Indy Mania By พอล เฮง คอลัมน์ที่จะพาย้อนกลับไปในช่วงการปะทุและระเบิดของเพลงไทยนอกกระแส ในช่วงทศวรรษที่ 90s
‘ความขบถ เป็นอุดมการณ์และจุดปักมั่นของดนตรีร็อก บรรจุอยู่ในจิตวิญญาณของคนเล่นดนตรีร็อกจากอดีตสู่ปัจจุบัน และสามารถเปลี่ยนแปลงวงการเพลงหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนโลกไปสู่หลักหมายใหม่ๆ ได้
เช่นกัน 5 ปีก่อนหน้าที่ยุคอัลเทอร์เนทีฟร็อกจะบูมและกลายเป็นกระแส ‘Indy Mania’ การปรากฏกายของ ‘ปฐมพร ปฐมพร’ ในปี 2532 กับอัลบั้ม ‘ไม่ได้มามือเปล่า’ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยเพิ่มประจุปฏิกิริยาเคมีของดนตรีร็อกขบถให้ฉายออกมาเป็นรูปธรรม มากกว่าร็อคเพื่อความบันเทิงตามกระแส แต่มันคือชีวิต’
“ ….แต่ผมเห็นว่า ดนตรีร็อกสามารถสื่อได้แรง และได้อารมณ์ที่สุด มันให้ความ รู้สึกเหมือนได้ทุ่มตัวเองลงไปทั้งหมด”
“แน่นอน…. เพลงที่ผมเขียนจะต้องสื่ออะไรให้คนฟังบ้าง ไม่มากก็น้อย ผมอยากจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนในแง่ของปรัชญา ว่าทุกคนสามารถที่จะพอใจในชีวิตของตัวเองได้โดยที่ระดับความรู้แค่ไหนก็สามารถจะสร้างให้กับตัวเองได้ ผมอยากจะสื่อตรงนี้ให้มากที่สุด
เพลงที่แต่งก็อยากจะให้คนย้อนนึกไปถึงตัวเอง รู้จักตัวเองให้มากๆ นี่คือจุดที่อยากจะสร้างมากที่สุด ในการทําเพลงให้คนฟังได้มองย้อนกลับมาหาตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง พื้นฐานจริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนยังไง ต้องการจะเป็นอะไรต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้ถ้าคุณค้นหาให้เจอ คุณก็จะรู้ว่านั่นคือตัวคุณเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะถูกปลูกฝัง เค้าอยากจะเป็นอะไรก็เพราะเค้าถูกปลูกฝังมาอย่างนั้น ซึ่งผมคิดว่าชีวิตเราเราน่าจะเลือกได้เองมากกว่า ซึ่งผมคิดว่าไอเดียนี้ของผมคงจะเป็นประโยชน์กับใครได้บ้าง”
“ …..ผมยึดหลักนี้ใน การเขียนเพลง การทํางาน ผมไม่ได้เป็นนักร้องเพราะอยากดัง ผมทําเพลง ผมเจออุปสรรคค่อนข้างสูงทีเดียว ผมต้องใช้ความพยายามมากกว่าจะได้ออกเทปชุดนี้มา เพราะฉะนั้น ถ้าผมมีอะไรที่สามารถถ่ายทอดให้คนฟังได้ผมก็อยากหา สําหรับเด็กรุ่นใหม่ทุกคนที่โตขึ้นมาให้เค้ามีกําลังใจที่จะทําในสิ่งที่เค้าหวังตั้งใจให้สําเร็จ”
ส่วนหนึ่งในคำให้สัมภาษณ์ของ ปฐมพร ปฐมพร ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสารสตาร์พิคส์ (Starpics)
หากพูดถึงดนตรีร็อก ย่อมมาคู่กับคำว่า ขบถ (Rebellion) เหมือนเป็นเงาตามตัว เป็นสิ่งที่แทบจะแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะความขบถคือ หัวใจหลักทางวัฒนธรรม และแรงขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์ของแนวเพลงร็อก
แก่นแท้ของความขบถในดนตรีร็อกถือกำเนิดขึ้นในช่วงยุคทศวรรษ 1950 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการปฏิเสธและท้าทาย บรรทัดฐานทางสังคมและดนตรีที่เข้มงวดของยุคก่อนหน้า
การขบถทางวัฒนธรรมและสังคมต่อต้านคนรุ่นเก่า เมื่อร็อกแอนด์โรลกลายเป็นดนตรีของวัยรุ่นหัวขบถที่ต้องการฉีกตัวออกจากวัฒนธรรมอนุรักษนิยมของพ่อแม่ มันเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพ และความเป็นอิสระของคนหนุ่มสาว และเป็นการทลายกำแพงทางดนตรีและวัฒนธรรมในสังคมที่ยังมีการแบ่งแยก ใช้ชีวิตที่โลดโผน ไม่แยแสต่อค่านิยมสุดน่าเบื่อ แหกขนบทั้งในด้านการแต่งกาย ทรงผม หรือการแสดงออกบนเวทีที่เร่าร้อน
ความขบถแสดงออกผ่านเนื้อเพลงและเสียงดนตรีเนื้อหาที่กร้าวร้าว เนื้อเพลงร็อกจำนวนมากใช้เป็นเครื่องมือในการวิพากษ์วิจารณ์ โครงสร้างสังคม การเมือง ความไม่ยุติธรรม และโลกทุนนิยมอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาในการเรียกร้องความยุติธรรมทางสังคมและการต่อต้านระบบอำนาจผ่านพลังเสียงที่มีเสียงกีตาร์ที่ใช้เสียงแตกพร่าผ่านดิสทรอชัน เสียงกลองที่หนักแน่น และการร้องที่เกรี้ยวกราด ล้วนเป็นสุนทรียศาสตร์ที่แสดงถึง ความโกรธ และความไม่พอใจ ซึ่งเป็นพลังที่วัยรุ่นใช้ในการแสดงออก
แก่นแท้ ความขบถของดนตรีร็อกก็ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน แม้ดนตรีร็อกจะไม่ใช่ดนตรียอดนิยมกระแสหลักในโลกดนตรีอีกแล้ว แต่จุดยืนของร็อกคือการปฏิเสธอย่างจงใจต่อความคิดที่จำกัดและบีบบังคับ ความขบถในดนตรีร็อกจึงเป็น สำนึกแห่งปัญญาและการแสวงหาเสรีภาพ ที่ฝังรากลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ดนตรีสมัยใหม่
ในปี 2532 อัลบั้ม ‘ไม่ได้มามือเปล่า’ ของหนุ่มคาดหน้า มาด้วยความเป็นนักร้อง/นักแต่งเพลงร็อก ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการเพลงไทย ซึ่งมักนิยมใช้คนเขียนเพลงมืออาชีพหรือทีมเขียนเพลงแต่งเพลงให้ ปฐมพร ปฐมพร ได้นำเสนอตัวตนและมีการประนีประนอมกับตลาดเพลงพ็อปแบบนิดๆ หน่อยๆ ได้สร้างความน่าตะลึงและตื่นเต้นกับคอเพลงหัวก้าวหน้าในยุคนั้น

ห้วงเวลาต่อมา ความขบถของเขาฉายแสงโดดเด่นมากในอัลบั้มชุดที่ 2 ชุด ‘พราย’ พร้อมกับการแก้ผ้าถ่ายรูป ซึ่งถูกวิจารณ์จากสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งได้ประกาศว่าตัวเองตายไปแล้วอีกด้วย จากคำโฆษณาที่ว่า ‘ปฐมพร ตายเป็น พราย’ ในอัลบั้มชุดนี้ ทุกเพลงล้วนไม่มีชื่อ ยกเว้นเพลง พราย ซึ่งนับได้ว่าสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการเพลงไทยมาก และอัลบั้มชุดนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงตลอดมา และสร้างเอกลักษณ์เป็นแบบอย่างของ ‘เพลงพราย’เรื่อยมา
ปฐมพร ปฐมพร ได้กลายเป็นร็อกขบถในสายคัลท์ (Cult) ของเมืองไทย
สำหรับคำว่า คัลท์ ในวงการเพลงหมายถึง กลุ่มของศิลปินหรือวงดนตรีที่มีผู้ติดตาม (Fanbase) ที่อุทิศตัวภักดีอย่างยิ่ง และหลงใหลในผลงานอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าศิลปินนั้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง หรืออยู่ในกระแสหลักก็ตาม
ศิลปินเหล่านี้มักถูกเรียกว่า ศิลปินคัลท์ (Cult Artists) หรือคณะคัลท์ (Cult Bands) ลักษณะเด่นของคัลท์ในวงการเพลง ในบริบทนี้ไม่ได้มีความหมายเชิงลบเหมือนกับความเชื่อลัทธิ แต่สะท้อนถึงระดับความผูกพันและศรัทธาที่แฟน ๆ มีต่อศิลปิน คือพวกเขาไม่ได้มีความสำเร็จที่เป็นกระแสหลัก (Niche Appeal) มียอดขายปานกลางถึงน้อย ไม่มียอดขายถล่มทลายหรือขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงหลักๆ
ศิลปินคัลท์มักได้การยอมรับและยกย่องอย่างสูงจากนักวิจารณ์ คนในวงการเพลง หรือผู้ฟังเฉพาะกลุ่ม แต่เพลงของพวกเขาส่วนมากไม่ถูกนำไปเปิดในวิทยุกระแสหลัก
ฐานพลังที่สำคัญคือแฟนคลับที่ภักดีอย่างแรงกล้า มีความผูกพันลึกซึ้ง แฟนๆ จะรู้สึกว่าดนตรีของศิลปินเป็นสิ่งที่เป็นของพวกเขาเท่านั้น และเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน (Identity) ของพวกเขา ทำให้แฟนเพลงมีการอุทิศตน พวกเขาพร้อมที่จะซื้องานเพลงทุกรูปแบบ แผ่นหายาก ตามไปดูคอนเสิร์ตขนาดเล็กซ้ำแล้วซ้ำอีก และปกป้องศิลปินอย่างแข็งขัน
อิทธิพลทางศิลปะของศิลปินคัลท์มีผลต่อศิลปินรุ่นใหม่ แม้จะไม่ดังในวงกว้าง แต่คณะดนตรีคัลท์มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อแนวเพลงหรือศิลปินรุ่นหลัง ผ่านแรงบันดาลใจสำคัญ แนวคิด/สไตล์ที่ไม่ประนีประนอม: พวกเขามักจะมีเสียงเพลง, เนื้อหา, หรือภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและไม่ประนีประนอมกับอุตสาหกรรมเพลงเพื่อแลกกับความนิยม
การคงอยู่เหนือกาลเวลา อยู่ได้นานอย่างไม่มียุคสมัย ผลงานของศิลปินมักจะถูกยกย่องและค้นพบโดยผู้ฟังรุ่นใหม่เรื่อยๆ ทำให้งานของพวกเขายังคงอยู่ได้ยาวนานกว่าศิลปินพ็อปที่มาแล้วไป
ความลึกลับของศิลปินคัลท์ช่วยเพิ่มเสน่ห์ในการค้นหา ส่วนใหญ่จะปฏิเสธการสัมภาษณ์ หรือแทบไม่มีผลงานใหม่ออกมาเลย ตัวอย่างเช่น ลี มาเวอร์ส (Lee Mavers) แห่งคณะเดอะ ลา’ส (The La’s) ซึ่งยิ่งเพิ่มสถานะความเป็นคัลท์ให้กับพวกเขา ตัวอย่างคณะดนตรีคัลท์ที่มีชื่อเสียง ลักษณะความเป็นคัลท์ที่มีกลุ่มคนที่คลั่งไคล้ชื่นชมอย่างมากอย่างเหนียวแน่นเป็นพิเศษ จนเกิดเป็น ‘ลัทธิ’ การชื่นชม (cult following) นั่นคือคณะเวลเว็ต อันเดอร์กราวด์ (Velvet Underground) เป็นที่รู้จักในช่วงยุค 60s แต่ไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์เลยในขณะนั้น แต่มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อดนตรีแนวพังค์ (Punk) และอัลเทอร์เนทีฟร็อก (Alternative Rock) ทั้งหมด
อีกคนคือ เจฟฟ์ บัคลีย์ (Jeff Buckley) มีสตูดิโออัลบั้มเพียงชุดเดียวคือ ‘Grace’ ในปี 1994 ที่ไม่ได้ขายดีในตอนแรก แต่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและเสียงร้องที่โดดเด่นทำให้เขาถูกยกย่องเป็นอัจฉริยะที่หายสาบสูญ
คณะดนตรีเดอะสมิธ (The Smiths) แม้จะดังในอังกฤษ แต่ก็เป็นคณะที่มีผู้ติดตามที่คลั่งไคล้ในระดับคัลท์คลั่งไคล้จริงจังทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเนื้อเพลงและทัศนคติของของคนเขียนเพลงและนักร้องนำคือ มอร์ริสซีย์ (Morrissey)
อีกคณะดนตรีคัลท์คือ พิซีส์ (Pixies) คณะดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่สร้างแนวทางและอิทธิพลทางดนตรีให้คณะดนตรีรุ่นหลังอย่าง เนอร์วานา (Nirvana) ที่พัฒนาเป็นแนวดนตรีกรันจ์ร็อคขึ้นมาจนกลายเป็นคณะดนตรีระดับโลก แต่คณะพิซีส์เองไม่เคยได้รับความนิยมในกระแสหลักเท่ากับคณะดนตรีที่พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจ
สถานะความเป็น ‘คัลท์’ จึงเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความยอดเยี่ยมทางศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง มากกว่าความสำเร็จทางการตลาด
ในเมืองไทย ปฐมพร ปฐมพร หรือที่แฟนเพลงเรียกกันติดปากว่า ‘พราย’ คือหนึ่งในตำนานและศิลปินคัลท์ตัวจริงของวงการเพลงไทย ด้วยบุคลิกที่ลึกลับ การคาดหน้า ระบายสีทั้งใบหน้าและร่างกาย แนวคิดที่รุนแรงและลึกซึ้ง การประกาศ ‘ตาย’ เพื่อเกิดใหม่เป็น ‘พราย’ เปลื้องเปลือยร่างกายท้าทายสายตาของสังคม ทำให้งานเพลงของเขามีความโดดเด่นและเป็นเสมือนศาสดาของวงการเพลงอินดี้และอัลเทอร์เนทีฟร็อกไทย
รวมถึงงานเพลงของ ปฐมพร ปฐมพร มีความต่อเนื่องยาวนาน และมีการออกอัลบั้มในรูปแบบพิเศษ การรีมาสเตอร์ และโปรเจ็กต์คู่ ทำให้การรวบรวมอาจมีความซับซ้อน
การประกาศตัวตน จุดสำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของเขาคือการประกาศว่า ‘ปฐมพรตายกลายเป็นพราย (Pry)’ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการสลัดทิ้งตัวตนเดิม และการก้าวเข้าสู่การสร้างสรรค์ที่จริงแท้และไม่ประนีประนอม เอกลักษณ์การคาดหน้าเป็นสัญลักษณ์เด่น ซึ่งเขาเคยกล่าวว่าเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ให้กับ การทำงานที่ไม่คิดว่าจะสำเร็จได้ หรือการแสดงออกถึงการดำรงอยู่ของ ‘พราย’ ที่หลุดพ้นจากตัวตนทางโลก
แนวเพลงพราย ปฐมพร ปฐมพร โดยรวมจัดอยู่ในกลุ่มอินดี้ร็อก / เอ็กซ์เพอริเมนทอลร็อก หรือร็อคแนวทดลอง มีการใช้ดนตรีร็อกที่หม่นหมอง ซ้ำซ้อน และเน้นเนื้อหามากกว่าความไพเราะตามแบบแผนงานเพลงของ ปฐมพร ปฐมพร ไม่ได้ขายความสนุก หรือความไพเราะในเชิงพาณิชย์ แต่นำเสนอสุนทรียภาพของความจริง และจิตวิญญาณแก่นของเนื้อหา ความโดดเดี่ยวความเจ็บปวด การตั้งคำถามต่อสังคม ความเชื่อ การค้นหาความรักที่บริสุทธิ์ และการยอมรับความจริงที่โหดร้าย
บทเพลงและดนตรีของพรายมีหน้าที่รับใช้เนื้อหา โดยมักใช้เสียงที่หม่นหมอง เมโลดี้ที่วนซ้ำ หรือดนตรีที่ดูดิบและไม่ได้ขัดเกลา เพื่อสร้างบรรยากาศของความอัดอั้นและความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก พราย จึงเป็นศิลปินคัลท์ และเป็นมือที่มองไม่เห็นที่เปิดประตูยุคอัลเทอร์เนทีฟร็อกก่อนกาล…


