การผลิตซ้ำละครไทยที่วนเวียนอยู่กับเรื่องผัวๆ เมียๆ ชิงรักหักสวาทระหว่างพระเอก นางเอก กับนางร้าย หรือแม้แต่เมียน้อยร้อยมารยาที่หวังแย่งชิงสามีจากอกเมียหลวง ยังคงเป็นพล็อตเรื่องที่เจอได้ในละครไทยมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ช่วงหลายปีหลังเป็นต้นมา ละครไทยบางเรื่องจะพัฒนาไปไกล ฉีกพล็อตเรื่องออกจากเรื่องผัว-เมีย จนได้ชื่อว่าเป็นละครน้ำดีที่สร้างปรากฏการณ์ในสังคม แต่ทว่าเรตติ้งกลับน้อยนิด และถือว่ายังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบจากสัดส่วนละครไทยทั้งหมด
แน่นอนว่าละครที่มีพล็อตเรื่องผัวเมียตีกัน เมียน้อยแย่งสามีเมียหลวง เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอรรถรสจนโดนใจคนดู และกลายเป็นพล็อตละครยอดนิยม เพราะขายได้และเรตติ้งดีมากๆ แต่ถามว่าให้อะไรกับคนดูนอกจากสอนเรื่องศีลธรรมอันดีงาม ที่ดูว่าไม่ได้ช่วยขัดเกลาสังคมได้มากเท่าที่ควร
นักแสดงสาวผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 30 ปี อย่าง “อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์” ร่วมพูดคุยกับ FEED ว่าด้วยเรื่องทำไมละครไทยไม่หลุดออกจากกรอบเดิมๆ เหล่านี้เสียที ในขณะที่ต่างประเทศพัฒนาไปไกล แถมยังกล้านำทุกสาขาอาชีพมาอยู่ในละครได้อย่างไม่ต้องกลัวดราม่า
FEED เริ่มจากคำถามแรกที่พบเห็นในโลกโซเชียล ทำไมวงการบันเทิงไทย นักแสดงคนใดที่มีอายุ 30 ขึ้น จะถูกปรับให้ไปรับบทพ่อหรือแม่ หรือบทรองอื่นๆ ในขณะที่ละครหรือซีรีส์ประเทศอื่น เปิดกว้างไม่จำกัดอายุนักแสดงว่าต้องน้อยกว่า30 ถึงจะรับบทพระเอกนางเอกนำของเรื่องได้
อ๋อม สกาวใจ: ดาราบ้านเราพออายุ 30 ขึ้นไปแล้วมักจะถูกปรับให้ขึ้นไปรับบทแม่ บทพ่อ หรือตัวละครบทที่ 3, 4, 5 สิ่งเหล่านี้มันอาจจะอยู่ที่สังคมหรือเปล่า พี่อ๋อมมองอย่างนี้นะ วงการบันเทิงบ้านเราที่รวมไปถึงละครหรือภาพยนตร์ ความเคยชินของคนที่ถูกปลูกฝังว่าพออายุเยอะปุ๊บ ต้องไปรับบทแม่แล้ว รับบทนางเอกไม่ได้แล้ว มันอาจจะอยู่ที่คนที่ปลูกฝังไว้ ตัวอย่างเช่น ทำไมตัวร้ายต้องทาปากแดง แต่เดี๋ยวนี้พี่อ๋อมว่าเขาก็พัฒนาขึ้นแล้วนะ เขาก็พัฒนาให้แบบว่า เรื่องราวต่างๆ นานา ให้คนที่อายุค่อนข้าง เหมือนอายุเยอะ เอามาเป็นตัวเอกเป็นตัวนำก็มีนะอันนี้ เริ่มมาแล้ว อันนี้ก็โอเคค่ะ เราเลยเคยชินไง มันเป็นความเคยชิน
เมื่อละครไทยยังวนอยู่กับพล็อตผัว-เมีย เพราะขายได้ เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ที่หยิบสาขาอาชีพมาถ่ายทอดผ่านบทละคร พร้อมสอดแทรกข้อคิดสอนใจได้อย่างไม่ต้องกลัวดราม่า แต่ละครไทยยังก้าวไม่ผ่านจุดนั้น
“มันไม่เปิดกว้างและไม่เสรี มันไม่สามารถที่จะพาดพิงได้ เหมือนสมมติว่าเราถ่ายฉากนี้อยู่ เช่นฉากกินไวน์ เมามายก็ต้องเบลอ หรือว่าถือปืนก็ต้องเซนเซอร์ เพราะมันไม่เปิดกว้างและเขาไม่ยอมรับค่ะ
มันติดอยู่ตรงนี้แหละค่ะ เพราะว่ามันไม่สามารถแตะอะไรได้เยอะ มันได้นิดๆ หน่อยๆ สุดท้ายก็ได้แค่เรื่องผัวเมียไง ผัวเมียตบตี ได้แค่นี้ ตัวร้ายคนร้าย จะไปแตะเรื่องอาชีพที่เป็นอาชีพต้องห้ามก็ไม่ได้ อาชีพนี้ห้ามแตะนะ อาชีพอัยการห้ามแตะนะ แต่ดูหนังเกาหลีสิ เรื่องอัยการที่เป็นคนเลวเขาก็ยังทำได้ สุดท้ายแล้วมันก็ต้องมีคนดี เขาก็สอน เราก็ดูสิว่าเขาเลวยังไง อันนี้คือพูดถึงเรื่องซีรีส์เกาหลีนะ ที่เราดูว่าอัยการเป็นตัวร้าย แต่ก็เป็นบทที่ดีไง ซึ่งเราดูแล้วมันรู้สึกว่า อ๋อ มันมีช่องทางในตรงนี้ตรงนั้น มันก็สนุกก็บันเทิง ดูแล้วก็คิดได้ว่า อ๋อ ก็เขาไม่ดี พระเอกก็ต้องเข้าไปปรับใหม่ไปแก้ไข มันก็ควรที่จะได้บ้าง ไม่งั้นมันก็อยู่ที่เดิม “
พี่อ๋อมคิดว่าสังคมบ้านเรา เขารับไม่ได้หรือเปล่า หน่วยงานต่างๆ รับไม่ได้หรือเปล่าที่จะถูกสะท้อนออกมา
อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์ สะท้อนความคิดเห็น ว่าทำไมละครไทยไม่กล้าหยิบเอาสาขาอาชีพที่มีอยู่อย่างหลากหลายมาสะท้อนเรื่องราวผ่านบทละคร
ทุกหน่วยงานมันมีทั้งคนดี คนเลว มันไม่ใช่แค่หน่วยงานนี้ต้องดีทุกอย่าง หรือเธอเป็นดาราเธอต้องเป็นคนดีมาก หรือว่าเธอเป็นผู้พิพากษา ครู จะต้องไม่มีข้อเสียเลย มันคือละคร ดูให้มันเป็นบันเทิง ดูเป็นละคร แล้วเขาก็เขียนไว้แล้วว่าใช้วิจารณญาณในการรับชม ก็เขียนไว้แล้วนี่ แต่ว่าถ้าเกิดว่าสมมติว่าคุณไม่เปิดอะไรเลย ไม่สามารถที่จะเอามาตีแผ่ สมมตินะ อยากจะทำเรื่องทหารจังเลย แต่ห้ามนี่ห้ามนั่น ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 อย่างนี้ ทำไมต้องห้ามล่ะ ก็คือพระเอกเป็นทหาร ผู้ร้ายเป็นทหาร ผู้ร้ายเป็นทหารก็ต้องโดนจับเข้าคุกสิ อย่างนี้ค่ะ มันควรจะมีได้สิ ทุกวันนี้เขียนถึงเรื่องนี้ก็ไม่ได้ แตะไม่ได้ มันมีกฎ มีข้อแม้เยอะ ความเสี่ยงต่างๆ นานา ผู้จัดเขาก็คงกลัวกันแหละค่ะ ก็เข้าใจได้เนอะ ก็เลยต้องไปดังที่เมืองนอกไง
เปิดรับได้แล้ว โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ฮอลลีวูดเขาสร้างหนังไปถึงไหน เกาหลีเขาไปแตะได้ทุกเรื่อง คือมันสามารถไปพูดได้ทุกๆ เรื่อง มันคือละคร มันคือบันเทิง ไม่ใช่จริงเธอ เรื่องจริงยังไม่ยอมรับเลย เนี่ยดูสิละครก็ไม่ยอมรับ เรื่องจริงก็ไม่ยอมรับ งงไปหมดละ
ไม่ใช่แค่ไม่เปิดกว้างอย่างเดียว อ๋อม สกาวใจ ยังมองว่าที่ละครหรือภาพยนตร์ไทย ไม่พัฒนาไปไกลกว่านี้ ทั้งๆ ที่ผู้จัด ผู้กำกับ นักแสดง ตลอดจนทีมงานเบื้องหลังต่างมีฝีมือไม่เป็นสองรองประเทศใด สิ่งที่ยังขาดคือการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐบาล
เรื่องฝีมือ นักแสดงเราไม่ได้ขาดอะไรหรอก เราขาดเรื่องงบประมาณ งบที่เขาเอาไปซื้อของเล่น คือต่างประเทศอย่างเช่นเกาหลีใต้ เขาไปไกลไหนต่อไหนแล้ว วงการบันเทิงมันเป็นวงการที่สามารถสร้างรายได้ให้ได้เยอะนะ ถ้าพูดกันตามตรง ทำเงินได้เยอะไม่เป็นสองรองใครเลยถ้ามันดังเปรี้ยงทีเดียว ดูอย่างน้องลิซ่าสิคะ ศิลปินบ้านเราแท้ๆ เป็นคนไทยนะ แต่เขาไปอยู่เกาหลี ไปสร้างชื่อเสียงให้คนไทยนะคะ เนี่ยเห็นไหม ผลักดันสิ สนับสนุนสิ วงการบันเทิงบ้านเรามีอะไรบ้าง ละคร ภาพยนตร์ ศิลปินต่างๆ นานา แต่ว่าถ้าเราจะไปไกลกว่านี้ เราต้องมีงบประมาณที่ค่อนข้างสูง
ละครหรือภาพยนตร์มันไม่ใช่ว่าไม่ได้ใช้งบเลย เกาหลีเขาก็ใช้งบค่ะ แล้วงบค่อนข้างเยอะด้วย เพราะรัฐบาลเขาออกมาช่วย แต่บ้านเรามันช่วยตัวเองค่ะ ต้องช่วยตัวเองทุกเรื่อง วงการบันเทิงก็ต้องช่วยตัวเอง ผู้จัดก็ต้องมีเงินเป็นของตัวเอง มีเงินของสปอนเซอร์เข้ามาช่วยนิดๆ หน่อยๆ คนของเราเก่งมาก แต่ไปเก่งในต่างประเทศหมด ถามว่าทำไมไม่เก่งในบ้านเรา
“บ้านเราละคร หนังต่างๆ ทำออกมาได้ดี ความคิด ครีเอทีฟ คุณภาพก็ค่อนข้างโอเคเทียบเท่าสากลเลย แต่ว่าเราขาดงบประมาณ ขาดสิ่งที่มันจะสู้กับเขาได้ ถ้าเรามีงบเท่ากับเขา นั่นแหละ ผลักดันเลย อ๋อมเชื่อว่าวงการบันเทิง ยังไงก็สู้ฮอลลีวูดได้แน่นอน” อ๋อม สกาวใจกล่าวทิ้งท้าย