เรียกได้ว่ามาไทยรอบนี้ตกแฟนๆ เพิ่มขึ้นเยอะเลย สำหรับศิลปินหนุ่มชื่อดังระดับโลก เจ้าของฉายาเขยไทย “แจ็คสัน หวัง” หลังมีโอกาสมาประเทศไทยครั้งแรกในรอบปีนี้ พร้อมเดินสายโปรโมทผลงานอัลบั้ม Magic Man 2 และเพลงใหม่ GBAD ในรายการต่างๆ
FEED มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งในการสัมภาษณ์ศิลปินหนุ่ม กับการทำงานในครั้งนี้ รวมถึงการเดินทางของผู้ชายที่ชื่อ “แจ็คสัน หวัง” ในวัย 31 ปี

แจ็คสัน: ไฮ ไทยแฟน (ยกมือไหว้) พี่แจ็คนะครับ ผมแจ็คสัน หวัง ขอบคุณที่มากันวันนี้นะครับ
อยากให้พูดถึงการทำงานในอัลบั้มใหม่ Magic Man2 ?
แจ็คสัน: ก่อนอื่นเลย หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเมจิกแมนคืออะไร ‘เขาบอกว่า เมจิกแมน ไม่รู้’ (พูดภาษาไทย) ทุกคนไม่เข้าใจว่าเมคอัพในเมจิกแมนคือยังไง ถ้าต้องใช้ 2 ประโยคในการอธิบาย เมจิกแมนคือความเป็นภายในของแจ็คสัน หวัง เป็นคาแรกเตอร์ที่จะพรีเซนต์ความเป็นภายในของแจ็คสัน หวัง ออกมา และทำไมเมคอัพดูดำๆ ผมเดบิวต์ตั้งแต่อายุยังน้อยและได้ผ่านประสบการณ์มามากมายเป็นเวลากว่า 10 ปี และอยู่ในจุดที่ดำดิ่งที่สุดของเขา ช่วงเวลา 3-4 ปี ที่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความดำมืด และด้วยความที่ผมเป็นนักดนตรีเป็นผู้ทำเพลงเลยอยากให้เพลงเล่าเรื่องราวเล่านี้ให้คนได้รับรู้

อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากจะถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ผ่านเพลง ?
แจ็คสัน: จริงๆ ไม่ได้มีแรงบันดาลใจอะไรเป็นพิเศษ ผมหยุดทำงานไปเลย 1 ปี เพื่อพักผ่อนแล้วก็ใช้สิ่งเหล่านี้มาเล่าเรื่องราว ประสบการณ์ช่วง 10 ปี ในการเป็นไอดอล ทำงานแบบวันชนวันๆ ตลอด ทำให้ไม่มีเวลาที่จะมานั่งคิดเลยว่าจะมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มต่างๆ พอในช่วงเวลาว่าง 1 ปีได้มานั่งคิดว่ายังไม่เคยทำเพลงเพื่อตัวเองเลยก็เลยใช้ช่วงนี้ในการมาเล่าเรื่องราวผ่านเพลง ก็เลยมานั่งเขียนไดอารี่ มาพูดถึงความจริงเรื่องราวต่างๆ ที่เจอและเอาไดอารี่เล่านี้มาเรียบเรียงผ่านบทเพลง
เพลงล่าสุด GBAD ได้กระแสตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ทั่วโลก รวมไปถึงมีศิลปิน แฟนเพลง ได้ทำชาเลนจ์ลงโซเชียล รู้สึกอย่างไรบ้าง ?
แจ็คสัน: ขอบคุณครับ ขอบคุณที่สนับสนุนผลงานของผมและใช้แพลตฟอร์มของทุกคนเป็นตัวช่วยในการสนับสนุนผมและอยากให้ทุกคนได้รับรู้เรื่องของผมที่ส่งผ่านข้อความในเพลง
ถ้าจะใช้ประโยคจาก GBAD มาเขียนบนเสื้อยืด คุณจะเลือกประโยคไหน ทำไมถึงเลือกคำนั้น ?
แจ็คสัน: Life is great. ด้านหน้า แล้วด้านหลังก็เป็น Just gotta be a dick sometimes. เพราะว่าจริงๆ แล้วชีวิตมันดีนะ โลกนี้มันสวยงามและมหัศจรรย์ แต่ว่าในบางครั้งพอเราดีเกินไปก็ทำให้หลายๆ คนรู้สึกอยากจะล้ำเส้นเรามากเกินไป ก็ต้องเป็นปีศาจบ้าง เพื่อที่จะปกป้องตัวเราเอง“

คุณประสบความสำเร็จในทำงานหลากหลายด้าน อะไรคือแรงขับเคลื่อนในการทำงานของคุณ ?
แจ็คสัน: สำหรับผมแล้วมันไม่จำเป็นที่จะรู้สึกว่าจะต้องลุกมาทำงานในแต่ละวันเลย เพราะการทำงานในแต่ละวันเป็นสิ่งที่ผมรักอยู่แล้ว ฉะนั้นเลยไม่รู้สึกว่ามันเป็นมิสชั่นอะไรเลย แต่มันเป็นการเอ็นจอยในสิ่งที่ทำมากกว่า
รีวิว “แจ็คสัน หวัง” ในวัย 31 ปี ให้ฟังหน่อยได้มั้ย ?
แจ็คสัน: โอ้มายก๊อด! แจ็คสันในวัย 31 เป็นแจ็คสันที่รู้สึกว่ามีความมั่นใจว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่ในชีวิต รู้สึกว่าต้องเดินไปทางไหนมากกว่า เพราะว่าแจ็คสันในวัยที่อายุ 20 กว่าๆ เป็นแจ็คสันที่พร้อมจะพุ่งชนกับทุกอย่าง ทำทุกอย่างไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนว่าควรจะไปทางไหนหรือควรทำอะไรดี แต่พอในวัยที่ 30 ขึ้นมาแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าอะไรคือสิ่งที่ควรจะตัดทิ้ง อะไรคือสิ่งที่ควรไปต่อ แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้หลังจากอายุ 30 ก็คือรู้สึกว่าการฟื้นฟูของตัวเองมันน้อยลง ปกติผมจะสามารถร้องเพลงและเต้นได้อย่างไม่เหนื่อย แต่พออายุขึ้น 30 แล้ว เต้นๆ ร้องๆ นิดหน่อยก็จะรู้สึกเหนื่อย ทำให้แตกต่างจากตอนที่เป็นหนุ่มๆ (แต่ก็ยังหล่อเหมือนเดิม?) นั่นเป็นเพราะผมทำทรีตเมนต์ครับ ยกกระชับหน้าด้วย ผมทำมาเยอะ ไม่ง่ายนะจริงๆ (หัวเราะ) แต่มันก็แตกต่างจากตอนอายุ 20 อยู่ดี เมื่อก่อนคือสามารถที่จะดื่ม แล้วนอน 2 ชั่วโมงก็ลุกขึ้นไปทำงานได้เลย แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ครับ“

รู้ใช่ไหมว่าคุณได้ฉายาว่าเป็น “เขยไทย” ?
แจ็คสัน: ใช่ครับ ผมได้ยินคำนี้มาจากรายการโหนกระแส ผมเข้าใจความหมายของมัน แต่ผมว่ามันเป็นมุข มันไม่ใช่เรื่องจริง
มาเมืองไทยครั้งนี้ได้เรียนภาษาไทยเพิ่มไหม ?
แจ็คสัน: ผมได้ไปเรียนภาษาไทยมา แต่เป็นคำที่ไม่สามารถพูดหน้ากล้องได้ เพราะเป็นคำที่เอาไว้ใช้พูดในเวลาที่รู้สึกโกรธ เลยพูดตอนนี้ไม่ได้
หลังจากนั้นนักข่าวได้สอนภาษาไทย แจ็คสัน 2 ประโยคคือ “ทำเป็นเล่นนะครับ” และ ”คิ้วส่งหน้า หน้าส่งชุด ชุดส่งคน คนส่งยิ้ม“ เรียกได้ว่านักเรียนคนนี้เรียนรู้ไวมาก พูดชัดแบบมีอินเนอร์ภายในเวลาไม่กี่วินาที ก่อนจะพูดกับทุกคนว่า ”ง่ายมากๆ“

ฝากผลงานให้กับแฟนๆ ชาวไทยหน่อย ?
แจ็คสัน: ผมไม่ได้อยากที่จะโปรโมตอัลบั้มใหม่ตอนนี้ แต่ผมมีข้อความที่อยากจะฝากถึงแฟนๆ ทุกคนว่า จริงๆ แล้วโลกใบนี้มันโกลาหลวุ่นวายมาก ชีวิตเราก็ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย บางครั้งมันอาจจะทำให้เราลืมไปว่าเราต้องรักตัวเองด้วย ฉะนั้นบางครั้งที่เรายอมเป็นคนไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวบ้าง มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะผมอยากให้ทุกคนรักตัวเองมากขึ้น ในฐานะที่ผมเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ ผมก็อยากทำหน้าที่มอบความสุขและรอยยิ้มให้กับทุกคน เวลาที่ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จกลับมาแล้วมองมาที่ผม ผมก็จะรู้สึกว่ามีความสุขมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นทุกคนอย่าลืมรักตัวเองมากๆ ด้วยนะครับ