“จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นสื่อ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสื่อมวลชน นักข่าวต้องทำอะไรบ้าง ข่าวเขียนยังไงยังไม่รู้เลย”
“จอม” บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร คอลัมนิสต์ชื่อดังฝีปากกล้าแห่งสยามสปอร์ต เจ้าของนามปากกา “บอ.บู๋” ย้อนความทรงจำถึงจุดเริ่มต้นในการทำงานด้านสื่อมวลชน จากที่ตอนแรกไม่ได้มีความคิดว่าจะมาทำงานเป็นนักข่าวเลย แต่เพราะความบ้าบอลล้วนๆ จึงทำให้เขาคนนี้โลดแล่นอยู่ในวงการสื่อมานานกว่า 30 ปีแล้ว นับตั้งแต่เริ่มทำงานกับ บริษัท สยามสปอร์ต ซินติเคท จำกัด (มหาชน) ครั้งแรกเมื่อช่วงปี 1993
บอ.บู๋ เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2512 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ 48 และระดับปริญญาตรี ศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต (ภาพพิมพ์) จากมหาวิทยาลัยรังสิต
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บอ.บู๋ สะสมประสบการณ์ในวงการสื่อมาอย่างโชกโชน ทั้งการเป็นผู้สื่อข่าว คอลัมนิสต์ประจำ นสพ.สตาร์ซอคเก้อร์ รวมทั้งเคยไปประจำการทำข่าวที่ประเทศอังกฤษ 2 ปี ผ่านการทำข่าวทั้งฟุตบอลโลก, ฟุตบอลยูโร, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฯลฯ ไม่เพียงแค่นั้นเจ้าตัวยังเคยเป็นหนึ่งในทีมพากษ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกับทาง “ซีทีเอช” มาแล้วอีกด้วย
นอกจากจะเขียนคอลัมน์ลงตีพิมพ์ในสื่อกระดาษกับทางต้นสังกัดอยู่เป็นประจำแล้ว บอ.บู๋ ยังบุกตะลุยโลกออนไลน์ด้วยการเปิดเพจกีฬาที่ใช้ชื่อเดียวกันกับนามปากกาตัวเอง เน้นเสิร์ฟคอนเทนต์ฟุตบอลในสไตล์กวนๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพจเฟซบุ๊กของเขาผู้ติดตามสูงกว่า 5.5 แสนคน รวมทั้งเปิดช่องยูทูบ “บอ บู๋ Channel” มียอดซับสไครบ์อีกว่า 4.5 แสนคน
FEED ชวน บอ.บู๋ คุยทั้งเรื่องฟุตบอลโลกในความทรงจำ ชีวิตและประสบการณ์ในวงการสื่อ เขาเล่าว่า ตัวเองเป็นคนบ้าฟุตบอล ชอบทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดหัวใจ ช่วงที่ทำงานแรกๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาชีพนักข่าวเขาทำงานอย่างไร แม้กระทั่งเขียนข่าวก็ยังทำไม่เป็นเลย
“จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นสื่อ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสื่อมวลชน นักข่าวต้องทำอะไรบ้าง ตอนเข้ามาทำงานวันแรก ผมยังไม่รู้เลยนะ ผมรู้แค่ว่าผมบ้าบอล ผมชอบฟุตบอล ผมชอบแมนฯ ยูฯ ผมไม่รู้จะทำงานอะไรอย่างอื่น เขาเรียกว่าบ้าบอลแบบทุกหม้อข้าว”
“คือกูมาทางนี้ทางเดียว จะให้ไปทำอย่างอื่นไม่ได้ จะให้ไปเป็นพนักงานออฟฟิศทำไม่ได้ หรือไปทำบัญชี เป็นทหาร เป็นตำรวจ ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไม่ได้เรียนมา ผมรู้แค่ว่าผมบ้าบอล ผมอยากทำฟุตบอล”
“ซึ่งในยุคของผม ตอนนั้นยังไม่มีโลกโซเชียล รู้กันอยู่แล้ว มันก็จะมีสื่ออยู่เจ้าเดียวที่เปรียบเสมือนตักศิลาของฟุตบอล คือสยามกีฬา และสตาร์ซอคเก้อร์ ผมก็มุ่งมาทางนี้ทางเดียว โดยที่ว่าไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้าง ข่าวเขียนยังไงยังไม่รู้เลย เพราะไม่ได้เรียน ไม่ได้จบมาทางด้านนี้”
“พูดง่ายๆ ว่ามาฝึกหัดเอาจากตอนที่เข้ามานั่นแหละ มาเรียนรู้ มาฝึกหัด เอาง่ายๆ เปรียบเทียบเป็นนักฟุตบอล ผมไม่ได้ลงสนามเลย ผมเริ่มตั้งแต่ฝึกจับบอล ฝึกส่งบอล จับบอล จ่ายบอล ฝึกจับบอล จ่ายบอล เป็นปีๆ”
“จากฝึกจ่ายบอล จับบอลเสร็จ ไปฝึกเดาะบอลต่อ ฝึกเดาะบอลต่อ ไปฝึกโหม่ง จากฝึกโหม่งไปฝึกเปิดบอล จากฝึกเปิดบอลไปฝึกยิงประตู ค่อยได้ลงสนาม ผมผ่านมาแบบนี้ ผ่านหลายขั้นตอนในการพิสูจน์ กว่าจะมีผลงานที่ใช้นามปากกาของเราลงอยู่บนหน้ากระดาษก็ร่วมๆ 2 ปี”
เป็นที่ทราบกันดีว่าการเป็นนักข่าวสมัยก่อนต้องผ่าน “ขั้นตอน-กระบวนการ” ต่างๆ มากมาย แต่ในยุคปัจจุบันใครๆ ก็สามารถสถาปนาตั้งตัวเองเป็นสื่อมวลชนได้ เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต
แต่คอลัมนิสต์คนดังวัย 53 ปี เชื่อว่า ข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล คนอ่านจะต้องใช้วิจารณญาณให้สูงมาก เพื่อกลั่นกรอง “ความถูกต้อง-ข้อเท็จจริง” อย่างละเอียดถี่ถ้วน
“พอมาเปรียบเทียบกับยุคนี้แล้ว โอ้โหเดี๋ยวนี้ใครมีมือถือสามารถที่จะตั้งตัวเองเป็นสื่อมวลชนได้เลย ไม่ต้องผ่านกระบวนการอะไรเลย ไม่ได้ว่าสมัยนี้นะ แต่ในความรู้สึกถ้าคุณอ่านอะไรก็ตามที่แม่งลอยอยู่ในโลกโซเชียล มึงต้องเอารังมดแดงหารเยอะๆ มึงต้องใช้วิจารณญาณให้สูงมาก คุณต้องใช้ความคิด ใช้ความไตร่ตรอง ตรึกตรอง ต้องเยอะมาก”
“เพราะว่าตอนนี้มันอนุญาตให้ใครก็ได้มาเขียน แต่ในยุคผมเนี่ยเขาไม่อนุญาตให้เป็นแบบนั้น ผมเริ่มจากเขียนข่าว กว่าจะมาเป็นคอลัมนิสต์ กว่าจะเป็นผู้ดำเนินรายการ กว่าจะมาพากษ์บอลหรืออะไรก็ตามแต่”
“จุดเริ่มต้นเลยก็คือเขียนข่าว เขียนข่าวแค่ 3 ย่อหน้า ข่าวสั้นๆ แค่ 2-3 ย่อหน้า ผมผ่านการถูกขยำทิ้งแล้วแก้ใหม่ 10 กว่ารอบ แค่ข่าวแรก 10 กว่ารอบ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองเหมือนผ่านกระบวนการมาพอสมควร”
“ขนาดผ่านมาเกือบๆ 30 ปี มันก็ยังมีข้อผิดพลาด ผมก็เลยอยากพูดให้เป็นข้อคิด เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันอยู่ในโลกโซเชียลหมด ไม่ต้องมีพิสูจน์อักษร ไม่ต้องอะไร อย่าว่าแต่เนื้อข่าวถูกหรือผิดเพี้ยนหรือไม่ผิดเพี้ยนเลย แค่ใช้ภาษาไทยยังใช้กันผิดเยอะแยะมากมายเลย”
“ของผมใช้คำผิดไม่ได้นะ เพราะใช้คำผิดมันเสียเวลา มันต้องให้ปรู๊ฟเขาตรวจ เสียเวลาอีก คือทำข่าวมันต้องใช้ความเร็ว พยายามช่วยให้มันเร็วขึ้นด้วยการเขียนหนังสือ พิมพ์หนังสือให้มันถูกต้อง”
“ทุกคนอาจจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร แต่ผมมองว่าก็มึงเป็นคนไทย มึงยังใช้ คะ/ค่ะ ผิด มึงยังใช้ตัวอักษรผิดอยู่เลย”
ส่วนที่มานามปากกา บอ.บู๋ เจ้าตัวเล่าว่า สมัยก่อนตอนเรียนประถม เพื่อนๆ จะเรียกชื่อจริง หรือไม่ก็เรียกชื่อพ่อ และไม่รู้ว่าเด็กสมัยใหม่ เขายังเรียกชื่อพ่ออยู่เปล่า สมมติพ่อชื่อฉลอง เขาก็เรียกไอ้หลอง เพราะชื่อจริงยาวเกินไป เขาก็จะไม่เรียกกัน
“ผมชื่อ บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร ชื่อเล่นจริงๆ ชื่อจอม แต่ตอนที่ผมเรียนเขาไม่เรียกชื่อเล่นจริงๆ สมมติคนชื่อวีระชัย ไม่ชื่อไอ้ชัย ก็ชื่อไอ้วี นึกออกไหมฮะ ของผมก็เหมือนกัน บูรณิจฉ์ เขาไม่เรียกไอ้นิด เขาก็เรียกไอ้บู”
“ตอนแรกเขาก็เรียกไอ้บูๆๆ มันก็เพี้ยนไปเรื่อยๆ บู บู่ บู้ บู๊ บู๋ ตั้งแต่ ป.1 ก็จะชื่อบู๋ จนถึง ม.3 ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ผมก็ย้ายออกไปเรียนเตรียมอุดม ม.4-ม.6 ผมไม่ได้บอกนะว่าผมชื่อบู๋ แม่งตลกนะ เพื่อนที่เตรียมฯ ก็เรียกผมบู๋”
“เฮ้ย here ไรวะ แม่งรู้ได้ไงวะว่ากูชื่อบู๋ โอเคไม่เป็นไร จากเตรียมอุดม ผมเข้ามหาวิทยาลัย เรียนอีก 4-5 ปี เขาก็เรียกไอ้บู๋หมดเลยนะ พอมาทำงานที่สยามกีฬา จนถึงช่วงที่ บก. เขาอนุญาตให้เรามีนามปากกา”
“เราไม่ใช้ชื่อจอม ใช้ชื่อบู๋นี่แหละ เป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นเคย ใช้คำว่าบู๋ก่อน แต่ยังไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์นะ ตอนนั้นคิดว่าบู๋แล้วมันจะอะไร บู๋มันห้วนไปหน่อย มันสั้น มันทื่อไปหน่อย”
“นักข่าวคอลัมนิสต์ที่ผมนับถือมากที่สุด เอาเป็นต้นแบบคือคุณ ย.โย่ง เอกชัย นพจินดา เขาเรียกว่าตั้งนามปากกาแบบบูชาครู พี่โย่งแม่งดังว่ะ here กูตั้งแบบนี้ดิวะ เขียนหนังสือ ก็เลยใช้คำว่า บอ.บู๋ นี่แหละคือที่มา”
บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร กล่าวทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะ
อ่านเพิ่มเติม : ฟุตบอลโลกในความทรงจำ “บอ.บู๋” บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร