“เอดินสัน คาวานี” (เอดินซอน กาบานิ) คือหนึ่งในนักฟุตบอลคนสำคัญของวงการลูกหนังอุรุกวัยยุคปัจจุบัน
นับถึงตอนนี้ ศูนย์หน้าวัย 35 ปี มีสถิติลงฟาดแข้งในทุกระดับการแข่งขันรวมทั้งสิ้น 785 เกม ยิงได้ 434 ประตู และคว้าถ้วยชนะเลิศระดับต่างๆ มาครองแล้ว 26 ถ้วย
ในฐานะนักเตะอาชีพ เขาผ่านการค้าแข้งมาแล้วใน 5 ลีก ของ 5 ประเทศ คาวานีเคยเป็นสมาชิกของสโมสรยักษ์ใหญ่ระดับโลก เคยลงสนามเคียงข้าง-ห้ำหั่นกับยอดนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์หลายราย
และฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ก็จะถือเป็นครั้งที่ 10 ที่เขาได้ลงแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติ ในนามนักฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย
ล่าสุด คาวานีเพิ่งให้สัมภาษณ์กับ “ซิด โลว์” นักข่าวกีฬาชาวอังกฤษผู้มีความเชี่ยวชาญด้านวงการลูกหนังสเปน เพื่อเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ “เดอะการ์เดียน”
ในบทสัมภาษณ์ชิ้นดังกล่าว ศูนย์หน้าทีมชาติอุรุกวัยได้แสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์สังคมลูกหนังยุคใหม่ไว้อย่างหนักแน่น จริงจัง เผ็ดร้อน ดังรายละเอียดบางส่วนต่อไปนี้
แก่นสารที่หายไปจากโลกฟุตบอลยุคใหม่
ในช่วงต้นของบทสัมภาษณ์ โลว์ชวนคาวานีสนทนาถึงความสำเร็จเกินความคาดหมายในระยะหลายปีหลังของประเทศเล็กๆ อย่างอุรุกวัย ซึ่งมีประชากรเพียงแค่ 3.5 ล้านคน อันนำไปสู่บทวิพากษ์โลกฟุตบอลสมัยใหม่ที่แหลมคมของนักเตะมากประสบการณ์จากอเมริกาใต้
“ทำไมพวกเราถึงมีจิตวิญญาณนักสู้น่ะเหรอ? ก็เพราะพวกเขาสอนเราให้เป็นแบบนี้ เพราะพื้นที่สำหรับเตะฟุตบอลมีอยู่ในทุกๆ แห่ง ในทุกๆ ย่านที่อยู่อาศัย ในทุกๆ สถานที่ แม้มันจะเต็มไปความขัดสนขาดแคลนก็ตาม
“ตราบใดที่เรายังมีพื้นที่ว่างพอให้เตะลูกฟุตบอล เมื่อนั้นการแข่งขันก็จะเกิดขึ้น จิตวิญญาณของการขับเคี่ยวแข่งขันซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ สำหรับนักฟุตบอลอาชีพ ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นแล้วในสนามฟุตบอลเหล่านั้น
“แล้วคุณก็จะต้องเตะฟุตบอลไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต ในทุกๆ วัน ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด บนพื้นผิวสนามแบบไหน แม้ว่าคุณจะต้องลงไปฟาดแข้งแบบเท้าเปล่า จนนิ้วเท้าหัก แต่คุณก็จะทำการปฐมพยาบาล แล้วกลับไปเตะฟุตบอลต่อ
ผมมักพูดอยู่เสมอว่าในโลกของฟุตบอล พวกเราไม่ได้กำลัง ‘เล่นบอล’ แต่พวกเรากำลัง ‘แข่งขัน’ กันอยู่
พวกเรา (นักฟุตบอลอุรุกวัย) พยายามรักษาแก่นสารดังกล่าวเอาไว้ คุณลองหันไปดูที่โลกฟุตบอลสมัยใหม่สิ โลกใบนั้นกำลังสูญเสียแก่นสารนี้ไป บางทีผมอาจจะเป็นพวกหัวโบราณน่ะนะ บางทีผมอาจมีทัศนคติที่ไม่เหมาะสมกับฟุตบอลยุคใหม่แล้ว
“คำถามก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นมันส่งผลอย่างไรต่อตัวนักฟุตบอล? มันไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถจะพูดในที่สิ่งตัวเองรู้สึก ใช่ไหม? ผมมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเป็นสมัยใหม่, โซเชียลมีเดีย, โลกที่เปลี่ยนไป, เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อกีฬาฟุตบอล แล้วก็ทำให้ความคิดจิตใจของบรรดานักฟุตบอลผันแปรไป
“ก่อนหน้านี้ ทุกคนในทีมล้วนมีจุดมุ่งหมายแบบเดียวกัน แต่ในทุกวันนี้ ในแต่ละทีมฟุตบอลจะรวมตัวกันด้วยเหตุผลเบื้องหลังที่แตกต่างหลายหลากมากๆ ทั้งเรื่องความมีชื่อเสียง, ความต้องการของผู้คนนอกสนามและสื่อมวลชนที่ส่งผลต่อความรู้สึกของนักเตะ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลเลย”
ความสำเร็จเกิดได้ด้วยการทำงานเป็นทีม
คาวานีไม่ปิดบังความรู้สึกว่า เขากำลังรู้สึกสูญเสีย ผิดหวัง และเจ็บปวด กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกฟุตบอลสมัยใหม่
“คงเป็นเพราะผมเติบโตมาจากแนวทางการฝึกฝนที่เชื่อว่า สิ่งที่น่ายินดีที่สุดจะสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพวกเราประสบชัยชนะในฐานะทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง สำหรับผม มันไม่มีสุดยอดนักเตะเพียงคนใดคนหนึ่งหรอก ที่จะทำให้คุณชนะเลิศฟุตบอลโลก ด้วยศักยภาพของตัวเขาแค่คนเดียว นักฟุตบอลแบบนั้นไม่มีอยู่จริง และจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงในอนาคตข้างหน้าด้วย
แน่นอนว่านักฟุตบอลบางรายสามารถทำอะไรบางอย่างที่น่ามหัศจรรย์ได้ แต่เขาก็ยังต้องการบรรดาเพื่อนร่วมทีมที่คอยวิ่งสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เพื่อนร่วมทีมที่ต้องทุ่มเทชีวิตของตัวเองให้กับการแข่งขันดังกล่าวไม่ต่างกัน นี่คือเรื่องที่หลายคนมักหลงลืมกันไป เพราะมัวแต่มุ่งเน้นความสนใจไปกับคนที่ทำประตูได้ นักเตะที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และผู้คว้ารางวัลบัลลงดอร์
“เรื่องเหล่านี้ทำให้เราไปโฟกัสความสำคัญผิดจุด ดังนั้น สิ่งที่ทีมฟุตบอลต้องการเพื่อจะบรรลุเป้าหมายแห่งชัยชนะ จึงค่อยๆ ถูกทำให้บิดเบือนบิดเบี้ยวไป พวกคุณรู้สึกได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พวกคุณเคยประสบพบเจออะไรทำนองนี้ เหมือนกับที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่กับมัน”
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในนักฟุตบอลคนสำคัญของวงการลูกหนังอุรุกวัยบอกว่า เขาได้รับบทเรียนทั้งแง่บวกและแง่ลบจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
“เพราะว่าผมไม่เคยมีความปรารถนาที่จะเป็นคนโด่งดังหรือเป็นคนเก่งที่สุด ผมแค่อยากทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ผมจึงพยายามวิเคราะห์บรรดาเพื่อนร่วมทีม มันจะมีนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ และบางครั้ง พวกเขาเหล่านั้นก็รู้สึกว่าตนเองต้องสำแดงคุณสมบัติดังกล่าวออกมา
“เมื่อผมวิเคราะห์เพื่อนร่วมทีม ผมจึงมองหาเรื่องราวแง่ลบที่จะช่วยให้ผมได้เรียนรู้ และแสวงหาเรื่องราวแง่บวกที่จะทำให้ผมได้ดำเนินรอยตาม นักฟุตบอลทุกรายล้วนมีบุคลิกลักษณะที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของตัวเอง คุณต้องให้ความเคารพต่อตัวตนของพวกเขา
“แต่มันก็มีพฤติกรรมบางอย่างเหมือนกัน ที่ผมไม่ต้องการจะแสดงออกมาในการดำเนินชีวิตของตัวผมเอง ผมจะปฏิเสธพฤติกรรมประเภทนั้นอย่างสิ้นเชิง นั่นคือสิ่งที่ผมได้คิดทบทวนจากการวิเคราะห์เพื่อนร่วมทีม”
จุดแตกต่างของทีมชาติอุรุกวัย
ในทางตรงกันข้าม การกลับเข้าแคมป์ทีมชาติอุรุกวัย ดูจะเป็นได้โอกาสดีที่ทำให้คาวานีได้หลีกหนีออกจากโลกฟุตบอลสมัยใหม่อันน่าผิดหวัง เป็นโอกาสที่ทำให้เขาเหมือนได้เดินทางไปพักผ่อนที่ชนบท เหมือนได้หลบซ่อนในพื้นที่ปลอดภัย และเป็นช่องทางที่ทำให้เขาได้กลับไปเชื่อมต่อกับสิ่งที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ตรงเบื้องหลัง
“สิ่งที่มีอยู่มากในทีมชาติอุรุกวัยคือความอ่อนน้อมถ่อมตน ที่นี่ บรรดานักเตะต่างรู้ว่าพวกตนต้องมีความถ่อมตัว และต้องก้าวเท้าลงมาจากแท่นเกียรติยศที่พวกเขายืนอยู่
ทุกวันนี้ ทุกๆ สิ่งต่างนำพาพวกเราไปสู่สถานที่ ที่จะทำให้เหล่านักฟุตบอลมีอีโก้สูงลิ่ว เพราะเขาจะคิดถึงกันแต่เรื่องรางวัลต่างๆ แล้วก็ทอดทิ้งสิ่งดีๆ หลายเรื่องไปอย่างไม่ไยดี
ถ้าในวันหนึ่ง ผมได้รับรางวัลเกียรติยศส่วนบุคคล แน่นอนว่า ผมก็คงรู้สึกมีความสุข เพราะรางวัลนั้นจะช่วยเน้นย้ำถึงงานที่คุณทำมาทั้งหมด แต่รางวัลจะไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตผม เพราะความสุขสุดยอดที่สุดสำหรับผม คือ รูปหมู่ที่ผมถ่ายพร้อมหน้ากับเพื่อนๆ ร่วมทีม ซึ่งแขวนไว้ตรงฝาบ้าน
คำถามต่อไปที่น่าไขคำตอบ ก็คือ แล้วทีมชาติอุรุกวัยสามารถหลุดพ้นจากกับดักแห่งความเป็นสมัยใหม่ข้างต้นได้อย่างไร? เพราะต้องยอมรับว่าประเทศแห่งนี้ก็มี “คนรุ่นใหม่” เกิดขึ้นมารายแล้วรายเล่า ไม่ต่างอะไรจากสังคมอื่นๆ ทั่วโลก
“ในทีมชาติของเรา และในประเทศของเรา คนที่มีบุคลิกเย่อหยิ่งเห็นแก่ตัวมักไม่ได้รับการยอมรับและสนับสนุน นี่คงเป็นลักษณะทางวัฒนธรรม แนวคิดแบบนี้อัตลักษณ์แบบนี้ได้ก่อตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ในระดับเยาวชน นักฟุตบอลอุรุกวัยล้วนถูกพร่ำสอนในเรื่องนี้ และผมหวังว่าค่านิยมดังกล่าวจะไม่สูญหายไป
“มันคือวัฒนธรรมที่ให้ค่ากับการทำงานหนัก การอุทิศเสียสละตนเอง ความเป็นหนึ่งเดียว ที่ทำให้พวกเราสามารถพิชิตทีมฟุตบอลจากชาติใหญ่ๆ ได้ มันไม่ได้เป็นเพราะ (หลุยส์) ซัวเรซ คาวานี หรือนักเตะรายใดรายหนึ่ง มันไม่ใช่เลย แต่มันเป็นเพราะทีมอุรุกวัยทั้งทีม
“เป้าหมายของพวกเราคือชัยชนะ และพวกเราต่างก็ตระหนักกันดีว่า จะไม่มีใครสามารถคว้าชัยชนะมาได้ ด้วยความสามารถของตนเองเพียงคนเดียว
“พวกเราทุกคนต่างมีโอกาสเดินทางไปเล่นฟุตบอลอาชีพในระดับสูง แต่เมื่อกลับมารวมตัวในแคมป์ทีมชาติ คุณต้องตระหนักว่าแก่นสารของฟุตบอลยังคงอยู่ที่ ‘ความเป็นทีม’
“แม้จะมีนักเตะที่มีชื่อเสียง มีดาวดังจากสโมสรยักษ์ใหญ่ แต่คุณยังรู้สึกได้ถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งเป็นสาระสำคัญจริงๆ ของกีฬาฟุตบอล
“ผมชอบที่จะได้อาบเหงื่อระหว่างสวมเสื้อทีมชาติ บางครั้ง คุณก็แพ้ แต่สิ่งที่ผมอยากรับรู้ก็คือทีมของผมได้ทุ่มเททุกอย่างไปจนหมดสิ้นแล้ว แล้วพอเวลาเราชนะ เราก็จะมีความสุขเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า
“นี่คือปรัชญาในการใช้ชีวิตและการเตะฟุตบอลของผม คุณต้องทำงานหนัก อะไรที่ได้มาง่ายๆ จะไม่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ใครก็ตามที่ได้สิ่งนู้นสิ่งนี้มาอย่างง่ายดาย จะมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาได้รับหรอก ตราบใดที่เขาไม่เคยต้องจ่ายราคาหรือเสียสละอะไรออกไปเป็นการแลกเปลี่ยน
“หนึ่งในบทเรียนเกี่ยวกับตัวเองที่ผมได้รับจากกีฬาฟุตบอล ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผลของมันเสมอ เมื่อคุณทำงานหนักเพื่อเป้าประสงค์บางอย่าง ผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ก็สามารถบังเกิดขึ้นได้
“ถ้าลองมองโดยตัดเรื่องอารมณ์ความรู้สึกทิ้งไป ในบางครั้ง คุณจะไม่สามารถเข้าใจเหตุและผลเหล่านี้ได้โดยทะลุปรุโปร่ง แต่ถ้าคุณออกไล่ล่าอะไรอย่างไม่ลดละ สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นจริงในสักวันหนึ่ง…”
เนื้อหาจาก