“ใช่ค่ะในที่สุดจักรวาลนี้เป็นของพวกเรา” ประโยคที่ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” บอกกับทุกคนในวันที่บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการ “Miss Universe Organization” เวทีประกวดนางงามจักรวาลหรือมิสยูนิเวิร์ส ซึ่งนับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ครอบครองจักรวาลนี้เอาไว้ในมือแบบ 100% แต่กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ชีวิตของผู้หญิงข้ามเพศคนนี้โลดโผนและผ่านเรื่องราวมากมายทั้งคำดูถูก บูลลี่ และถูกหักหลังจากคนใกล้ตัว
ผู้หญิงที่ถูกขังอยู่ในร่างผู้ชาย
แอน จักรพงษ์ เล่าเรื่องราวการเดินทางของชีวิตที่รู้ตัวเองว่าเป็นผู้หญิงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แต่ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโตครอบครัวเชื้อสายจีนประกอบกับค่านิยมในสังคมสมัยนั้นที่ยังไม่เปิดรับความหลากหลายทางเพศมากนักทำให้ถูกล้อเลียนว่าเป็นตุ๊ดอยู่เสมอ
“ผู้หญิงข้ามเพศเพิ่งจะมารู้จักกัน 4-5 ปีที่ผ่านมาที่ใช้กันทั่วเมือง คือเป็นผู้หญิงที่เกิดผิดร่างอยู่ในร่างเด็กผู้ชาย สิ่งที่เราปรารถนาคือเป็นตัวเอง อยากเป็นผู้หญิง อยากอยู่หน้าจอโทรทัศน์ อยากอยู่ในวงการบันเทิง และอยากเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์เหมือนกับ Oprah Winfrey”
เพราะครอบครัวทำธุรกิจเปิดร้านให้เช่าวิดีโอชีวิตวัยเด็กของแอน จักรพงษ์ จึงผูกพันและได้รับชมเนื้อหารายการโทรทัศน์ต่างประเทศอยู่เป็นประจำ ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ ทำให้ซึมซับภาษาอังกฤษและบุคลิกกล้าแสดงออกของชาวตะวันตกเอาไว้เมือโตขึ้นจึงสมัครเข้าชมรมโต้วาทีตอนเรียนมัธยม เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันโต้วาทีอย่างต่อเนื่องจนได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมโต้วาทีของโรงเรียนในที่สุด
ออกเดินทางตามความฝันที่ต่างแดน
“อายุ 16 ปี ขอคุณพ่อไปเรียนต่างประเทศทนไม่ไหวแล้วอยู่เมืองไทย แม่จริงๆ ไม่เห็นด้วยนะกลัวไปเป็นตุ๊ดที่นู่น กลัวไปมีผัวที่นู่นแล้วไปเลย เราก็บอกเราคงตั้งใจเรียนขอไปเต็มที่สู่ความฝัน เราจะเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้ไปไหนเลยเก็บแต่ตังค์ไปทำงานปั๊มน้ำมัน จากประมาณ 7-8 เหรียญก็ได้ขึ้นมา 13 เหรียญ เพราะความขยันเจ้าของรัก คนอื่นหยุดเราก็ไป ไม่เคยสาย เราก็อยู่จนถึงตี 1 ตี 2 ปิดร้านให้เขา จัดของนับสต๊อกเก็บเงินไปขัดห้องน้ำ เขาไม่ได้บอกให้เราทำหรอกแต่เราเป็นคนคิดไกล ช่วงชีวิตแบบนี้ย้อนกลับมาได้อีกไหม ทำไปเหอะ”
“พอกลับมาปุ๊บก็ทำธุรกิจของตัวเองและเป็นพิธีกรรายการทีวีไปด้วย คือเป็นพิธีกรรายการสารคดีที่ตัวเองเอามานั่นแหละ จนอายุ 25 ปีก็ขายคอนเทนต์ดีกว่า เพราะ VCD , DVD , Blu-ray มันมีแต่ของเหลือเต็มสต๊อกไปหมดเลยแล้วเมื่อไรจะรวย ทำอะไรก็แล้วแต่ต้องคิดว่ากาลเวลามันเปลี่ยนไป เราต้องเปลี่ยนตาม มี 3 อย่างที่ฝากกันเอาไว้เลยว่าทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ 1.อย่าโลภ 2.อย่าฝืน 3.ลดความเสี่ยง 3 อย่างนี้มันจะทำให้เรายั่งยืนเราไม่ยืนอยู่กับจุดเดิม จึงตัดสินใจขายธุรกิจวิดีโอทิ้งหมดเลย บินทั่วโลกไปนั่งฟังสัมมนากลับมาปุ๊บฉันจะขายคอนเทนต์เพราะเราไม่ได้ขายม้วน VCD , DVD นะ เราขายสิ่งที่อยู่ในนั้นแล้วสิ่งที่อยู่ในนั้นมันเรียกว่าอะไรจนประสิทธิ์ประสาทขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือคอนเทนต์”
“ฉันขายคอนเทนต์เลยดีกว่าไปขายให้สถานีโทรทัศน์ ฉันไปขายให้โรงงานปั๊มแผ่น CD ฉันไปขายให้ tsutaya , box buster , vedio easy , mangpong ขายให้เฮียฮ้อ RS แล้วไปจบที่ Grammy อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม บอกว่าเด็กคนนี้เป็นใครเรียกขึ้นมาหน่อยซิ อากู๋บอกว่าสนใจมาเปิดบริษัทกับผมไหม? นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนเลย คิดอยู่นานมาก 2 นาทีบอกมาเลยค่ะ ตราแสตมป์บริษัทเอามาด้วยบอกลงทุน 50-50 เลย”
อาณาจักร JKN ความบันเทิง ผลิตภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์
- JKN Global Group Public Company Limited กลุ่มค้าคอนเทนต์และมีเดีย
- JKN Global Living Network ธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าเพื่อความงาม
- JKN Landmark ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์
คิดบวก คิดสร้างสรรค์ และกัดไม่ปล่อย
“ข้อที่ 1 ดิฉันเป็นคนมองโลกในแง่บวก Positive Thinking เป็นคนคิดว่าเจออุปสรรคอะไรก็แล้วแต่มันสอนอะไรเรา แต่ไม่ได้หน่อมแน้ม ข้อที่ 2 คือคนที่คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดแบบ Initiative Thought เป็นคนที่คิดก่อนคนอื่นคิด คิดในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่คิด คิดต่างทำก่อนคนอื่นเอาตุ่มไปรองก่อนฝนจะตก ไม่ตามคนแต่จะเป็น Trend Setter ให้คนตาม ข้อที่ 3 คือเป็นคนแกร่ง Persistent ฟัด กัดไม่ปล่อย นี่แหละ Positive Thinking , Initiative Thought , Persistent 3 อย่างที่อยู่ในตัวแอน จักรพงษ์ จึงทำให้กลายเป็นคนข้ามเพศพันล้านทุกวันนี้”
บทเรียนราคาแพงถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจ
“เอาจริงๆ บอกเลยนะผิดพลาดมาแล้วหลายเรื่องแต่ไม่ขอเปลี่ยนอดีตเลย มันกลายเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ๆ ตลอดเวลาที่ทำให้เราแกร่งขึ้นว่าไม่ควรลงทุนอะไร ไม่ควรคัดเลือกคนแบบไหนมาทำงาน ไม่ควรที่จะเดินหน้าเร็วเกินไปช้าเกินไป ถ้าพูดกันจริงๆ ก็คือมันเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าเราจะไม่เปลี่ยนอดีตเลย แต่ถ้าเจ็บปวดอะไรมากที่สุดก็คือไว้ใจคนแล้วกลับกลายเป็นอสรพิษเป็นงูเห่าที่เขาไม่ควรทำ เพราะท้ายที่สุดเราเจ็บปวดแป๊บเดียวผิดหวังในการเอาเขามาทำงาน แต่เขาจะผิดและทรมานตลอดทั้งชีวิตเพราะมันคือความอกตัญญูที่เขาไม่ควรทำกับใครไม่ใช่เฉพาะเรา”
ความฝันสูงสุดที่ยังไปไม่ถึง
แม้จะประสบความสำเร็จด้านธุรกิจอย่างมากจนได้รับฉายาว่า “นักธุรกิจสาวข้ามเพศหมื่นล้าน” แต่ยังมีเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งที่เธอยังไม่ได้คว้ามาครองนั่นคือการเป็น นายกรัฐมนตรีข้ามเพศคนแรกของประเทศไทย
“อยากเป็นผู้นำประเทศ อยากเป็นนายกรัฐมนตรีข้ามเพศคนแรกของไทย ดิฉันเป็นคนทำงานเพื่อประเทศจริงๆ เพราะถ้าพูดตรงๆ ไม่ได้มีอาชีพเป็นนักการเมือง ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น คนเรามันต้องนับชีวิตตัวเองมันต้องนับอายุอีก 10 ปีถ้าจะเป็นมันก็คือเลข 5 ตอนนี้เลข 4 การสร้างความมั่นคั่งให้กับประเทศอย่างยั่งยืนคือสิ่งที่ แอน จักรพงษ์ จะต้องทำ ประสบความสำเร็จแล้วรวยแล้วอยู่ที่บ้านกับสามีแล้วมันจะมีอะไรที่มันมีคุณค่าในชีวิตเหรอ ท่องเที่ยวรอบโลกมันก็ไปมาเกือบหมดแล้วในชีวิตดิฉัน มันไม่มีอะไรที่จะท้าทายนอกเหนือจากว่าเห็นผืนแผ่นดินเจริญรุ่งเรือง และส่วนตัวเป็นคนที่ชอบคิดบวกอยู่แล้ว คิดอยู่เสมอว่ามันมีเหตุผลที่ทำให้เด็กตุ๊ดบางแคคนนั้นที่ชื่อ จักรพงษ์ มันเกิดมาข้ามเพศ มันต้องมีเหตุผล และเกิดมาอยู่ในประเทศไทยมันต้องมีเหตุผล เราจะยืนอยู่เฉยๆ ประสบความสำเร็จแล้วแล้วก็ใช้ชีวิตสุขสำราญไปวันๆ มันคงไม่ใช่เรา นั่นแหละคือความคิดความใฝ่ฝันสูงสุดคือการเป็นผู้นำประเทศค่ะ”
แอน จักรพงษ์ บอกถึงความฝันสูงสุดของเธอ
การศึกษาคือพื้นฐานสำคัญที่สุด
เมื่อถามว่าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงจะเข้าไปแก้ไขเรื่องอะไรก่อน แอน จักรพงษ์ ตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้มว่า “อันดับหนึ่งการศึกษาไทยมันต้องเปิดประเทศออกสู่โลกกว้างเราต้องเป็นหน้าต่างโลกของคนไทยก่อน วัฒนธรรมอย่างที่สองที่มันควรจะต้องออกไปสู่เวทีโลกเหมือนเกาหลีเห็นไหม หลายๆ ประเทศฮอลลีวู้ดเขาทำมานานแล้ว คือการใช้รากเหง้าของพื้นแผ่นดินในการเป็นจุดขายสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน พอเวลาคนติดเราไม่ว่าจะเป็นพวกหนัง ละคร เพลง ทุกสิ่งทุกอย่างมันติดตามต่อในเรื่องของสินค้าที่ส่งออกขาย เราจะมานั่งขายกันเองเป็นไปไม่ได้ US Dollar แล้วค่ะตอนนี้สิ่งที่เราต้องคุยกัน พื้นฐานการศึกษาของประชาชนที่เราเรียนกันอยู่เป็นนกแก้วนกขุนทองเราต้องหยุดนะ ต้องสอนให้เด็กคิดคือความคิดสร้างสรรค์ คิดริเริ่ม กล้าแสดง ในลิมิตที่ถูกต้อง ข้อที่สองย้ำเลยวัฒนธรรมบ้านเราคือแหล่งทรัพย์สมบัติมหาศาล เราควรจะต้องสร้างให้กลายเป็นจุดดึงดูดที่ทำให้คนทั่วโลกหันมาแล้วมาบริโภคของไทยเพราะว่าเขาเสพติดความเป็นไทยไปแล้ว นี่คือสองที่เริ่มต้นอย่างนี้ก่อน แล้วอย่างอื่นคือการค้าขายสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศมันต้องทำ คนเรามันต้องพูดด้วยเงินไม่ใช่พูดด้วยทฤษฎีเข้าไปปุ๊บทุกคนต้องรวยขึ้นแต่การรวยขึ้นทุกคนต้องให้ความร่วมมือด้วยไม่ใช่บอกขอให้นายกฯ มาเสกฝนฟ้าอย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนก็ต้องทำมาหากินขยันขันแข็งไม่ใช่แบมือขอตังค์ ทุกคนต้องมีบทบาทด้วยเช่นเดียวกัน”
หมายเหตุ บทความนี้สัมภาษณ์วันที่ 22 กรกฎาคม 2563