สร้างไวรัลไปทั่วโลก และจะเป็นอีกหนึ่งตำนานบนเวทีมิสยูนิเวิร์สตลอดไป สำหรับชุดราตรี “Hidden Precious Diamond Dress by MANIRAT” ของ “อาริฟ เจ๊ะหวาง” แฟชั่นดีไซเนอร์และแฟชั่นสไตลิสต์ เจ้าของแบรนด์ “MANIRAT” ผู้รังสรรค์ชุดราตรีให้กับ “แอนนา เสืองามเอี่ยม” ในรอบพรีลิมมินารี การประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2022 ชุดราตรีที่ทำขึ้นจากห่วงฝากระป๋องและจากสตอรี่เรื่องราวชีวิตของแอนนาโดยตรง
สวยเตะตาแฟนนางงามทั่วโลก จนกลายเป็นไวรัล สื่อดังในต่างประเทศประโคมพาดหัวข่าว “ชุดราตรีของตัวแทนสาวไทยสร้างจากขยะรีไซเคิล”
ชุดราตรีชุดแรก ของ “อาริฟ เจ๊ะหวาง” บนเวทีนางงาม
อาริฟ : จุดเริ่มต้นมาจากทางกองประกวดได้รับสมัครดีไซเนอร์ออกแบบชุดราตรี เราเห็นก็เลยตัดสินใจลงประกวดเลย เพราะว่าเป็นคนที่ชอบสายงานประกวดอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงตอนนี้ หนึ่งชุดราตรีของการประกวดมิสยูนิเวิร์สก็เป็นอีกหนึ่งความฝันที่เราอยากจะเห็นชุดตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ก็เลยส่งผลงานเข้าประกวด เป็นครั้งแรกเลยค่ะ เราจบแฟชั่นดีไซเนอร์มา แล้วก็ไม่เคยทำชุดราตรีเลย ชุดนี้เป็นชุดราตรีแรกในชีวิตที่ทำ
Hidden Precious Diamond Dress ความงามที่ถูกซ่อนอยู่
อาริฟ : ด้วยความที่น้องเกิดมาจากกองขยะ เป็นนางงามที่ได้ชื่อเป็นนางงามที่เกิดมาจากกองขยะ มีพ่อเป็นคนเก็บขยะ แม่เป็นคนกวาดขยะ ดังนั้นสตอรี่ที่น้องได้ส่งไปกับกองใหญ่ เรื่องราวในชีวิตของน้อง เราก็เลยเอาขยะมาเป็นคีย์เวิร์ดของการทำชุดเป็นคีย์เวิร์ดแรก สองเราเอาเรื่องที่น้องเป็นนางงามมาผสมรวมกัน มันก็เลยกลายเป็น Hidden Precious Diamond Dress คือความงามที่ถูกซ่อนอยู่ ดังนั้น MANIRAT เป็นคนที่เจียระไนมัน เอาวัสดุนี้มาเสริมมูลค่าให้กับมัน ให้เหมือนตัวน้องที่น้องไม่ว่าจะเกิดมาจากที่ไหน แต่น้องยังเชื่อว่าการพัฒนาหรือว่าการเสริมสร้างศักยภาพของตัวเอง ทำให้เราสำเร็จได้ ดังนั้นเราก็เลยเอาคีย์เวิร์ดในการพูดของน้อง เรื่องราวของสตอรี่ของน้องมารวมกัน มันก็เลยเกิดเป็นการทำชุดฝากระป๋องขึ้นมา เพิ่มเจียระไนด้วยการติดเพชรเข้าไป แล้วก็ต่อร้อยเป็นชุดเดรสชุดนี้ นี่เป็นสตอรี่ที่เราได้ทำนำเสนอไป
ทำไมถึงเลือกใช้สลักฝากระป๋อง
อาริฟ : แน่นอนค่ะว่าถ้าจะเอาขยะหนึ่งชิ้นมาทำเสื้อผ้า ขยะชิ้นนั้นต้องเป็นที่รู้จักจากคนทั้งโลก เห็นแล้วรู้สึกทันทีว่ามันคืออะไร เราก็เลยเลือกฝากระป๋อง สองคือแอนนาเสือ เกิดจากขยะ คำนี้เราก็เลยหาวัสดุที่เป็นจากขยะขึ้นมา ก็เลยเลือกฝากระป๋องเพราะรู้สึกว่าอย่างที่ย้อนกลับไป ข้อแรกก็คือทุกคนเห็นจะเข้าใจ อันดับที่สามก็คือเราเรียนแฟชั่นดีไซน์มา เรารู้ว่าเทคนิคไหนที่มันสามารถทำได้ ครีเอทผลงาน ครีเอทเทคนิคได้ เราก็เลยเอาฝากระป๋องมาต่อๆ กัน จริงๆ มันเป็นหนึ่งในเทคนิคของการทำงานแฟชั่นที่เป็นที่นิยม แต่ว่ายังไม่ได้เห็นในรูปแบบของชุดราตรี เราก็เลยเอาเทคนิคนี้มาผสม
แต่กว่าจะได้มาเป็น 1 ใน 3 ดีไซเนอร์ ทำชุดราตรีให้กับแอนนา ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่เป็นมือใหม่ในวงการชุดราตรีนางงาม ยังไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ คำสบประมาทจึงเริ่มเกิดขึ้น และเป็นเสมือนแรงผลักดันให้กับ “อาริฟ” ในการพิสูจน์ตัวเองและผลงาน
อาริฟ : กรรมการมีประมาณ 10 ท่าน แบบของเราไม่โดนหยิบเข้ามาใน 10 ชุดแรก ด้วยความที่แบบสเก็ตซ์มันนิ่งมาก ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร เป็นแค่ชุดสีเงินชุดหนึ่งกับภาพเงาของนางงามที่ใครๆ ก็ใส่ได้ จนมีกรรมการรู้สึกเอ๊ะว่ามันคืออะไร เพราะวัสดุมันดูแปลกจากสเก็ตซ์แต่ยังไม่รู้ว่ามันคือฝากระป๋อง ก็เลยไปหยิบอ่านสตอรี่อ่านเทคนิค ทำให้ของเราโดนวางเข้ามาใน 10 คน
ตอนประกาศผล 10 คน เราเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ทำเสื้อผ้านางงาม แฟนนางงามก็ไปเอารูปเอาผลงานต่างๆ ของ 10 ท่านที่เข้ารอบมาดู เราบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เราเชื่อเราเคารพในสเก็ตซ์ของเราว่ามันต้องเกิดขึ้นเสมอ พอเข้าไปรอบ 10 คน เราทำเทคนิคไปเลย ยกหุ่น โครงผ้าดิบไปทุกอย่าง คือเราเต็มที่มาก กรรมการ 10 คน มีคนหนึ่งที่เข้าใจเราก็คือ “พี่โจ้ Surface” เป็นคนเดียวที่เข้าใจว่าเทคนิคเราคืออะไร ทั้งๆ ที่กรรมการท่านอื่นๆ ไม่ได้เชื่อว่ามันคืออะไร จะทำได้จริงหรือ ฝากระป๋องมันจะสวยได้เลยหรอ ภาพที่เขาคิดเขาคงคิดว่ามันก็คงชุดรีไซเคิลวันวิทยาศาสตร์ทั่วไป อันนี้คือสิ่งที่เราได้ยินมาตลอด
ผ่านรอบ 10 คน กรรมการขอพอร์ตเพิ่มเติมว่า พอร์ตของเราไม่มีนางงามเลย กรรมการขอพอร์ตการทำงานด้านเสื้อผ้า เพื่อให้เห็นว่าเราทำได้ กับสองให้ทำสเก็ตซ์มาเพิ่ม ไล่สีให้มาเพิ่ม สีน้ำเงิน สีทอง สีเขียว ต่างๆ เพื่อจะให้เพิ่มมิติกับชุดนี้ให้มันมีอะไรมากขึ้น จนวันที่เขาประกาศว่า 3 คนนี้จะเป็น 3 คนที่ได้ทำชุดให้กับแอนนาเสือ ไอ้เราก็ดีใจแล้วเราเชื่อว่าอย่างน้อยๆ ภาพที่เราเห็น เราไม่รู้ว่าเราจะได้ใส่หรือเปล่า แต่สุดท้ายคือสิ่งที่เราคิด ชุดนี้มันเกิดมาได้เพราะแอนนาเกิดมา มันเกิดมาได้เพราะว่าแอนนาจะเป็นคนเดียวที่จะใส่มัน
“แต่สิ่งที่ตามมาอีกหลังจากนั้นก็คือ เราฟังสัมภาษณ์หลายๆ สัมภาษณ์ มีคนถามว่าชุดราตรีเป็นไงบ้าง เขาก็เลยบอกว่า อ๋อเราวางไว้แล้ว มีไว้ 2 ชุด 2 ห้องเสื้อ ก็คือรอบไฟนอลและพรีลิมฯ แต่อีกห้องเสื้อแค่อยากเห็นว่าเขาทำยังไง ก็เลยให้เขาเข้ารอบมา เรารู้เลยว่าคำว่าแค่อยากเห็นแล้วก็ให้เข้ารอบมาคือชุดของเรา ดังนั้นชุดของเราไม่ได้โดนเลือกในสายตา เพราะว่าตอนนั้นชุดยังไม่ได้ออกมาเป็นชุด”
อาริฟ เจ๊ะหวาง
ถามว่านอยด์ไหม นอยด์นะคะ เพราะสิ่งที่เราพูดที่เราพยายามอธิบายมันไม่เห็นภาพ มันเหมือนเราขายฝันว่ามันจะเป็นจริงหรือเปล่า แต่เราโชคดีที่เรามีพาร์ทเนอร์คือคนที่ทำด้วยกัน เขาก็จะมั่นใจในผลงานเรามากกว่าตัวเราอีก เราก็เลยโอเคงั้นต้องทำให้สวยที่สุด
เมื่อเพชรกระทบกับแสงไฟ จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชุดนี้ถูกมองเห็นมากขึ้น
อาริฟ : ฟีตติ้งกับแอนนาทั้งหมดประมาณ 3 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งน้องคงเหนื่อยมากๆ น้องไม่มีรีแอคเลยกับชุดเลย ฟิตติ้งครั้งที่สองน้องก็ดูเฉยๆ กับงานเรา ไม่ได้ดูว้าวเหมือนกับทีมต่างๆ ที่เขาเห็นแล้วเขาพูดออกมาว่าขอถอนคำพูดแล้วกันนะคะ เหมือนมันยังไม่มีกระจกสะท้อนให้น้องเห็นว่าฉันใส่ชุดอะไรอยู่ ก็เลยรู้สึกว่าฟิตติ้งที่สองก็เฉยๆ กับผลงาน จนฟิตติ้งครั้งที่สาม น้องใส่ทั้งสามชุด น้องชมชุดสองชุดที่ไม่ใช่ของเรา แต่เราก็ยังเชื่อยังเคารพในผลงานตัวเองว่ามันต้องได้เห็นๆ อยู่เสมอ จนวันที่เสร็จสมบูรณ์ 100% ต้องเอาชุดไปถ่าย VTR ของมิสยูนิเวิร์ส สวารอฟสกี้ที่เราใช้มันทำงาน เพราะว่าไฟที่เขาใช้เป็นไฟออนสเตจในการถ่าย มีกระจกให้น้องดูตัวเอง น้องชอบชุดนี้มากน้องเลือกชุดเราตั้งแต่วันนั้น ว่าอยากให้ชุดนี้เป็นชุดไฟนอล
เราโดนล้างไพ่มาตั้งแต่การฟิตติ้งครั้งที่ 1,2,3 เรามารู้สึกฟูลฟีลกับผลงานของตัวเอง คือวันสุดท้ายที่น้องได้อยู่กับชุดก่อนที่จะบินไปนิวส์ออร์ลีน ฟีดแบคในการส่งให้กับน้องเรารู้สึกเกินร้อย อย่างน้อยๆ ก็คือน้องชอบ น้องจะเลือกหรือไม่เลือก อาจจะมีการเปลี่ยนหน้างานหรืออะไรก็แล้วแต่ เรามีความรู้สึกว่าเราทำสำเร็จในสิ่งที่เราคิด และหลังจากที่เฉยๆ น้องกลับมาชอบผลงานของเราแล้ว
เกินความคาดหมาย เมื่อชุดกลายเป็นไวรัลระดับโลก
อาริฟ : เป้าหมายของการทำชุดนี้เราวางอยู่แล้วว่า เราอยากให้โลกหันมามองว่าขยะมันสามารถเป็นอะไรได้ แต่มันเหนือความคาดหมายทั้งหมด การทำชุดนี้มันไม่ใช่แค่การทำชุดให้นางงามใส่แล้วสวย ชุดมันบ่งบอกตัวตนของนางงาม และที่สำคัญเป็นการทำชุดที่บอกอะไรกับสังคมโลก ให้หันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม หันมามองการตกแต่งขยะให้มันเป็นของล้ำค่า เป็นประติมากรรม เป็นศิลปะ หรือเป็นอาภรณ์ให้เราสวมใส่ได้ เราอยู่ไทยพ่อเราอยู่ต่างประเทศ พ่อบอกว่าข่าวของเราไปขึ้นที่นู้น เราก็ดีใจมาก เพื่อนที่อยู่อินเดียก็ทักมาบอกว่า ตอนนี้ข่าวชุดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เยอะมาก เพราะว่าเป็นอะไรที่ทำให้อินเดียเขามีแรงกระเพื่อมต่อสังคมในเรื่องขยะ อันนี้เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนได้เหมือนกัน
กระแสของชุดมันไม่ใช่อยู่ในประเทศไทย มันเป็นกระแสเป็นการตอบรับจากทั้งโลก เราก็เลยรู้สึกว่ากระแสเหล่านั้น มันมาช่วยเสริมให้ชุดเรา คนไทยภูมิใจในผลงาน เราคิดว่าชุดนี้เราทำเพื่อแอนนาเสือไม่พอ เรากำลังทำให้กับคนไทยทั้งประเทศด้วย มันก็เลยรู้สึกว่ามีผลตอบรับที่ดีมากๆ กับการทำชุดครั้งนี้ แล้วชุดนี้เป็นชุดราตรีนางงามชุดแรกในชีวิตที่ได้ทำ เป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตต้อนรับปีใหม่ให้กับเราเลยค่ะ
เราอยากจะบอกอีกอย่างหนึ่ง ว่าชุดนี้เรานึกถึงย่า MANIRAT คือชื่อของย่าที่เราตั้งใจทำชื่อนี้ออกมา ย่ากับเราเป็นคนที่ดูนางงามมาด้วยกันตลอดตอนเด็กๆ เราบอกย่าว่าเราจะเปิดแบรนด์นะ ชื่อว่า MANIRAT ตอนที่ย่ามีชีวิตอยู่ จนวันนึงย่าเสียชีวิตไปอย่างน้อยๆ เราได้บอกว่ามีแบรนด์ชื่อนี้เกิดขึ้นนะ มันเหมือนเป็นของขวัญจากย่าเหมือนกันในความคิดของเรานะ อันนี้เป็นวิจารณญาณในการรับชมเนอะ
“เหมือนเป็นของขวัญที่ย่าได้มอบให้กับเรา เราก็เลยได้เอาชื่อย่าไประดับโลก เป็นไวรัลให้คนพูดถึงชุด Hidden Precious Diamond Dress by MANIRAT ค่ะ” อาริฟ กล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข กับความสำเร็จก้าวแรกในเส้นทางชุดราตรีบนเวทีนางงาม