“จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก นักกีฬาคิกบ็อกซิ่งทีมชาติไทย กลายเป็นที่รู้จักคนของคนไทยทั้งประเทศ หลังจากที่มีคลิปไวรัลเผยแพร่ในโลกออนไลน์ช่วงการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่ประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566
ซึ่งเจ้าตัวโชว์ความน่ารัก ออกอาการดีใจด้วยท่าฟูลเทิร์นแบบนางงาม สวมกอดคู่ต่อสู้ และถอนสายบัวขอบคุณแฟนๆ ในสนาม หลังจากเอาชนะคู่แข่งจากเวียดนาม ในการแข่งขันกีฬาคิกบ็อกซิ่งชาย รอบคัดเลือก
จนเป็นกระแสพูดถึงไปทั่วโลก เพราะจิมมี่ได้สร้างภาพจำใหม่ๆ ให้กับวงการกีฬาไทย แม้ว่าตัวเขาจะเล่นกีฬาประเภทต่อสู้ แต่ก็สามารถแสดงออกถึงตัวตนความเป็น LGBTQ+ ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
หนูก็เคยทำฟูลเทิร์นของหนูอยู่แล้ว มันเป็นการดีใจในรูปแบบของหนู เราเป็นตัวของเรา เพราะเราชนะแล้ว แค่นั้นเอง หนูเฉยๆ กับดราม่ามากเลยนะ หนูไม่ได้โฟกัส ไม่ได้ใส่ใจกับดราม่าของเขา (สหพันธ์กีฬาคิกบ็อกซิ่งแห่งเอเชีย) เลยนะ หนูแค่รู้ว่าตักเตือนมา หนูแค่รับรู้ว่าโอเคหนูทำผิดตรงไหน
หนูแค่อยากจะรู้ว่า หนูผิดตรงไหน ในกฎไหนที่หนูผิดแค่นั้นเอง แต่มันไม่ได้มีในกฎ หนูก็เลยไม่ได้ใส่ใจ เพราะเรารู้แล้วว่าสิ่งที่เขามีดราม่ากับเรา เขาโจมตีเรา เพราะเขาไม่ชอบส่วนตัว และโดยส่วนตัวหนู ถ้าใครไม่ชอบหนู หนูก็แล้วแต่ ไม่ชอบก็เรื่องของคุณ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้ให้คุณค่ากับเขาอยู่แล้ว
“จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก กล่าว
รู้จักตัวตนและเส้นทางชีวิต ยืนหนึ่งทุกๆ กิจกรรมในโรงเรียน
พิฆเนศ สุขหยิก : เรารู้ตัวตนตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าเราเป็น LGBTQ+ แต่ก็ยังมีการยิงนกตกปลาเหมือนเพื่อนผู้ชายปกติทั่วไป แต่ว่าลึกๆ ในใจเรา เราก็รู้ว่าเราเป็น LGBTQ+
ความรู้สึกของผู้ปกครองใช่ไหม ความรู้สึกของพ่อแม่หนู คือเขาน่าจะรับรู้ เขาน่าจะรับรู้ด้วยพฤติกรรมของหนู ที่แบบว่าเรามีเพื่อนผู้หญิงเยอะ เราชอบทำกิจกรรมโรงเรียน เวลาว่างเราก็จะอยู่กับเพื่อนผู้ชายบ้าง แต่หนูคิดว่าเขาน่าจะรู้ว่าเราเป็น LGBTQ+ เพราะว่าคนรอบข้างก็รู้ว่าเราค่อนข้างที่จะชัดเจนในการแสดงออกอะไรแบบนี้
พฤติกรรมของเรามันส่อชัดเจนว่าเราจะเป็นตุ๊ดในตอนเด็กๆ ค่ะ หนูคิดว่าเขาก็น่าจะรับรู้ว่าลูกเขาน่าจะเป็น LGBTQ+ แต่ยังไม่มีการพูดคุยกัน เพราะทุกๆ กิจกรรมในโรงเรียน การเต้นอะไรต่างๆ ที่ต้องโชว์ความสวยงาม หนูก็จะเป็นแบบยืนหนึ่ง หนูก็จะต้องเป็นตัวเมนค่ะ
หนูคิดว่าเขาก็น่าจะรู้ แล้วก็เพื่อนบ้าน ญาติๆ เขาก็บอก เขาก็คุยกันต่อหน้าแม่อะไรอย่างนี้ว่ามันน่าจะเป็นนะ หนูก็คิดว่าเขาน่าจะรู้ แต่ยังไม่มีการพูดกันแบบตรงไปตรงมาถึงประเด็นนี้กันสักเท่าไหร่
ครอบครัวมีอาชีพทำสวน กรีดยาง เป็นเด็กที่เชื่อฟังพ่อแม่มาก
พิฆเนศ สุขหยิก : เป็นเด็กที่เชื่อฟังพ่อแม่นะคะ หนูเป็นคนที่เชื่อฟังแม่กับพ่อมากๆ เป็นคนกลัวพ่อกับกลัวแม่มากๆ ค่ะ พ่อแม่ก็มีอาชีพเป็นชาวสวน ทำกรีดยาง ทำทุเรียน มังคุด อะไรอย่างนี้
หนูก็ตามพ่อแม่ไปช่วยทำสวนบ้าง เก็บน้ำยาง เก็บมังคุดขาย เมื่อก่อนก็เป็นเด็กแบบนั้น แม่ให้ไปช่วยก็ไปช่วยค่ะ ถ้าพูดว่าเรียบร้อยไหม มันก็ไม่ได้เรียบร้อย จะซนไหม มันก็ไม่ซนซะทีเดียว มันก็สมวัยค่ะ
เมื่อก่อนเด็กชนบท เด็กบ้านนอก คือมันมีแบบว่าไปยิงนก ไปหาปลา ไปเล่นน้ำคลอง เวลาอยู่กับผู้ชาย เราก็เข้ากับผู้ชายได้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดว่าซนได้หรือเปล่า แต่ว่าถ้าแม่บอกไม่ให้ไป หรือว่าอะไรก็เชื่อฟัง ไม่ได้ถึงกับว่าแบบสุดโต่ง แบบจะไปต่อ จะเล่น จะทำ แม่ห้ามก็ไม่เอา ไม่ใช่ค่ะ
หนูมีพี่ชาย 1 คน มีพี่สาว 1 คน แต่พี่สาวกับพี่ชาย จะมีระยะห่างของวัยค่อนข้างมาก ถ้าภาคใต้เขาเรียกว่าลูกหลง ลูกที่เกิดห่างกับพี่คนกลาง 10 ปี กับพี่คนโตประมาณ 15 ปีอะไรอย่างนี้ค่ะ
สมัยเด็กเคยโดนเพื่อนบูลลี่ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร
พิฆเนศ สุขหยิก : ถ้าตอนเด็กๆ มีโดนแกล้ง เพราะเพื่อนมันก็รู้ว่าเราเป็นอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วคือจริตเราเวลาเราอยู่กับเพื่อนผู้หญิงหรือว่าอะไรต่างๆ คือเราก็ออกชัดเจนว่าเราเป็นค่ะ เพื่อนเขาก็แกล้ง เฮ้ยนี่เป็นตุ๊ด ไอ้นั่นเป็นตุ๊ด
พอไปแข่งกีฬา อบต. ต่างอำเภอ เขาก็มีแกล้งบ้าง มีบูลลี่บ้าง ณ ตอนนั้นค่ะ มีบ้าง แต่ว่าเราก็ยังรู้สึกว่ารับได้ มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรเท่าไหร่ ไม่ทำให้เราแบบว่ารู้สึกเสียใจเท่าไหร่ ไม่ได้เป็นปัญหากับหนูเยอะเท่าไหร่ค่ะตอนนั้น
เคยฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตส ตามรอย “ฟิล์ม มิสทิฟฟานี่”
พิฆเนศ สุขหยิก : อยากเป็นแอร์โฮสเตสตอนนั้น เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่ผู้หญิงเขาเป็นกันอะพี่ตอนนั้น แล้วเราเห็นข่าวว่า LGBTQ+ พี่ฟิล์ม มิสทิฟฟานี่ เขาก็ได้เป็นอะไรอย่างนี้ เป็นสาวประเภทสองที่สามารถเป็นแอร์โฮสเตสได้
เราก็คิดว่าอุ๊ยเราก็เป็นได้นี่หว่า แต่ตอนนั้นพอบอกกับคุณครู คุณครูบอกว่ามันเป็นไม่ได้ เธอต้องเป็นสจ๊วต เธอจะเป็นแอร์โฮสเตสได้ไง เธอต้องเป็นสจ๊วตสิ เธอเป็นผู้ชาย หนูก็อ่อเหรอ มีผู้ชายเป็นได้ด้วยเหรอ แบบว่าพนักงานบริการบนเครื่องบินอะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็อ๋อโอเคๆ
คิวงานแน่นเอี้ยดหลังจากสร้างกระแสในกีฬาซีเกมส์
พิฆเนศ สุขหยิก : ช่วงประมาณปลายเดือนมิถุนายนจะถี่หน่อย แบบว่าวันหนึ่งก็ 2-3 งานอะไรอย่างนี้ค่ะ วิ่งจากงานตรงนี้เสร็จก็ไปวิ่งตรงนู้นต่ออะไรอย่างนี้ค่ะ ก็สนุกดี หนูรู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่รู้สึกสนุก เหนื่อยแต่ว่าเราก็รู้สึกชอบ
เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ที่เราจะได้ถ่ายทอดมุมมองของการเป็น LGBTQ+ ในสังคมของการแข่งขันกีฬา ให้กับหลายๆ คนได้ทราบ ได้รับรู้มากขึ้น ได้ยอมรับมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหนๆ อยู่ในบริบทไหนๆ เราสามารถที่จะเป็นในสิ่งที่เราเป็นได้ค่ะ
สนใจงานในวงการบันเทิง ถือเป็นอีกหนึ่งความฝันของชีวิต
พิฆเนศ สุขหยิก : หนูสนใจ ชอบมากๆ ถ้าพูดถึงเรื่องเป็นนักแสดงอย่างนี้ค่ะ มันก็เป็นความฝันเรา ตอนที่เรานั่งดูพี่ๆ นั่งดูดาราหลายๆ คน ที่เขาแสดงในโทรทัศน์ แล้วเราเป็นเด็กบ้านนอก เป็นเด็กชนบทคนหนึ่งที่ดูทีวีแล้วอุ๊ยทำไมเขาเก่งจัง เวลาเขามีงานอีเวนต์ มีมีตติ้ง มีแฟนคลับ มันดูรู้สึกอบอุ่นใจค่ะ
ถ้าเราได้เป็นมันน่าจะดี ถ้าเราได้เป็นแบบดาราน่าจะดีอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นเหมือนความฝันอย่างหนึ่ง ถ้าเราได้แสดงหนัง แสดงละคร เราจะถ่ายทอดอารมณ์ยังไง มันมีคำถาม ถ้าเราได้ทำมันน่าจะแบบว่าสุดยอดนะ มันก็เคยเป็นความฝันตอนเด็กในโมเมนต์หนึ่งด้วยเหมือนกันค่ะ
ซึ่งพอเราได้รับโอกาสนี้ (มวยสะดิ้ง หมัดซิ่งสายฟ้า) เราก็รู้สึกว่าโอ้โหนี่มันถึงแล้วเหรอ ถึงในจุดตอนเด็กๆ ที่เราคิดไว้ว่าเราอยากจะเป็นแล้วเหรออะไรอย่างนี้ สุดท้ายเราก็ได้มาเล่น ถึงแม้จะเป็นบทที่แบบว่าสมทบขึ้นมา ที่ได้เป็นรับเชิญ เฮ้ยนี่ละครที่ออนแอร์ในสื่อที่เป็นยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ก็ดีใจ
มันพูดเป็นคำพูดไม่ถูกค่ะ มันล้นจนแบบว่าหาคำพูดไม่ถูก ที่หลายๆ คนเริ่มให้การยอมรับเรา หลายคนให้การซัพพอร์ต LGBTQ+ และบวกกับด้วยในเรื่องของกฎหมายที่จะมีเกิดขึ้นค่ะ มันเป็นเหมือนของขวัญชิ้นใหญ่กับพวก LGBTQ+ อย่างหนูเลยค่ะ
สถานะหัวใจไม่ว่างแล้ว กำลังคบกับหนุ่มอิตาลี
พิฆเนศ สุขหยิก : ตอนนี้มีแฟนแล้วค่ะ มีแฟนแล้ว เป็นหนุ่มต่างชาติ เป็นหนุ่มอิตาลีค่ะ เพิ่งคบกันกำลังจะครบรอบ 6 เดือนที่คุยกันค่ะ ที่แบบว่าตกลงปลงใจว่าเราจะเป็นแฟนกัน เจอกันได้ไง เจอในทินเดอร์ค่ะ โหลดทินเดอร์แล้วก็ปัดขวาไปเลยสิคะ แต่เขาปัดหนูก่อนอะไรอย่างนี้ หนูก็ปัดขวาเขาไป
เขาคิดว่าหนูเป็นคนยุโรป ไม่ได้เป็นคนไทย ไม่ได้เอเชีย เขาก็เลยปัด หนูบอกว่าฉันเป็นคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์ เขาคิดว่าหนูเป็นสแกมเมอร์ ตอนแรกที่แบบว่า first impression ที่เราแท็กคุยกันค่ะ เขาก็ให้สแนปแชตมาค่ะ แล้วเขาก็บล็อกหนูไปเลยในทินเดอร์ เพราะเขาคิดว่าหนูเป็นสแกมเมอร์
แล้วก็ไปคุยกันในสแนปแชต หนูก็เลยถามเขาว่าทำไมถึงบล็อกฉันในทินเดอร์ เขาบอกว่าก็คิดว่าเป็นสแกมเมอร์ เพราะว่าตอนที่แชตกัน เออมันไม่น่าจะเป็นจริง ไม่น่าจะเป็นหนู เพราะเหมือนกับว่าเราส่งรูปกันใช่ไหมคะ แบบว่าฉันขอดูหน้าเธอหน่อยได้ไหม
แล้วในสแนปแชต มันจะมีเซลฟี่ แต่ว่าหนูส่งเป็นรูปที่หนูเคยมี ไม่ได้เซลฟี่ เพราะหนูเล่นไม่เป็นตอนนั้นน่ะ คือเราไม่เคยเล่นสแนปแชตอะพี่ ฝรั่งมันเล่นกันประจำใช่ไหม เราก็คิดว่าเออส่งรูปเราว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า คอนเฟิร์มว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า เราก็ส่งรูปเราไป
เขาก็บอกว่าทำไมถึงส่งเป็นรูปมา ทำไมไม่เซลฟี่ เขาก็ยิ่งคิดว่าหนูเป็นสแกมเมอร์ไปอีกค่ะ หนูบอกไม่ใช่ ฉันจริงๆ แล้วเราก็บอกว่าเราเป็นนักกีฬาค่ะ บอกเขาแบบตรงๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ ก็อยากจะลองคุยกับเขาก่อน เพราะเราก็แบบว่าจริงใจกับเขา เราก็บอกความจริง เราไม่ได้โกหกค่ะ
เป้าหมายชีวิตในอนาคต อยากย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลีย
พิฆเนศ สุขหยิก : มองไว้เยอะมากๆ เลยค่ะตอนนี้ ถ้าไม่เป็นนักกีฬาแล้วก็อยากจะทำยูทูบด้วย แล้วก็อยากจะย้ายไปอยู่ออสเตรเลีย ที่คุยกันล่าสุด ก็อยากจะไปอยู่ออสเตรเลียกัน
ตอนนี้ก็พยายามวางแพลนทุกอย่างค่ะ มองเรื่องของการลงทุน ดูหุ้นค่ะ หนูก็ดูไว้หมดทุกอย่าง Passive Income Active Income ที่เราสามารถทำให้ตัวเองมั่นคงในอนาคต ถ้าเราไม่ได้เป็นนักกีฬาแล้ว
เพราะต้องยอมรับว่าเราไม่ได้จะเป็นนักกีฬาไปตลอด 40-50 ปีค่ะ ซึ่งมันเป็นแค่พาร์ทหนึ่งที่เราก็ success ไปแล้วในความรู้สึกหนู หนู success ไปแล้วค่ะ มันเป็นเหมือนกำไรชีวิตที่เข้ามาแล้ว เป็นกำไรชีวิตที่หนูได้รับแล้วค่ะ เพราะหนูไม่ได้คิดว่าหนูจะเป็นนักกีฬาทีมชาติพี่ขา มันเป็นเหมือนใบเบิกทาง เบิกทางหนึ่งอะไรอย่างนี้
ซึ่งตอนนี้กีฬามันก็ทำให้เราแบบว่ามีชื่อเสียง มันเป็นใบเบิกทางอันใหญ่แล้วค่ะ เราก็อยากจะทำให้ถึงเป้าหมายสูงสุดของเรา ถ้าเราได้มีโอกาสได้ทำอีก ก็ในระดับเวิลด์เกมส์ ระดับโอลิมปิก
เอาจริงๆ อยากไปอยู่อิตาลี แต่ว่าแฟนหนูบอกว่ามันอันตราย เพราะในเมืองเขาอย่างนี้ค่ะ คือเขาอยู่เมืองเซ็นทรัลที่อยู่ติดกับเยอรมนี แล้วเป็นแบบเมืองเก่า ที่คนยังไม่ได้ให้การรับยอมรับเยอะเท่าไหร่ ซึ่งเขาอยากอยู่เมืองไทย แต่หนูอยากไปอยู่นู้นค่ะ
หนูมีหลายๆ แพลนในชีวิตมาก อยากจะมียิม อยากจะเอาความรู้ที่เรามีสอนเด็กต่อ เอาความรู้ที่เราเก็บสะสมมาตลอดการเป็นนักกีฬาทีมชาติ ทั้งคาราเต้ คิกบ็อกซิ่ง มวยสากล สิ่งที่มีทั้งหมดอะค่ะ อยากจะส่งต่อให้กับเด็กในรุ่นเจเนเรชั่นต่อๆ ไป ให้เขาได้มีผลงานที่ได้ทำชื่อเสียงให้กับประเทศต่อค่ะ
เราก็อยากจะเป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นต้นแบบให้กับเด็กเยาวชนรุ่นหลังๆ ถ้ามาเป็นนักกีฬา เราก็ได้สวัสดิการแบบนี้ๆ นะ เราสามารถมีชื่อเสียง เราสามารถเอากีฬาเป็นใบเบิกทางในสิ่งที่เราจะไปต่อได้นะ
เราก็อยากจะทำจุดนั้นด้วย แล้วก็วางแผนในเรื่องของความมั่นคงของการเงินด้วย ความมั่นคงในชีวิตด้วย เพราะว่าแฟนหนูก็อยากจะมีลูกค่ะ เขาอยากจะมีครอบครัวแบบนั้นเลยค่ะ
“จิมมี่” พิฆเนศ สุขหยิก กล่าวทิ้งท้าย