“เกิดจากรากหญ้า เข้าใจปัญหา ยืนข้างประชาชน” สโลแกนประจำตัวบนป้ายแนะนำตัวของ “นุ่น นันทิตา สงพราหมณ์” อดีตนางงามที่ผันตัวเองมาลงสนามการเมืองในฐานะผู้สมัคร ส.ส. หน้าใหม่ ประจำเขต 3 ของจังหวัดสระบุรี ตัวแทนจากพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้ง 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ทีมงาน FEED มีโอกาสได้ไปพูดคุยกับ นุ่น นันทิตา พร้อมติดตามดูการลงพื้นที่ของเธออย่างใกล้ชิด
“สวัสดีค่ะ นุ่น นันทิตา สงพราหมณ์ สระบุรี เขต 3 พรรคก้าวไกลค่ะ” ก่อนที่เจ้าตัวจะเล่าถึงจุดเริ่มต้นมาสู่การลงสนามการเมือง ในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ในพื้นที่บ้านเกิดของเธอ
“ย้อนกลับไปช่วงประมาณปี 2563 มันเกิดม็อบ นุ่นก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ออกไปชุมนุมเหมือนกัน แต่ก่อนที่มันจะเกิดม็อบ มันเกิดพรรคการเมืองพรรคหนึ่งขึ้นมาที่ชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่ นำโดยคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เราฟังแนวคิด นโยบายเขาตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2562 แล้วเราก็รู้สึกว่าเรามีความหวัง เราเชื่อและเราศรัทธากับพรรคนี้ จนวันที่พรรคถูกยุบ ก็เลยเกิดกระแสม็อบขึ้นมา นุ่นเชื่อว่าส่วนหนึ่งเขาไม่ได้มาต่อสู้เพื่อคุณธนาธรหรือว่าเพื่อพรรคอนาคตใหม่ นุ่นออกไปต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมในสังคม เรามองว่าตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้ ม็อบปี 2563 เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เข้าไปอยู่ตรงนั้นเสมอมา จนพรรคเห็นหน้าเป็นประจำ เลยมาสอบถามว่านุ่นสนใจหรือเปล่า จริงๆ นุ่นปฏิเสธไปประมาณ 2 ครั้ง”
“ส่วนตัวค่อนข้างที่จะเป็นคนธรรมดาจริงๆ เราเป็นคนธรรมดา เรามีครอบครัวมีลูกอายุ 4 ขวบกว่า เรายังอาจจะไม่ได้พร้อมที่จะก้าวข้ามเซฟโซนของเราออกมา ก็เลยต้องปฏิเสธทางพรรคไป เพื่อให้พรรคได้คนที่ดีที่สุดจริงๆ แต่ว่าจนสุดท้ายวินาทีสุดท้าย เขายืนยันว่ามันไม่มีใครแล้ว ไม่มีใครในพื้นที่นี้ที่จะออกมาเป็นปากเป็นเสียงให้เราแล้ว นุ่นเลยตัดสินใจว่างั้นก็เป็นนุ่นก็ได้ อย่างน้อยหนึ่งเสียงของนุ่นก็ไม่ทรยศประชาชน”
“ก่อนหน้านี้เราอยู่ในสังคม เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองเป็นเรื่องรอบตัวของเรา เพราะฉะนั้นในสังคมทุกวันนี้ การเมืองเป็นเรื่องเดียวกับการใช้ชีวิตของเรา เราสนใจประเด็นการเมืองมาโดยตลอด เราตั้งคำถามกับการเกิดปรากฏการณ์เสื้อเหลืองเสื้อแดงมาตลอด แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ จนมีคนมาให้คำตอบเราได้ก็คือคุณธนาธร ว่ามันไม่ควรจะเป็นสงครามเหลือง-แดง แต่เราควรจะหาวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเข้าไปพูดคุยกันในสภาเพื่อหาทางออกให้กับประเทศได้แล้ว คุณธนาธรเนี่ยแหละมาปลุกไฟในตัวนุ่น ทำให้นุ่นลุกขึ้นมาและเข้าใจบริบทของการเมืองมากขึ้น”
ทำไมต้องเป็นพรรคก้าวไกล?
นุ่น นันทิตา : หนึ่งพรรคก้าวไกลเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย สองอนาคตใหม่ถูกยุบแล้วเกิดก้าวไกล อย่างที่นุ่นบอกตอนเลือกตั้ง 2562 พรรคเดียวที่นุ่นรู้สึกว่านุ่นฝากความหวังไว้ได้ในช่วงที่เราเติบโตมา เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ เป็นพรรคที่พูดในสิ่งที่เราคิด ตอบคำถามในสิ่งที่เราหาคำตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นพรรคเดียวที่ตอบโจทย์เรา เคียงข้างประชาชน หรือคอยดูแลเด็กๆ ที่ออกไปร่วมม็อบ มีอยู่พรรคเดียวนั่นก็คือพรรคก้าวไกล เพราะฉะนั้นพรรคเดียวค่ะ ถ้านุ่นจะลง ส.ส. มีแค่พรรคก้าวไกลเท่านั้น ถ้าเป็นพรรคอื่นนุ่นก็ไม่ลงเหมือนกัน
นอกจากจุดยืน “ประชาธิปไตย” มีจุดยืนหรือนโยบายอะไรของพรรคที่ชอบอีก
นุ่น นันทิตา : จุดยืนของพรรคตั้งแต่อนาคตใหม่จนถึงก้าวไกล ค่อนข้างชัดเจนเรื่องรัฐสวัสดิการนะคะ เราเข้าใจว่าที่ผ่านมันมีแต่นโยบายประชานิยม แจกๆ อย่างเดียว แต่คำว่ารัฐสวัสดิการของพรรคก้าวไกลคือให้ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ให้ทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าคนนี้เป็นคนจนหรือว่าคนนี้เป็นคนรวย นั่นแหละค่ะทำให้นุ่นมองว่าจุดนี้แหละเป็นจุดที่เราแตกต่าง จุดที่พรรคแตกต่างจากคนอื่น นุ่นเลยเห็นว่าตรงนี้มันน่าสนใจ เลยศึกษานโยบายต่างๆ ของพรรค แล้วมันก็ค่อนข้างตอบโจทย์กับทุกช่วงวัยทุกอาชีพกับทุกคน
พร้อมสู้…ไม่กดดัน
นุ่น นันทิตา : เรื่องความกดดันทางการเมือง นุ่นบอกตรงๆ เลยว่าทางเราไม่มีจริงๆ ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เรารู้สึกว่าสนุกกับการทำงาน เราสนุกที่จะได้เป็นปากเป็นเสียงให้ชาวบ้าน เราสนุกที่จะสื่อสาร เพราะนุ่นมองว่าการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นเรื่องรอบตัวอย่างที่เราบอกไป อยากจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่า การเมืองมันเป็นเรื่องใกล้ตัวจริงๆ มันเป็นเรื่องของค่าน้ำ ค่าไฟ มันเป็นเรื่องของถนน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับรอบตัว นุ่นไม่ได้มีความกดดันอะไรกับคนนู้นบ้านใหญ่ คนนี้มีตังค์หรือว่าอะไร เพราะฉะนั้นเราทำหน้างานของเราให้เต็มที่ เราคาดหวังผลลัพธ์คือการยกระดับความคิดของคนในเรื่องการเมือง
ลงพื้นที่ทำงานมาตั้งแต่ 2564 ปัญหาที่เห็นและสิ่งที่อยากผลักดัน
นุ่น นันทิตา : ปัญหาแรกที่นุ่นเห็นก็คือ ความเหลื่อมล้ำในสังคม เป็นสิ่งที่เราเจอมาตั้งแต่เล็กแล้ว นุ่นเกิดจากครอบครัวที่ไม่ได้สมบูรณ์อะไร คุณแม่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ความเหลื่อมล้ำในสังคมมันเกิดคำถามกับการใช้ชีวิตเราทุกครั้ง ว่าทำไมคนนั้นถึงได้เรียนแบบนี้ ทำไมคนนี้ถึงได้ทำตรงนั้น เราก็ใช้คำว่าประสบการณ์ชีวิต สะสมและสั่งสอนเรามาตลอด เราก็แค่รู้สึกว่ามันเกิดคำถามขึ้นมา เราก็พยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาตรงนั้น และพอเมื่อเราเจอคำตอบแล้วว่า นี่แหละการเมืองมันจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ เพราะว่ามันออกกฎเพื่อคนทุกคนได้ นุ่นก็เลยก้าวออกมาสู่ตรงนี้ เพื่อมาลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพื่อมาเปิดโอกาสให้กับคนอื่นๆ ในสังคม โอกาสทางกฎหมาย โอกาสทางการศึกษา โอกาสขั้นพื้นฐานที่เราควรจะได้รับเท่าๆ กัน แน่นอนค่ะว่าทุกคนมีครอบครัวที่แตกต่างกัน โอกาสทางครอบครัวนั้นเราเลือกเกิดไม่ได้อยู่แล้ว แต่โอกาสทางสังคมที่จะได้รับมันควรจะเท่าเทียมกันหรือเปล่า
“ด้วยความที่นุ่นเป็นคนธรรมดา ความเป็นคนธรรมดาเข้าถึงง่ายของเรา เราใช้ชีวิตของเราแบบนี้มาตั้งแต่แรก เราใช้ชีวิตของเราเดินตลาด ไปซื้อของทำกับข้าว นั่นคือชีวิตปกติของเรา ทำให้เราเห็นหน้าเราเป็นประจำ เห็นว่าเราคือลูกหลาน มันเลยไม่ได้รู้สึกห่างไกลกันมาก มันกลายเป็นว่านี่มันคือตัวแทนของฉันจริงๆ นี่คือลูกหลานจริงๆ แล้วการสื่อสารของนุ่นในฐานะที่เราเกิดจากรากหญ้าเหมือนกัน มันค่อนข้างเข้าใจกัน เพราะฉะนั้นชาวบ้านจะตอบรับนุ่นดีมากๆ ทุกคน กับรากหญ้านุ่นกล้าพูดได้เลยว่า ถ้านุ่นไปที่ไหน ประชาชนเข้าใจและพร้อมรับฟัง ตั้งแต่นุ่นลงมาสระบุรีเป็นดินแดนที่คนไม่ค่อยสนใจการเมือง จะมีไทยเฉยเยอะมาก แต่นุ่นสามารถพูดให้เขาฟังนุ่นได้เข้าใจได้ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม เขาก็ยินดีที่จะรับฟัง นั่นคือสิ่งที่นุ่นเจอมา ไม่เคยถูกไล่ ไม่เคยถูกว่าที่รุนแรงจนเกินไป ด้วยความที่เรามีความเข้าอกเข้าใจเป็นพื้นฐานของเราอยู่แล้ว”
“ความเดือดร้อนของประชาชน ปัญหาปากท้องของพี่น้อง ปัญหาของแพงค่าแรงถูก สระบุรีเป็นเมืองอุตสาหกรรมนะคะ แต่คุณภาพชีวิตของประชาชนค่อนข้างที่จะไม่ได้ตอบโจทย์ในการใช้ชีวิตประจำวันขนาดนั้น ทุกๆ ครั้งที่นุ่นลงไปหาแม่ค้าหรือหาคนในตลาด ทุกคนจะพูดเหมือนกันว่าวันนี้ขายของไม่ดีเลย ขายได้ก็เท่าทุน มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย แค่ทำแค่พยุงตัว ทำให้นุ่นรู้สึกว่าจริงๆ ประเทศเรามันดีกว่านี้ได้ หรือแม้กระทั่งเราไปบางพื้นที่เห็นสภาพความเป็นอยู่ของเด็กๆ หลายคนที่เขาไม่ได้มีโอกาส หรือไม่เคยได้รับโอกาสทางสังคม ในเรื่องของการศึกษา มีเยอะมากๆ ทำให้เรารู้สึกว่า นี่แหละเป็นจุดที่นุ่นจะเติมโอกาสให้เขาได้ ทำไมนุ่นถึงรู้สึกขนาดนั้น เพราะว่าเราเคยขาดมาก่อน เราก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ขาดโอกาสทางสังคม เป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้มีสิทธิ์เลือกในการใช้ชีวิตว่า ในเมื่อฉันอยากทำแบบนี้ทำไมฉันไม่ได้ทำ ในเมื่อฉันอยากเรียนแบบนี้ทำไมฉันไม่ได้เรียน เพราะฉะนั้นจุดนี้แหละค่ะที่นุ่นอยากเติมให้เขา ทำให้เขาได้รับโอกาสทางสังคมมากขึ้น”
นุ่น นันทิตา สงพราหมณ์ ผู้สมัคร ส.ส. ประจำเขต 3 จังหวัดสระบุรี พรรคก้าวไกล
“สิ่งนี้มันทำให้นุ่นอยากชนะมากขึ้น อยากทำให้ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันสำหรับคนรากหญ้ามันปลอดภัย นุ่นถามกลับไปว่า เดินออกไปจากบ้านเรารู้สึกปลอดภัยไหม ไฟสว่างหรือเปล่า ถนนออกไปเป็นหลุมเป็นบ่อไหม อะไรคือความปลอดภัยในชีวิตประชาชน แล้วการเกิดอุบัติเหตุครั้งหนึ่งมีใครรับผิดชอบไหม ถ้าประชาชนขับรถตกหลุม หรือว่าขับรถบนสะพานแล้วเจอลูกรังหรือหินร่วงลงมา ความปลอดภัยในชีวิตเราอยู่ตรงไหน นี่เป็นจุดที่ทำให้นุ่นรู้สึกว่าอยากแค่ทำความปลอดภัยในชีวิตประจำวันให้ได้”
“ส่วนสิ่งที่อยากผลักดันก็คงจะเป็นเรื่องของรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า เพราะว่าทุกคนมีภาระ รัฐควรช่วยเหลือในส่วนที่จะช่วยได้ เช่น เงินอุดหนุนเด็กเล็ก 1,200 บาท พอเขาคลอดมาแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้มีเวลาที่จะไปหาเงิน การดูแลเด็กเล็กหนึ่งคนค่อนข้างที่จะใช้เงินจำนวนมากอยู่แล้ว การที่รัฐอุดหนุนหรือช่วยเหลือจะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าได้รับการช่วยเหลือจากรัฐมากขึ้น หรือว่าคุณยายวัย 60 ปีขึ้นไป มีรัฐสวัสดิการเดือนละ 3,000 ก็จะทำให้รู้สึกว่าเขา 60 แล้ว เขาต้องพักแล้ว ไม่ใช่ยังต้องออกไปขายของหรือต้องออกไปทำงาน การที่ได้รัฐสวัสดิการตัวนี้มาอย่างน้อยวันละร้อยก็ยังดีกว่าได้วันละ 20 บาท นี่แหละค่ะที่จะตอบโจทย์พื้นที่นุ่นได้ดีที่สุด ก็คือรัฐสวัสดิการที่มันถ้วนหน้าและครอบคลุมสำหรับทุกคน”
“อดีตนางงาม” ดีใจที่เห็นเวทีนางงามเปิดกว้างในเรื่องสังคมและการเมืองมากขึ้น
นุ่น นันทิตา : ตอนนุ่นลงประกวด เหตุผลในการประกวดเนอะเพราะว่าหาเงินหาเงินเรียน การประกวดในยุคที่นุ่นประกวด ค่อนข้างมีข้อจำกัดเยอะ มีข้อจำกัดของจารีต ประเพณี และสังคม ไม่ได้เปิดกว้างในการพูดคุยหรือสื่อสารแบบนี้ แล้วเรารู้แหละว่าตอบแบบไหนถึงจะโดนใจเขา ตอบแบบไหนถึงจะได้เงินรางวัล เราก็แค่ทำตามในสิ่งที่สังคมต้องการ
เสียดายมากค่ะที่มันไม่ได้เกิดในยุคนุ่น เพราะว่าจริงๆ พอเราสนใจการเมือง เราก็หัวแข็งที่อยากจะพูดอะไรแบบนี้ เวทีสุดท้ายนุ่นยังจำได้เลยว่า นุ่นว่าชาวบ้านว่า ลอยกระทงทำไมไม่เก็บขยะ มันเป็นภาระหรือมันไม่มีจิตสำนึก จากมงที่จะลงหัวก็ปลิวไป สมัยก่อนเรายังพูดไม่ได้ตรงๆ แบบนี้ ยังไม่เปิดกว้างขนาดนี้ นางงามพูดได้เปิดกว้างมากขึ้น พูดเรื่องการเมืองได้พูดเรื่องสังคมได้ เอาความจริงมาพูดได้ นุ่นว่ามันเป็นการดีที่เราได้ยกระดับสังคมขึ้นมาให้การเมืองให้สังคม การพูดจาตรงไปตรงมามันกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น ไม่ได้จะต้องมานั่งประดิษฐ์คำหรือว่าเอาใจกันมากจนเกินไป ดีค่ะนุ่นมองว่าดีมากเลย ถ้ามีเวลาหรือว่ามีโอกาสย้อนกลับไปได้ อยากประกวดช่วงนี้มากน่าจะสนุกแล้วก็ได้พูดอะไรที่หลากหลายมากขึ้น เห็นหลายๆ คนกล้าพูดกล้าแสดงออกมาขึ้น อยากให้การพูดหรือการแสดงออกนี้มันมาจากใจจริงๆ ไม่ได้อยากให้มาจากการพูดหรือตอบเพื่อเอาชนะ เพื่อเอาใจคนดู หรือเอาใจเจ้าของเวที อยากให้มันมาจากความรู้สึกที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนี้จริงๆ
เรารู้แล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มันสำคัญกับชีวิตของเราทุกคนมากๆ การเมืองมันไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกัน มันไม่ใช่แค่นุ่นทำแล้วทุกคนไม่ทำก็ได้ ทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อให้นุ่นได้เป็นปากเป็นเสียงในสภา เพื่อให้นุ่นได้เข้าไปยกมือโหวตพิธาเป็นนายก นุ่นทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องช่วยกันด้วยทรัพยากรที่พรรคมีจำกัด หลายๆ คนออกมาช่วยนุ่นซ่อมป้าย หลายๆ คนอาสาช่วยนุ่นติดป้าย ทุกๆ ครั้งที่มีทุกคนอาสาเข้ามานุ่นขอบคุณมากๆ การเมืองเรากำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นุ่นขอให้โอกาสครั้งนี้เราช่วยกันรักษา ช่วยกันสื่อสาร ช่วยกันส่งสารต่อออกไปว่าเราต้องชนะเท่านั้น เพราะเราจะอยู่กับเผด็จการอีก 4 ปีต่อไปข้างหน้า นุ่นนึกไม่ออกจริงๆ ว่าภาพที่เราจะอยู่กันต่อไปมันเป็นยังไง แล้วส่งเสียงในวันเลือกตั้งว่า เราต้องการคนๆ นี้เข้าไปพูด เข้าไปเป็นปากเป็นเสียงให้เราในสภา นั่นแหละค่ะ นุ่นขอบคุณทุกคนมากๆ ที่กล้าพูด กล้าออกมาช่วยกันในวันนี้