เมษายน 2023 ภาพยนตร์ไทย “HUNGER คนหิว เกมกระหาย” เพิ่งทำหน้าที่ “ลบ” ความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า คอนเทนต์ไทยทำยังไงก็ไม่ปังบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเบอร์ใหญ่อย่าง Netflix ด้วยการติดอันดับ Top ทั้งในเมืองไทย และอีกหลายๆ ประเทศที่ฉาย
28 มิถุนายน 2023 ซีรีส์สัญชาติไทยแท้ Delete ก็ได้กระทำการ กดชัตเตอร์ “ลบ” คำสบประมาท ประกาศความสำเร็จในการออกอากาศเรื่องราวทั้ง 8 ตอนให้ผู้ชมในไทย และอีก 190 ประเทศได้สัมผัสถึงความสนุกในการเล่าเรื่อง คุณภาพ มาตรฐานงานผลิตที่สะท้อนความความตั้งใจในการทำงานของ “ทีม Delete” ได้เป็นอย่างดี
โปรเจกต์ซีรีส์ Delete ได้รับความสนใจและถูกคาดหวังสูงมาตั้งแต่เปิดตัว โดยมี โอ๋-ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ เขียนบทและกำกับการแสดง (มีเครดิตล้นเหลือมาจากงาน ชัตเตอร์ : กดติดวิญญาณ, โฮมสเตย์) พร้อมกับการโปรโมตว่าเป็นซีรีส์แนว ดราม่า-ระทึกขวัญ-สืบสวนสอบสวน ที่เข้มข้นระทึกใจ ชวนให้ติดตาม
และเมื่อได้รับชมครบทั้ง 8 ep สำหรับผู้เขียนถือว่า Delete ตอบโจทย์ในแง่ความสนุก ตื่นเต้นได้บรรยากาศ อารมณ์ที่อึดอัด ลุ้นระทึก ความรู้สึกหวดระแวง ไม่น่าไว้วางใจของผู้คน สถานที่ ฯลฯ
แน่นอนว่ามันไม่สมบูรณ์แบบถึงขั้น ใหม่,ล้ำ ไม่เคยพบเจอมาก่อน ยังมีรูโหว่ ช่องว่างจากบทบางช่วง ความไม่น่าจะเป็นในหลายๆ ทาง หรือนักวิจารณ์ , บทรีวิว จำนวนหนึ่งก็มองว่ามันยังไปไม่สุดซักทางหนึ่ง หรือถึงขั้น “อิหยังวะ” กับบทสรุป(ที่เปิดกว้าง) ใน ep 8
แต่เมื่อเอาองค์ประกอบหลายๆ ชิ้นมาวางเรียงกันแล้วพิจารณาในองค์รวม ผู้เขียนยังคงกล้าที่จะอวยว่านี่คือซีรีส์ไทยที่ทำออกมาได้ไม่อายใครเขาจริงๆ (คือยังไม่ต้องไปถึงขนาด ว้าว! เทียบชั้นหรือแซงหน้าคอนเทนต์จาก ญี่ปุ่น เกาหลี หรืองานของฝรั่ง)
1.บท-เนื้อหา เมื่อคนกลุ่มหนึ่งค้นพบว่ามีโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง สามารถ กดชัตเตอร์ถ่ายแล้วลบคนคนนั้นให้หายไปจากโลกได้ (คล้ายๆ สมุด Death Note ที่ชื่อใครลงไปในสมุด คนนั้นจะต้องตาย) … พวกเขาจะเลือกใช้งานมันไปเพื่ออะไร นั่นคือบิ๊กไอเดียที่ โอ๋-ภาคภูมิ เลือกเอามาใช้เป็นแกน บนสมมติฐานว่า ทุกคนต่างมีเรื่องลับ เรื่องร้าย เรื่องลวง ที่ไม่อยากให้ใครรู้ แล้วถ้าลบคนคนนั้นไป ความลับ-เรื่องร้ายๆ ที่เคยทำไว้ก็จะไม่มีใครรู้…ตลอดไป
โทรศัพท์วิเศษ (หรือโทรศัพท์อาถรรพ์) นั้น พาเราไปรู้จักคนที่เคยเกี่ยวข้อง หญิงชาย 2 คู่ เอม-อร, ทู-ลิลลี่ ที่ความสัมพันธ์ซับซ้อน แอบซ่อน เริ่มสร้างปัญหาให้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในนั้นคือ ลิลลี่ เป็นผู้ค้นพบ โทรศัพท์ที่ว่า และลบเด็กหญิงคนหนึ่งไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
เรื่องลุกลามเลยเถิดเตลิดมากขึ้นเรื่อยๆ ความคิดที่จะเอาโทรศัพท์วิเศษ นั้นไปแก้ปัญหาความสัมพันธ์ โดย “ลบ” คนที่ไม่ต้องการออกไปเสีย ขณะที่ พ่อของเด็กที่ ลิลลี่ ลบไปเป็นคนแรกก็ออกตามล่าหาโทรศัพท์ด้วยความอยากได้ลูกกลับคืนมา
จากนั้นซีรีส์ก็นำพาผู้ชมไปสำรวจปมปัญหาในครอบครัวของ ทู-ลิลลี่ อันมี จูน(น้องของ ทู) เด็กวัยเรียนที่มีปมความสัมพันธ์ภายในครอบครัว พร้อมทั้งแตะไปถึงปัญหาภายในสถานศึกษา ขณะที่อีกฟากหนึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวของ เอม-อร และครอบครัวของอร ที่ก็เหลือแค่ความสัมพันธ์ที่เคยดี อันเนื่องเพราะ ความลับ-ความลวง ที่เขาพยายามวิ่งหนี หรือหาทาง “ลบ” มันออกไปเสีย
เทคนิคในการเล่าเรื่องมีทั้งเนิบช้า และกระชากอารมณ์ แต่ที่น่าชื่นชมความการสร้างคาแรคเตอร์ที่เหมือนชัด เหมือนจะคลุมเครือให้กับตัวละครคู่ขนานกันไปตลอด จนผู้ชมต้องตั้งสติว่า กำลังโดนลากไปเพื่อสับขาหลอกอยู่หรือไม่ บรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ ชวนให้หวาดระแวง เป็นสิ่งที่โดดเด่นจริงๆ สำหรับบทซีรีส์เรื่องนี้
2.งานโปรดักชั่น ภาพ,เสียง,โทนสี, องค์ประกอบภาพที่เกิดขึ้นตลอดทั้ง 8 ep คู่ควรที่จะได้รับคำชื่นชม เพราะเชื่อว่าแต่ละช็อต แต่ละซีน น่าจะถูกออกแบบ, เก็บรายละเอียด อย่างพิถีพิถัน คุมโทนที่หม่นมืด ซึ่งไปด้วยกันเป็นอย่างดีกับเรื่องราวที่เล่าถึง “ด้านมืด” ของแต่ละตัวละคร ที่มีความมุ่งหมาย มีความบกพร่อง แตกต่างกันไป
แม้จะมีการใช้แสงน้อย (คือมืดมาก) ในบางซีน แต่ก็จะมีรายละเอียดของซาวด์ เข้ามาสนับสนุนให้ชมได้อย่างมีอรรถรส (และต้องใช้จินตการบ้าง) ถือว่างานด้านภาพคุมโทนได้แบบอยู่มือ เราแทบไม่เห็นฉากไหนเลยที่สดใส หรือเป็นไปในอารมณ์เบินบาน เช่นเดียวกับองค์ประกอบในแต่ละช็อต แต่ละเฟรม มีความอาร์ตประมาณหนึ่งเลยก็ว่าได้(ชอบซีนในห้องจัดแสดงภาพ, ริมบึงน้ำ, ภายในโรงเก็บม้า) การเลือกใช้มุมภาพที่นักแสดงต้องถ่ายทอดด้วยสายตา, ภาษากาย ถูกคิดและออกแบบมาเป็นอย่างดี
เช่นเดียวกับ ภาคการบันทึกเสียงที่ยอดเยี่ยม เก็บรายละเอียดไปเสียทุกสิ่ง บวกกับดนตรีประกอบที่เสริม, เร้า ให้ตื่นเต้นระทึกใจ หรือรู้สึกดิ่ง เคว้ง ไปในสถานการณ์ และผลที่เกิดขึ้นกับตัวละครแต่ละตัวที่มีชะตากรรมอันน่าสลดใจ
3.ภาคการแสดง นี่คือการรวมยอดฝีมือร่วมสมัย ตัวท็อปของ GDH ถูกระดมกันมาทั้งหมดก็ว่าได้ และคงต้องให้เครดิต ผู้กำกับการแสดง ที่ดึงศักยภาพของแต่ละคนออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสม ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป
โดยส่วนตัวแล้ว ชอบ ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ (รับบท : ทู) มากที่สุด นอกจากจะทำให้เราเชื่อในรูปลักษณ์ความเป็น “ไฮโซทู” ทายาทเศรษฐีเจ้าของฟาร์ม (ซึ่งต้องมีความร้ายลึกแบบใดแบบหนึ่ง) แล้ว เขาสามารถทำให้เราสับสน แคลงใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบว่าลึกๆ แล้วเขาคือคือพวก ทรงแบด โหด จิต ไร้เหตุผล หรือเป็นพวกนิ่ง เหนือชั้น รักลึกหมดใจแต่ไม่แสดงออก
ที่ชอบมากคือการแสดงด้วยสายตา บนหน้านิ่งๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลามองไปที่ผู้หญิงของเขา (ที่ใจไปเป็นอื่น) เราเห็นทั้งแววตาที่ทั้งรัก ทั้งแค้น ปะปนกันอย่างแยกไม่ออกเลยก็ว่าได้
คนที่เหนือความคาดหมายจริงๆ คือ ชาร์เลท วาศิตา แฮเมเนา (รับบท : จูน) น้องสาวของไฮโซทู มีที่มาคลุมเครือ เป็นนักเรียนโรงเรียนประจำที่เต็มไปด้วยปม และบาดแผลมากมาย ถือเป็นคาแรคเตอร์ที่ซับซ้อนมากพอดู มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์ที่ซับซ่อน-แอบซ่อน กับ ลิลลี่ พี่สะใภ้ อีกต่างหาก
วิธีการถ่ายทอดอารมณ์ของ ชาร์เลท ทำออกมาได้ดีมากจนเราพร้อมจะอินตามไปในช่วงที่เธอโกรธ, อิจฉา, สะใจ, สับสน, เจ็บแค้น ไปจนถึงแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่เหมือนจะเริ่มเปลี่ยนปรับไปเมื่อมีองค์ประกอบดีๆ เข้ามาในชีวิต
ในส่วนของ นัท ณัฏฐ์ กิจจริต (รับบท : เอม) กับคาแรคเตอร์นักเขียน เเละคอนเทนต์ครีเอเตอร์คนดัง ที่ชีวิตเหมือนจะสมบูรณ์พร้อม เติบโตมีที่ทางในงานอาชีพ มีคู่ชีวิตเป็น ช่างภาพสาวมาดเท่ แต่เหมือนเดินผิดทางไปกับความสัมพันธ์แบบคบซ้อน กับคนที่มีครอบครัวแล้ว (ลิลลี่) นั่นนำสู่การพังทลายของโครงสร้างกลวงปลอมที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่ง นัท ณัฏฐ์ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติ โดยเฉพาะในพาร์ทของคนมุ่งมั่นต่อความรักและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
ฟ้า ษริกา สารทศิลป์ศุภา (รับบท: ลิลลี่) ก็ถือเป็นนักแสดงที่อยู่ในมาตรฐานที่ดี ตอบโจทย์ในบทของหญิงสาวผู้สับสนกับชีวิตคู่ ชีวิตชู้ และต้องแบกรับความเจ็บปวดในหลายๆ มิติ
ในขณะที่ ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง (รับบท : อร ช่างภาพสาวแฟนของ เอม) และ เจ้านาย จินเจษฎ์ วรรธนะสิน (รับบท: โต้งเพื่อนนักเรียนของ จูน) ก็นำเสนอคาแรคเตอร์ที่รับผิดชอบได้เป็นอย่างดี ติดอยู่ตรงที่บท และจำนวนนาทีที่ได้แสดงออกจะน้อยไปสักหน่อย
ท้ายสุด ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม (รับบท : ณิชาติ นายตำรวจผู้เข้ามาสืบคดี) นั้นคงไม่ต้องพูดถึงอะไรมากนัก หลังจากสนุกสนานกับการเป็นเชฟพอล ใน Hunger แล้ว รอบนี้กลับมารับบทนายตำรวจที่เข้ามาพลิกเส้นเรื่องในช่วง ep ท้ายๆ ได้อย่างดุเดือด เข้มข้น และไม่น่าแปลกใจโปรเจกต์ใหญ่ๆ มักจะเรียกหานักแสดงคนนี้เสมอ
ทั้งหมดนั้นคือองค์ประกอบที่ทำให้ Delete คุ้มค่ากับการติดตามชม และวันนี้ เข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเองได้แล้วใน Netflix