ดันบาร์วงการดนตรี T-POP สูงขึ้นอีกแล้ว สำหรับ 3 หนุ่มวง TRINITY จากค่าย 4NOLOGUE ที่มักสร้างสรรค์ผลงานเพลงแบบคุณภาพออกมาให้ได้ติดตามกันอยู่ตลอด โดยล่าสุดหนุ่มๆ ได้ปล่อยซิงเกิลเพลงสากลเพลงแรกของวงอย่างเพลง Champagne Poppin เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนเพลงเป็นอย่างมาก ด้วยโปรดักชันต่างๆ ที่ผ่านการทำงานของคนไทยทั้งหมด ผลงานปังขนาดนี้ FEED ก็ไม่พลาดที่จะเชิญทั้ง 3 หนุ่มมาพูดคุยกัน ถึงการเติบโตบนเส้นทางดนตรี รวมถึงอัปเดตเรื่องราวในชีวิตที่กว่าจะมาเป็น TRINITY ที่ทุกคนรู้จัก
ช่วงนี้เป็นไงกันบ้าง 3 หนุ่ม
ปอร์เช่ : ตื่นเต้นดีครับช่วงนี้ ผมว่าพอเราได้ปล่อยเพลง ปล่อยผลงานที่เราทำกันมา เรารู้สึกดีใจกับมัน แล้วคนฟังรู้สึกว่าได้รับความสนุก ได้รับความมันของเพลงนี้อย่างเพลง Champagne Poppin ครับผม เราก็รู้สึก Full Feel มันตื่นเต้นอ่ะ เราลองทำอะไรใหม่ๆ ดู แล้วคนก็เหมือนสนุกไปกับสิ่งที่เราทำด้วยครับ
แจ๊คกี้ : ช่วงนี้มีความสุขครับ เหมือนเราได้กลับมาทำงานอีกครั้งนึง หลังจากที่ช่วงสถานการณ์โควิด ก็เต็มที่มากๆ
ความสุขตอนนี้
เติร์ด : ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เราก็น่าจะไม่มีเวลาทำไร
แจ๊คกี้ : ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน น่าจะเป็นการใช้ชีวิตแบบในทุกๆ วัน เวลาว่าง
ปอร์เช่ : เอาที่แบบไม่เกี่ยวกับงานนะ ตอนนี้คือทุกอย่างเกี่ยวกับงานหมดแล้ว ผมลองหาก่อนว่าทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานแล้วสนุกบ้าง เอาง่ายๆ เลยเล่นเกม ดูวิดีโอ สิ่งเล็กๆ ที่แบบว่าทำให้เรารู้สึกว่ามันก็มีส่วนทำให้เราแฮปปี้ได้อย่างนี้ครับ
แบ่งเวลาการพักผ่อนกันยังไง
เติร์ด : พักผ่อนเท่าที่เวลาจะมีให้พักครับ
ปอร์เช่ – แจ๊คกี้ : ใช่ครับ
แจ๊คกี้ : แต่ว่าพอพักเสร็จปุ๊บมันก็งาน พองานเสร็จก็พักๆ เขาเรียกว่าอะไรอ่ะ
ปอร์เช่ : คืองานเรามันไม่เป็นเวลาครับผม บางทีสมมติเวลาพักผ่อนก็จะมีงานเข้ามาแทรกบ้าง นู่นนี่นั่นบ้าง มันก็อาจจะไม่ได้
แจ๊คกี้ : เขาเรียกว่าพัก 100%
ปอร์เช่ : ไม่ได้ 100% แบบวันนี้ว่างทั้งวัน
เติร์ด : บางวันก็สมมุติว่าวันนี้เริ่มหกโมง เสร็จบ่ายสาม หลังบ่ายสามคือเวลาพักของเรา อีกวันนึงอาจจะเริ่มสามโมง เสร็จเที่ยงคืนอะไรอย่างนี้ ก่อนหน้านั้นก็เป็นเวลาพักของเรา มันก็จะไม่เหมือนกันในแต่ละวัน
เขาบอกว่าชีวิตเราไม่มีใครรู้จักเท่าตัวเราเอง แล้วตัวตนของแต่ละคนเป็นยังไง
แจ๊คกี้ : ผมว่าตัวตนของผมมันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ปี เหมือนเราก็โตขึ้นด้วยอะไรอย่างนี้ ก็พัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้านด้วย ทางด้านแบบความคิด ความรู้สึก การกระทำอะไรอย่างนี้ ก็ผมว่าตัวเองเป็นคนตลกนะครับ
ปอร์เช่ : ณ ตอนนี้ครับ
เติร์ด : ใช่ ณ ตอนนี้ คุณตลก
แจ๊คกี้ : ในปีหน้าผมอาจจะเป็นคนแบบเคร่งขรึมก็ได้ แต่ขอคีพความตลกนี้ไว้ก่อน
ปอร์เช่ : ชีวิตของผมหรอครับ เอาจริงๆ ป้ะ ผมว่าไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดกันอ่ะ ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเรียกว่าผมจะเป็นคนอย่างนั้น หมายถึงเรื่องแบบ…ไม่รู้อ่ะอธิบายไม่ถูกอ่ะ แต่ว่าผมว่าผมรู้ตัวเองดีที่สุด อย่างที่พี่บอกจริงๆ ครับ แล้วเราก็ไม่อยากไปบังคับให้เขาคิดยังไงกับเราอ่ะ เพราะว่าบางทีเราไปนั่งแก้อะไรอย่างนี้ให้ตัวเองเยอะ แล้วมันทำให้เราเหนื่อยใจมากกว่า ผมว่าเราโฟกัสว่าจริงๆ เรารู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง เราคิดยังไง แล้วก็เราคีพให้ตัวเองมีความสุขยังไงมากกว่า โดยที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากกว่าครับ
แจ๊คกี้ : บางทีเราโฟกัสกับสิ่งรอบข้างมากเกินไป จนลืมคำว่าตัวเองอะ
เติร์ด : ของผมหรอครับ ผมก็ยังอยู่ใน process การเติบโตเหมือนกันนะ เหมือนของแจ๊คกี้อ่ะ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่นิ่งมั้ง แล้วแต่ช่วงเวลาเลยครับ อย่างช่วงนี้ก็ไม่รู้ครับในหัวมีแต่เรื่องงาน
ปอร์เช่ : ดูจริงจังขึ้นมาพวกเราอะ
ถ้าให้นิยามความเป็นตัวเอง ใช้คำไหนได้บ้าง
ปอร์เช่ : โห เป็นคำนิยามหรอครับผม (เงียบ) ผมกำลังคิดอยู่
แจ๊คกี้ : คำนิยามของแต่ละคน
ปอร์เช่ : มันเริ่มมาแล้วครับ มันกำลังเป็นภาพตอนนี้ ผมกำลังคิดอยู่ว่ากำลังจะอธิบายยังไงดี
แจ๊คกี้ : ยากอ่ะ
เติร์ด : มันยาก ยากมากเลย
ปอร์เช่ : deep อ่ะ deep
เติร์ด : มัน deep อ่ะ แต่ดีนะผมชอบ
ปอร์เช่ : ผมชอบคำถาม deep ครับ
เติร์ด : คิดออกป้ะ
แจ๊คกี้ : คิดออกๆ ก็ถ้าแบบเอาฮาหน่อยก็ คนไทยครับคนไทย อันนี้เป็นแบบมันตลก เพราะว่า
เติร์ด : เป็นคลิปที่ล่าสุดมีคนพูดถึงเยอะ
แจ๊คกี้ : เป็นไวรัล แต่ถ้าให้นิยามความเป็นตัวเองจริงๆ ก็คงนิยามคำว่าแจ๊คกี้แหละมั้งครับ รู้สึกว่าคำนี้เป็นตัวเองที่สุดแล้ว แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาคำอะไรมานิยามตัวเอง นอกจากชื่อตัวเอง
เติร์ด : มันนิยามยากอ่ะ
ปอร์เช่ : ผมเป็นเปลวไฟละกันครับ เปลวไฟที่หมายความว่ามีความอยากที่จะทำอะไรทุกๆ อย่างให้มันเคลื่อนที่ต่อไปอย่างนี้ครับผม
แจ๊คกี้ : เป็นเปลวไฟ
ปอร์เช่ : เป็นเปลวไฟ เปลวเพลิง ทอนาโดไฟ ดูยิ่งใหญ่ (ขำ)
เติร์ด : ของผมหรอ มันก็คือเติร์ด
ปอร์เช่ : ทุกๆ คนก็คือเป็นตัวเองครับ
เติร์ด : มันอธิบายไม่ได้อะ มันนึกไม่ออก
ปอร์เช่ : คือพวกผมจะรู้กันว่ามันแจ๊คกี้ มันเติร์ด มันปอร์เช่อย่างนี้ครับ เราอยู่ด้วยกันรู้ว่าแบบว่า เฮ้ยอย่ามาแจ๊คกี้นะ
เติร์ด : แต่รู้ว่าอันนี้อ่ะคือแจ๊คกี้ แต่ว่าไม่สามารถอธิบายมาเป็นแบบประโยคได้ แต่มันคือแบบโคตรแจ๊คกี้เลยอ่ะ
ย้อนกลับไปชีวิตวัยเด็ก เป็นยังไงกันบ้าง
เติร์ด : ผมทำงานมาตลอดชีวิตครับ ตั้งแต่เด็ก
ปอร์เช่ : ผมทำงานมาหลังเติร์ด แต่ก็ทำงานมาเหมือนกันครับ
เติร์ด : ใช่ ก็คือชีวิตเราก็มีแต่งาน งาน งาน มาตั้งแต่จำความได้
ปอร์เช่ : แต่ถ้าเกิดเป็นพาร์ทเรียน เล่นสนุกอย่างนี้คือผมจะเป็นคนที่สมมติว่าเรียนเสร็จ ตอนเย็นก็มาทำงานเหมือนกัน แต่มันไม่ค่อยได้ เป็นคนที่ปกติไม่ได้ออกไปไหนครับ ไม่ค่อยชอบออกไปเที่ยวนู่นนี่นั่น อาจจะมีได้ไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวบ้าง ผมเป็นสายอยู่อย่างนี้แล้วมีความสุขครับ แบบไม่ได้ไม่จำเป็นต้องออกไปไหนมากครับผม
แจ๊คกี้ : ก็ถ้าให้เล่าถึงชีวิตวัยเด็กก็น่าจะต่างจากพี่ๆ 2 คน ผมก็ไม่คิดว่ามาถึงตอนนี้จะมาอยู่ได้ ณ ที่แห่งนี้อะไรอย่างนี้ เพราะว่าเด็กๆ เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะมีโอกาสมาแบบออดิชั่นโปรเจกต์ 9×9 ที่เป็นโปรเจกต์เริ่มต้นของผมอะไรอย่างนี้ ก็คิดว่าเราโชคดีมากที่มีโอกาสมาครับผม
ทำไมทั้ง 3 คนถึงเลือกเดินบนเส้นทางในวงการบันเทิง
ปอร์เช่ : ผมว่าเรา 3 คน มีความเหมือนกันอยู่คือไม่ค่อยคุยกับคน ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่ผมว่าสื่อนึงที่สามารถแสดงอารมณ์พวกเราได้มากที่สุดคือดนตรี คือเสียงเพลง คือการร้องเพลง คือการโชว์สกิลอะไรอย่างนี้ครับ อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดนะ ไม่รู้ว่า 2 คนนี้คิดยังไง แต่ผมตอบแทน เพราะผมรู้สึกอย่างนั้น ผมรู้สึกว่าการทำอย่างนี้แล้วเรามีความเป็นตัวเอง แล้วมีความสุขกับมันอะครับ โดยที่แบบเรา perform บนเวที เราได้รับแรงจากหลายๆ คนที่ดูเรา เราส่งแรงไปให้เขา เขาส่งแรงมาให้เรา แล้วเหมือนมันทำให้เครื่องจักรมันเดินงาน มันเดินทางต่อได้อย่างนี้ครับ
แจ๊คกี้ : ผมว่าเส้นทางนี้มันมีเสน่ห์ของมันมากๆ คือแบบตั้งเด็กก็ฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก เรารู้สึกว่าเสียงเพลงมันทำให้แบบเรารู้สึกได้หลายอารมณ์มากๆ ตั้งแต่เด็กก็ฟังเพลงร็อกอะไรอย่างนี้ เราก็สนุกไปกับมัน
เติร์ด : ของผมมันเป็นสิ่งที่ ผมค่อยๆ จะเจอมันหลังจากที่เดินมาแล้วมั้ง อย่างตอนผมเริ่มเข้ามาเป็นศิลปินอะไรอย่างนี้ครับ ตอนนั้นก็เราเป็นนักแสดงมาก่อน ตอน 7 ขวบครับ เราแสดงตั้งแต่ 7 ขวบ จนถึงช่วงอายุ 12 เราก็มีคนเรียกไปออดิชั่น ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้ค้นพบนะ เออมันจะกลายเป็นสิ่งที่เราชอบ เรารักอะไรอย่างนี้แต่เหมือนพอมันได้ลิ้มรสบรรยากาศบนเวที มันเป็นความรู้สึกที่ผมรู้สึกว่ามันหาไม่ได้จากที่ไหน ยกเว้นเราจะยืนอยู่บนเวที มันเป็นความรู้สึกที่ผมรู้สึกว่ามันหาไม่ได้จากที่ไหน แล้วมันเป็นความรู้สึกที่มันทำให้ผมอยากที่จะเป็นศิลปิน ทำให้ผมอยากที่จะร้องเพลง ทำให้ผมอยากที่จะขึ้นเวทีไปเจอผู้คน แล้วก็จนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่ผมขึ้นเวทีมันก็มีความรู้สึกนั้นอยู่นะ เป็นสิ่งที่แบบผมชอบ ผมรัก
เส้นทางสายดนตรีจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบันเป็นไงบ้าง
แจ๊คกี้ : จากจุดเริ่มต้นมาจนถึงจุดนี้ มันเหมือนเรากระโดดข้ามขั้นมาอีก step นึงอะไรอย่างนี้ แล้วเหมือนพอมองขึ้นไปมันรู้สึกว่าบันไดมันไม่มีที่สิ้นสุดสักที ก็รู้สึกว่าสนุก สนุกกับประสบการณ์ตรงนี้จริงๆ
ปอร์เช่ :ของผมรู้สึกว่าพอเราจับด้านดนตรี เราจับด้านการเป็นศิลปินแล้ว อันนี้มันก็ effect พวกแบบชีวิตประจำวัน ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมเป็นตัวเองที่ดีขึ้นในทุกๆ วันนั้นครับ แบบเรายังมีความเป็นตัวเองมากขึ้น เราได้ craft ผลงานพวกเรามากขึ้น แล้วมันทำให้รู้สึกว่าแบบ เราค้นพบตัวเองในด้านนี้ ด้านนี้ ด้านนี้ เราอยากสื่อมันออกมา มันก็เหมือน effect ทางด้าน work life กับชีวิตธรรมดาอย่างนี้ด้วยครับ
เติร์ด : ก็ยังรู้สึกว่ามันยังไปได้อีกนะครับ รู้สึกว่าตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึงตอนนี้มันก็แป๊ปเดียวเองอ่ะ
ปอร์เช่ : ใช่ๆ
เติร์ด : มันยังพัฒนาได้อีก มันยังไปได้อีกเรื่อยๆ ไปได้อีกยาวครับ
ปอร์เช่ : ผมว่าคนเราที่สิ้นสุดมันหายากอะครับ มนุษย์อะครับ ความเป็นมนุษย์อะ มันแบบเหมือนต่างจากเครื่องจักร ต่างจาก AI อ่ะ
เติร์ด : อธิบายยาก
เคยเหนื่อย เคยท้อ บนเส้นทางนี้ไหม
ปอร์เช่ : เป็นเรื่องธรรมดามากครับ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอครับ เหมือนเราเจอกำแพง กำแพงนึง แล้วพยายามจะก้าวข้าม มันก้าวข้ามไม่ได้สักที แต่พอเราก้าวข้ามไปได้ปุ๊บ กำแพงต่อไปก็เจอ แต่มันก็อย่างน้อยการก้าวข้ามกำแพงนั้นมันก็ทำให้รู้สึกว่าแขนเราแข็งแรงขึ้น ขาเราแข็งแรงขึ้นอย่างนี้ครับผม มันก็อาจจะทำให้อุปสรรคข้างหน้ามันผ่านไปได้ง่ายขึ้น หรือว่าเรามีสกิลบางอย่างที่ติดตัวขึ้นมา เพื่อก้าวผ่านอุปสรรคต่อไปแต่ว่าการที่เราท้อมันไม่ได้แปลว่าเราจะเลิกทำนะ อาจจะมีเลิกทำแบบคุยเล่นๆ กัน แต่แบบใจเราก็ยังสู้อยู่ การเลิกทำไกลพอสมควรแล้วอ่ะ หรืออาจจะพึ่งเริ่มต้นก็ได้ เราไม่มีทางเลิกทำครับ ยังไงเราก็อยากพัฒนาตัวเองให้มันดีขึ้นให้มากกว่านี้ครับผม
แจ๊คกี้ : ผมว่าสัญชาตญาณมันสั่งให้เราทำเองโดยอัตโนมัติ โดยที่แบบว่ามันไม่ต้องไปออกคำสั่งมันเลย
รู้สึกไหมว่าเราทั้ง 3 คน Mindset คล้ายๆ กันเลย
ปอร์เช่ : ผมว่าพวกเราอยู่ด้วยกันบ่อย
เติร์ด : อยู่ด้วยกันมานาน แล้วก็อยู่ด้วยกันทุกวัน จนแบบมันซึมซับ
ปอร์เช่ : เรามีความต่างแหละ แต่ว่าเป้าหมายเรามันตรงกันครับ มันก็เลยแบบว่าบางทีเรามองหน้ากันเราก็รู้ว่าอีกคนคิดอะไร เรามันอยู่ด้วยกัน พวกผมเคยอยู่ในคลาสแอคติ้งที่แบบว่าเราต้องเปิดกัน ไม่มีความลับกัน แล้วพอทำงานยากๆ ด้วยกัน มันเปิด 100% อ่ะครับ มันมี มันก็คุยกันเลย มันเหมือนรู้ใจกันครับผม
เติร์ด : ผมว่ามันเป็น process ที่มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ไป force มัน ก็เลยไม่เป็นสิ่งที่ยาก มันเกิดขึ้นจากการที่เราอยู่ด้วยกันทุกวัน เราผ่านนู่นผ่านนี่กันมาเยอะ
ปอร์เช่ : ใช่
เติร์ด : ผ่านทั้งเรื่องไม่ดี ทั้งเรื่อง ทุกอย่างมันอยู่ด้วยกันมาตลอดครับ ก็เลยแบบกลายเป็นแบบนี้โดยที่แบบเราไม่ต้องไป force มันเลย
ปอร์เช่ : ใช่
มาถึงวัยนี้ ในชีวิตเคยเลือกอะไรผิดไหม
ปอร์เช่ : ผมว่าหลายอย่าง แต่ว่าสิ่งที่ผิดอ่ะมันก็คือสิ่งที่สอนเราให้มาทางที่ถูกครับ เพราะว่าหลายๆ อย่างที่เราเลือก แต่ว่าไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรดี
แจ๊คกี้ : ผิดเป็นครู
ปอร์เช่ : (ขำ) ผิดเป็นครู
เติร์ด : รู้สึกว่าชีวิตคือการทดลอง มันต้องมีผิดบ้าง เพื่อคำตอบที่ถูก
ปอร์เช่ : บางอย่างเส้นทางที่เราเดินมา มาอยู่ในเส้นทางนี้แหละ แต่ว่ามันอาจจะผิดโดยที่บางอย่างเป็นสิ่งสำคัญที่สอนเรา
แจ๊คกี้ : มันคือการทดลองแหละครับผมว่า การสมมติฐานอ่ะ
ปอร์เช่ : ใช่ ไม่มีใครถูกแต่เด็กหรอก ไม่มีใครแบบ ทุกอย่างมันก็ต้องคือการเรียนรู้ครับ เราหัดเขียนหนังสือ เรายังเขียนผิดตั้งแต่แรกเลย เราก็มาเขียนถูกทีหลังอะไรอย่างนี้
TRINITY ถ้าเทียบกับวัยคน ตอนนี้อยู่ในวัยไหน
เติร์ด : วัยกำลังเติบโตแล้วกันครับ ผมรู้สึกว่า 3 ปีที่ผ่านมามันก็เป็นเวลาแป๊บเดียว เราหายใจแป๊บๆ มันก็ 3 ปีแล้วอะ
ปอร์เช่ : มันเหมือนมันเทียบกับช่วงวัยคนไม่ได้ มันเหมือนคนคนนึงที่ไม่มีอายุ แต่ว่าเติบโตตลอดเวลาครับผมประมาณนั้นครับ
แจ๊คกี้ : ผมว่า TRINITY เติบโตมาดีครับ ต้องขอบคุณ Twilight ขอบคุณทุกๆ คนที่ซัพพอร์ต ขอบคุณ 4nologue ขอบคุณพี่ๆ ทีมงานทุกคน ขอบคุณทุกๆ อย่างอะที่มันหล่อหลอมให้เรามาเป็นเราได้ทุกวันนี้ครับ
Twilight มีความสำคัญกับเราอย่างไรบ้าง
เติร์ด : ก็ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเราอ่ะครับ
ปอร์เช่ : ผมมอง Twilight เป็นท้องฟ้า หมายถึงว่าเป็นช่วงเวลาของท้องฟ้าที่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
มีความกดดันบ้างไหม บางทีเราต้องแบกความคาดหวังของใครหลายคน
เติร์ด : ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำว่ากดดัน อาจจะเป็นแรงผลักดันมากกว่า เหมือนพอวันนี้สิ่งที่เราทำทุกอย่างมันผ่าน Passion ของพวกเรา มันคือแบบศิลปะอ่ะครับ มันคือสิ่งที่เราอยากจะ paint แล้วสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ก็คือแค่ให้คนดูแล้วเออนี่อะศิลปะ แค่นี้ก็พอแล้ว
แจ๊คกี้ : ผมว่าเราไม่ได้แบกความหวังใครไว้เลย
เติร์ด : เราแบกความตั้งใจของตัวเอง Passion ของตัวเองมากกว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่ตามมาทีหลังไม่ว่าจะเป็นแบบ เฮ้ยคนรู้จักเพลงนี้มากขึ้นมันคือผลพลอยได้ มันคือโบนัสแค่นั้นเลย
มาถึงผลงานเพลงล่าสุด Champagne Poppin คอนเซ็ปต์ของเพลงนี้มายังไง
ปอร์เช่ : Champagne Poppin อันแรกมันคือการดื่มแชมเปญ ผมว่ามันก็น่าจะไปขยายเป็นแก้วแล้วกัน เราอยากดื่มน้ำอะไร อยากดื่มเครื่องดื่มอะไรในอารมณ์นั้นๆ ประมาณนี้ครับ แชมเปญก็คือการฉลอง เฉลิมฉลองเราก็ดื่มแชมเปญในการที่เราแฮปปี้กัน ปาร์ตี้กันอะไรอย่างนี้ครับ
ทั้ง 3 คนมีส่วนในทุกขั้นตอนของการทำเพลง
ปอร์เช่ : พอพวกเราโตขึ้น เหมือนเราก็โชคดีที่ทางค่ายเขาเปิดโอกาสให้พวกเราโชว์ความเป็นตัวเองได้มากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอแล้วอ่ะในการทำงาน ก็คือเรามีอารมณ์อะไร หรือว่าเรามีความเห็นอะไรในการอยากทำเพลงนี้ ผลงานนี้ ก็คือบอกเขาได้ เราก็เสนอเขาได้หมดเลยครับ
แจ๊คกี้ : ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเอาความเป็นตัวเองใส่เข้าไปในผลงานให้ได้มากที่สุดครับ
ส่วนหนึ่งคือเรื่องท่าเต้น ท่าเต้นเพลงนี้ดุเดือดมาก
ปอร์เช่ : ยากมาก เอาจริงๆ เป็นเพลงที่ยากมากเพราะว่าเราไม่ชิน พวกเราไม่ชินกับ…
เติร์ด : การใช้ร่างกายแบบนี้
ปอร์เช่ : ใช่ๆ ครับ มันแบบเหมือนเราลองแล้ว ทำไมเราทำไม่สวยวะ หรือว่าเราทำผิดอะไรประมาณนี้ครับ มันก็ลองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ครับผม
เติร์ด : มันอาจจะไม่ได้เรียกว่ายาก แต่มันเป็นเวที่เราอาจจะไม่ค่อยชิน
ปอร์เช่ : เราไม่ชินครับ เราไม่เคยเต้นสไตล์นี้ครับ
เติร์ด : มันเป็นสไตล์ที่ค่อนข้างแบบใหม่สำหรับพวกเราด้วย
พอปล่อยออกมาแล้วคนพูดถึงกันเยอะมาก
แจ๊คกี้ : ก็ดีใจ แล้วก็ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ ที่ให้การสนับสนุนผลงานของพวกเรานะครับ ก็ MV ตัวนี้ได้การถ่ายจากทีมพี่จีน คำขวัญ ก็พี่จีนเป็นคนกำกับ
เติร์ด : ใช่ครับ ทีมไทยหมดเลย
ปอร์เช่ : เขาก็สู้เหมือนกันนะ ผมเห็นทางบุรินทร์นะครับผม เป็นบีบีในเฟซบุ๊กอยู่อธิบายบลาๆ คือแต่ละคน มันมีความใหม่สำหรับเขา มีความท้าทายบางอย่างสำหรับเขาด้วย ด้วยสถานที่ ฟ้าอากาศบางทีไม่เป็นใจอย่างนี้ มันก็แบบดีใจที่ทุกคนรู้สึกภูมิใจที่ผลงานที่ทุกคนทำมาครับ ไม่ใช่แค่พวกเรานะ ในฐานะศิลปินคนนึงที่ถ่ายทอดผลงานผ่านเพลงอย่างนี้ เขาก็ถ่ายทอดผ่านภาพเขา ผ่านการตัดต่อ ผ่านมุมกล้องเหมือนกัน
แจ๊คกี้ : ใช่
ปอร์เช่ : รู้สึกว่าแบบพออยู่ด้วยกันแล้วมันกลมกล่อม แล้วทุกคนตั้งใจทำกับมันมากครับ
แจ๊คกี้ : ทีมโปรดักชันก็เป็นเหมือน เป็นหนึ่งในอาร์ทติสเลยอ่ะผมว่า
เป้าหมายต่อไปของ TRINITY
ปอร์เช่ : พักผ่อนครับ
เติร์ด : พักผ่อน
แจ๊คกี้ : ไม่มี เป้าหมายอยู่นู่นนนนน
ปอร์เช่ : พักผ่อนครับ
เติร์ด : ใกล้ที่สุดก็คือพักผ่อนครับ ผมว่าเป้าหมายจริงๆ ของ TRINITY คือการเดินไปด้วยกันเรื่อยๆ มากกว่า วันนี้เราไม่รู้หรอกว่าในอนาคตเราจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน แต่ว่าเราจะไปไกลกว่าจุดที่เรายืนอยู่วันนี้ และวันต่อไปเราก็ต้องไกลขึ้นเรื่อยๆ อันนั้นคือเป้าหมาย
แจ๊คกี้ : ยังไม่รู้ว่าตอนนี้มีจุดจบเมื่อไหร่
เติร์ด : ไม่มีลิมิตครับ
แจ๊คกี้ : ชีวิต
เติร์ด : ไอแจ๊ค (ขำ)
แจ๊คกี้ : ยังๆ ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อยากจะบอกอะไรกับ TRINITY
ปอร์เช่ : What SUP ! Doing Great Don’t Stop ครับผมอย่างนั้นเลยครับ
เติร์ด : บอกกับ TRINITY หรือบอกกับ twilight ครับ
ปอร์เช่ : บอกกับ TRINITY สมมติว่า TRINITY เป็นคนๆ นึง
แจ๊คกี้ : บอกกับตัวเองอ่ะ
เติร์ด : คงไม่บอกอะไรอ่ะ ให้เขาไปเจอเองดีกว่า
แจ๊คกี้ : เฮ้ย คม
เติร์ด : เดียวมันจะมี Butterfly Effect
ปอร์เช่ : ออ เฮ้ยๆ (ขำ)
เติร์ด : ที่เคยพูดไง จริงๆ เราต้องให้เขาไปเจอเอง แล้วก็ให้เขาได้เรียนรู้ เติบโตในระดับที่เขาควรเป็น
แจ๊คกี้ : ถ้าเป็นผมผมก็จะบอกว่า น่าจะรอดู รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันลุ้นดี
เติร์ด : คำพูดเมื่อกี้ผมขโมยปอร์เช่จากบทสัมภาษณ์เมื่อหลายปีที่แล้วมา
ปอร์เช่ : ครับ
ฝากผลงานกันหน่อย
ปอร์เช่ : ก็ฝากเพลงที่พึ่งปล่อยไปล่าสุดนะครับผม Champagne Poppin ก็สามารถดูได้ที่ Youtube Trinity นะครับผม ก็เป็นเพลง Title Track ของ EP2 ของพวกเรา 1ST FULL ALBUM นะครับ เป็นเพลงที่ทุกคนมาร่วมสนุกกัน ก็เป็นเพลงสากลเพลงแรกพวกเรา อยากให้ทุกคนลองฟังดูแล้วก็ enjoy กับสิ่งที่ทุกคนได้ดูนะครับผม แล้วจะรู้ว่า passion ของพวกเรา แล้วก็คนไทย คนทำงานหลายๆ คน มันสนุกครับ จริงๆ มันสนุกครับ ทุกคนจะรู้สึกผ่านเพลงได้เลยครับผม