนกันเหรอ
เฟิร์ส : (หันกลับมาหาผู้สัมภาษณ์) โอเค (หัวเราะ)
ข้าวตัง : ครับผม (หัวเราะ)