จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับซีรีส์เรื่องคาธ (The Eclipse The Series) ที่ได้มีการเปิดโรงภาพยนตร์ดู Final EP ร่วมกันระหว่างแฟนคลับ และทีมงานนักแสดง ในงาน “คาธ The Eclipse Final EP Fan Meeting” เมื่อ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา
FEED ได้สัมภาษณ์ “กอล์ฟ – ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์” ผู้กำกับซีรีส์เรื่องนี้ ถึงมุมมองการเล่าเรื่องราวสะท้อนสังคม และสิ่งที่ต้องการมอบให้กับคนดู มากกว่าการเป็นซีรีส์ Y ที่ขายความจิ้นฟิน
ความรู้สึกของผู้กำกับซีรีส์ Y ที่สร้างปรากฎการณ์ต่อสังคม
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน : ในฐานะผู้กำกับก็ต้องบอกว่าวันนี้ที่เดินทางมาถึง Final EP EP.12 แล้ว มันเกินคาดมากๆ เลย เพราะว่าอย่างที่บอกว่าโจทย์แรกมันคือเป็นซีรีส์ Y แต่เป็นซีรีส์ Y ที่ตั้งคำถามกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องกฎ เรื่องความเชื่อเก่าๆ เรื่องกฎระเบียบในโรงเรียน แน่นอนมันท้าทายมันยากที่จะประสบความสำเร็จ มันยากสำหรับคนดู ยิ่งเป็นกลุ่มคนดู Y เขาก็จะเสพขนบ Y แบบนึง แต่ของเราค่อนข้างซีเรียส ค่อนข้างหนักมีทั้งประท้วง มีการสืบสวนสอบสวนหาฆาตกรอะไรอย่างนี้ รู้สึกว่ามันไม่ง่าย เพราะฉะนั้นการเดินทางมาถึงตรงนี้ได้ ส่วนตัวก็รู้สึกประสบความสำเร็จมาก แล้วก็ดีใจมากที่คนดูจาก EP.1 เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ แล้วช่วยกันบอกต่อจนมันขยายมากขึ้น แล้วมันไม่ใช่แค่แฟนคลับคนไทย มันมีอินเตอร์แฟนจากทั่วโลกที่ให้การสนับสนุน มันก็เลยรู้สึกดีใจที่มันมาถึงขั้นนี้ได้ค่ะ
กลายเป็นประเด็นการถกเถียงขึ้นมาในสังคม และในโซเชียลฯ
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน : ใช่ค่ะ เพราะว่าตัวเราเองยิ่งเราทำซีรีส์ที่ต้องการกระตุ้นความรู้สึกของคนดู การตั้งคำถามเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับซีรีส์ของเรา เพราะฉะนั้นการหาคำตอบสำหรับกอล์ฟมันจะต้องไม่มีถูกไม่มีผิด มันจะต้องมีทั้งสองฝ่ายเขาจะเชื่อคนละแบบถูกไหมคะ แล้วเราจะไม่ฟันธงไม่ไปตัดสินใคร ตัวเราเองยังไม่อยากให้ใครตัดสินเราว่าสิ่งที่เราเชื่อมันถูกหรือมันผิด เพราะฉะนั้นเราจะไปตัดสินคนอื่นมันก็ไม่ควรใช่ไหม เราต้องเคารพสิทธิ เคารพความเห็นต่าง เพราะฉะนั้นก็จะเห็นตัวละครในเรื่อง ก็จะเป็นแบบนี้ ไม่ได้ตัดสินกัน แต่ว่าวิวาทะที่ถกเถียงกันก็ต้องคนดูต้องมาถกเถียงต่อว่าตกลงอะไรมันจริง อะไรไม่จริง ซึ่งแน่นอนความจริงแท้มันขึ้นอยู่กับตัวเราตัดสิน
การนำเสนอเรื่องความเท่าเทียม คือเป้าหมายหลักของเราไหมที่จะสอดแทรกในซีรีส์
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน : ใช่ค่ะ เป็นเป้าหมายหลักเลย เรารู้สึกว่าซีรีส์ Y มันน่าจะมีความหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ แล้วเรารู้สึกว่าตอนนี้พอทุกคนเริ่มดูซีรีส์ Y มากขึ้นทุกคนก็ต้องหาสิ่งที่มันแตกต่าง แน่นอนว่าในตลาดเดียวกัน มันก็ต้องมีสินค้าที่แตกต่างหลากหลาย แต่เนื่องจากตัวเราเองเนเจอร์ตัวเราเองเราก็ชอบทำงานที่ท้าทายความคิดคนดูอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการตั้งคำถาม การโยนคำถามให้คนดู มันคือเป้าประสงค์ของเราตั้งแต่แรก ซึ่งมันเวิร์กนะกอล์ฟรู้สึกว่ามันเวิร์กมาก เพราะว่าแฟนคลับหรือคนดูที่ฟีดแบ็กมาในทวิตเตอร์เอง หรือเจอตัวเองก็ดี เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้ฟีดแบ็กเรื่องความจิ้น ความฟินไง เขาฟีดแบ็กเรื่องการตั้งคำถาม แล้วมันก็เกิดเป็น Community คือคนดูเองที่เริ่ม Community เขาเริ่มพูดถึงเรื่องที่ตัวเองโดนในโรงเรียน พูดถึงสิ่งที่ตัวเองเชื่อเผชิญ แล้วก็เริ่มมาฮีลใจกันเอง มันเลยรู้สึกว่ามันเกิด Community ที่ไม่ใช่พูดเรื่องความจิ้น ความฟิน แต่มาพูดเรื่องปัญหาที่ตัวเองประสบพบเจอ แล้วก็เริ่มแบบฮีลใจกัน แล้วตรงนั้นเรารู้สึกว่าเฮ้ยมันมากกว่าการดูซีรีส์เรื่องนึง
คาธ The Eclipse ถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ ในการดูซีรีส์ Y ไหม
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน : มันเกินคาดมากมันเกินคาดมากจริงๆ ค่ะ มันเกินคาดมากมายหลายอย่างนะคะ ทั้งตัวความนิยมที่ขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่ง ขึ้นเทรนด์โลก แล้วมันก็การขึ้นเทรนด์ การปั่นเทรนด์มันเป็นการ Educate สังคมไปด้วยในตัว เพราะว่าสิ่งที่เขาพูดอยู่ในหนังในทวิตที่เขาติดแฮชแท็ก พอเราไปตามอ่านมันไม่ใช่จิ้น มันไม่ใช่ฟิน มันคือการตั้งคำถาม ในการหาคำตอบ แล้วสิ่งที่เราประทับใจมากก็คือว่าตอนเราทำหนัง เรื่องภาพ เรื่องอะไร เราให้ความสำคัญอยู่แล้ว สัญลักษณ์ต่างๆ แต่เรื่องนี้เราก็ให้เต็มที่ โดยที่เราไม่คาดหวังว่าคนดูจะสังเกตไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราประทับใจคือเขาแคปภาพมา แล้วก็พูดเรื่องสี พูดเรื่องความหมาย แล้วก็พูดเรื่องการวาง Composition การให้สัญลักษณ์ต่างๆ เรารู้สึกว่าโหคนดูดูละเอียดมาก แล้วก็ทุกอย่างทุกสิ่งที่เราใส่สัญลักษณ์ลงไปเขาจับได้หมดเลย แล้วก็เอามาวิเคราะห์ มาวิพากษ์วิจารณ์กัน เรารู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นการติดแฮชแท็กที่ Educate สังคมซึ่งกันและกัน แล้วไม่ใช่แค่ในเมืองไทย แต่เป็นอินเตอร์แฟน
คิดว่าคุ้มค่าไหม กับสิ่งที่เราตั้งใจจะโยนคำถามในซีรีส์ไปให้คนดู
“สำหรับตัวพี่ พี่ว่ามันคุ้มค่ามากนะ แค่วันนี้เราก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากที่มีคนมาดูร่วมดูซีรีส์กันในโรงที่ใหญ่มากๆ แล้วพอเราประกาศขายตั๋วก็หมดเลยภายในไม่ถึง 5 นาที พอน้องๆ ไปงานหนังสือก็มีแฟนคลับไปมากมายมหาศาล ซึ่งเราไม่ได้มีฉาก NC หรืออะไรเสิร์ฟให้คนดูเลย มันคือเรื่องมัธยมฯ ทำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว แล้วด้วยความต้องการของเรา เราก็ไม่ได้ต้องการจะเสิร์ฟแบบนั้นมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการก็คือแน่นอนมันมีขนบ Y ที่เราต้องใส่เข้าไป เพราะเรากำลังรู้ว่าวัตถุประสงค์เราคือทำซีรีส์ Y นะ แต่แน่นอนที่เราสอดแทรกเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัญลักษณ์ต่างๆ หรือการตั้งคำถามในสังคม ตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนต่างๆ มันก็เลยต้องบอกว่ามันคุ้มค่ามาก วันนี้เรารู้สึกว่ามันประสบความสำเร็จที่เราตั้งคำถามกับสังคม”
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน กล่าว
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน : ส่วนตัวพี่กอล์ฟเองก็ถูกเชิญไปเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยหลายแห่ง เราก็เห็นเลยว่าเริ่มมีสถาบันการศึกษาเชิญเราไปพูดเรื่องการรีเซ็ตขนบ Y เรื่องการที่ตั้งคำถาม Y ต้องไม่มีแบบเดียวแล้ว เราก็รู้สึกว่าเราก็มีแฟนคลับอีกกลุ่มนึงที่ติดตามเราไป มีคนไปรอเราไม่ใช่ดาราแต่มีคนไปรอฟัง ไปรอถ่ายรูป ไปรอให้กำลังใจ รู้สึกว่ามันคุ้มค่าเพราะว่าแน่นอนว่าเขามาหาเรา เพราะว่าชื่นชอบชื่นชมในสิ่งที่เราทำ ในผลงานเราในความคิดเรา
ก็ขอบคุณนะคะที่มองว่า Y เรามันเป็น Y ที่โตขึ้น คำว่าโตขึ้นทั้งที่เราเล่าเรื่องเด็กมัธยมฯ แต่คำว่าโตขึ้นของเราคือการที่เราจำลองสังคมที่อยู่ในโรงเรียน มันคือจำลองสังคมไทย ปัญหาที่อยู่ในโรงเรียนมันก็คือปัญหาที่ทุกคนเคยประสบพบเจอ แล้วก็กำลังเผชิญอยู่ในสังคมไทย เพราะฉะนั้นมันก็เลย Represent พี่ว่ามัน Represent ได้กับสิ่งที่ทุกคนเจอในสังคม มันก็เลยดูเป็นซีรีส์ Y ที่โตทั้งที่เราเล่าเรื่องวัยรุ่น
หลังจบซีซั่นนี้ไป มองการต่อยอดในอนาคตไว้ยังไงบ้าง
กอล์ฟ ธัญญ์วาริน : คือการจบแบบพี่มันไม่ธรรมดาแน่ๆ พี่มองว่าชีวิตคนมันไม่ได้จบแค่ชีวิตนักเรียนมัธยมฯ เขายังต้องไปเผชิญโลก เผชิญปัญหาในระดับมหาวิทยาลัย จบมหาวิทยาลัยไปยังต้องเผชิญโลกกับการอยู่ในสังคมจริงๆ อีก เพราะฉะนั้นพี่มองว่าต่อจากนี้ชีวิตของพวกเขาจะเป็นยังไงเราต้องคอยติดตาม
สำหรับใครที่ยังไม่ดูซีรีส์เรื่อง คาธ (The Eclipse The Series) สามารถรับชม Version Uncut ครบทุกตอนได้แล้ววันนี้ที่แอปพลิเคชัน VIU