สวยสมมงอย่างไร้ที่ติ จนได้ใจแฟนนางงามทั่วประเทศไปแล้ว สำหรับ “กานต์ ชนนิกานต์ สุพิทยาพร” นางสาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2566 คนที่ 54 ของเวทีนางสาวไทย นับตั้งแต่เริ่มจัดการประกวดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477
FEED มีโอกาสได้สัมภาษณ์พูดคุยกับ กานต์ ชนนิกานต์ หลังจากรับตำแหน่งในค่ำคืนวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ถึงเส้นทางในวงการนางงามที่กว่าจะมาถึงความสำเร็จครั้งนี้เธอผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เธอมาประกวดครั้งนี้ ที่ถึงกับทำให้กานต์ ชนนิกานต์ ร้องไห้ออกมาระหว่างพูดคุย
สวัสดีค่ะ กานต์นะคะ ชนนิกานต์ สุพิทยาพร นางสาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2566 ค่ะ ดีใจมากๆ เลยค่ะกับตำแหน่งนางสาวไทยที่ได้รับ กานต์รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนจังหวัดเชียงใหม่ แล้วที่สำคัญคือเราได้นำภาษามือหรือว่านำเสียงของน้องๆ ผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินขึ้นไปกับเราด้วย
คำถามไปสู่มง
กานต์ ชนนิกานต์ : พูดจากใจเลยว่าเราพูดจากประสบการณ์โดยตรงของตัวเองว่า การเป็นผู้นำหญิงของเรา ทำไมมันถึงสามารถที่จะสร้างอิมแพคได้ คือจริงๆ ทุกเพศเป็นผู้นำได้หมดเลยนะคะ แต่กานต์มีเวลาสั้น กานต์เลยเลือกตอบเฉพาะของเพศหญิงก่อน ผู้หญิงของเราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน อย่าไปจำกัดเพศเลยค่ะ ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศอะไรคุณทำได้หมดเลยนะคะ ในการที่จะเพิ่มการสื่อสาร วางคนให้ถูกกับงาน ผู้นำจึงเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะทำให้ปัญหาหลายอย่างลดลงได้ เพราะว่าเขาคือคนที่จะบริหารจัดการ ผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งทุกด้าน แต่คุณต้องเป็นคนที่สามารถรวบรวมทุกๆ คนเข้ามาทำงานตรงนี้ให้สำเร็จ โดยใช้การสื่อสารหรือการประสานงานต่างหาก ซึ่งจริงๆ แล้วคำตอบนี้ถ้ามีเวลามากกว่านี้ หนูคงจะสามารถสื่อสารได้กว้างกว่านี้มากๆ ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของแค่เพศหญิงจริงๆ หลายๆ เพศที่ถูกกีดดันหรือว่ามันไม่ควรจะมีการกีดกันเกิดขึ้น เพราะว่าถ้าหากคนเรามีความรู้ความสามารถเพียงพอ ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นได้ ผู้นำก็เหมือนกันค่ะ
ในวันงานมีทั้งเพื่อนเภสัชของเรา แล้วก็มีน้องๆ ที่เป็นทีมผู้นำกับเราด้วย เราทัชกันมาก เพราะว่าสิ่งที่เราพูดคือสิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญ เพราะตำแหน่งผู้นำเป็นตำแหน่งที่มันรับแรงกดดันแบกความเครียดสูงมาก ต้องแบกรับความเสี่ยงหลายๆ อย่าง แล้วยิ่งเป็นของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กิจกรรมเราเยอะมาก ดูแลคนหลายหมื่นคน เราไม่ได้ทำแค่เบื้องหลังในการจัดกิจกรรม แต่เราต้องทำเบื้องหน้าที่สามารถสื่อสารทุกอย่าง โครงการทุกอย่างของเราออกไปให้ได้ ไม่งั้นนักศึกษาจะไม่มีความเชื่อมั่นในผู้นำนักศึกษาเลยค่ะ ดังนั้นมันเลยทำให้มันอิมแพคมาก
จากเด็กชอบทำกิจกรรม สู่เวทีนางงาม
กานต์ ชนนิกานต์ : ถ้าเล่าย้อนไป คือกานต์ไม่ใช่สายนางงามเลย กานต์เป็นเด็กกิจกรรมเบื้องหลังมาตลอด แล้วก็เราไม่ได้มั่นใจรูปลักษณ์ภายนอกของเรามาก ว่าเราสวยหรือเราเด่นอะไรอย่างนี้ค่ะ พอว่าพอเรามีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน เราก็อยากที่จะทำกิจกรรมค่ะ เพื่อพัฒนาความสามารถด้านอื่นของเราให้มันกลายเป็นคนเก่ง จะได้ดูแลครอบครัวได้ มันก็เลยทำให้เหมือนเราคว้าโอกาสมาได้เรื่อยๆ แล้วมันกลายเป็นว่าการคว้าโอกาสในแต่ละครั้ง มันเป็นโอกาสต่อโอกาส จากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง เรียนเภสัช แล้วก็เริ่มแข่งขันวิชาการ เริ่มเป็นหลีดมอ หลีดคณะ พัฒนาบุคลิกภาพขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นยุวชนประชาธิปไตย มาถึงการลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกสโมสรนักศึกษาทำให้มีคนเห็นเรามากขึ้น โอกาสมันเลยวิ่งเข้าหา มีคนเห็นแววเรา ก็เลยให้โอกาสว่าไปประกวดนางงามกันไหม
เราก็รู้สึกว่า เออ ลองดูก็ไม่เสียหาย แล้วพอเราเริ่มประกวดได้เวทีนึง ก็สร้างรายได้พิเศษหลังจากที่เราเรียนไปด้วยได้ ก็เลยสนใจแล้วก็เริ่มจะตั้งใจมากขึ้น พยายามมากขึ้น เพื่อให้เราเหมาะสมกับแต่ละที่ให้มากที่สุด มันก็เลยทำให้เราเข้าสู่วงการนางงามจนได้ ไม่ได้ว่าตั้งเป้าหมายตั้งแต่แรกค่ะ
เวทีแรกตอนนั้นที่เป็นครั้งแรกเลยคือ เป็นการประกวดแอมบาสเดอร์ของธนาคารนึงค่ะ ประกวดแนวใสๆ เป็นเหมือนกับแอมบาสเดอร์ของวัยใสนักศึกษา มีการแสดงความสามารถพิเศษ ก็เลยทำให้พี่เลี้ยง ณ ปัจจุบันของเราไปเจอ แล้วก็เลยติดต่อเราว่าอยากจะดูแล ส่งประกวดต่อ ก็คุยกับแม่เราคุยกับเราหลายรอบ เหมือนกัน กว่าจะได้มาจับพลัดจับผลูลงประกวดนางงามอย่างจริงจังค่ะ ซึ่งเวทีนางงามเวทีแรกของหนูเป็นนางสาวเชียงรายก่อนค่ะ ปี 2563 แล้วก็มาเป็นนางสาวเชียงใหม่ปี 2564 จนมาถึงประกวดเป็นนางสาวไทยจังหวัดเชียงใหม่ปี 2566 แล้วก็ได้เป็นตัวแทนจังหวัดเชียงใหม่มาประกวดในนางสาวไทยปี 2566 ค่ะ
“นางสาวไทย” เวทีแห่งความใฝ่ฝัน
กานต์ ชนนิกานต์ : โห ใช่เลยค่ะ เพราะว่าจริงๆ กานต์ก็เคยประกวดเดินสายมาก่อน เพราะว่าเก็บรายได้มาเรื่อยๆ ใช่ไหมคะ นางสาวไทย ก็เหมือนเป็นเวทีนึงที่เป็นเหมือนความฝันสูงสุดของผู้หญิงไทย แม่กานต์เองนี่แหละค่ะที่ใฝ่ฝันเลยว่าอยากให้ลูกสาวเป็นนางสาวไทย แต่ว่าทีนี้ก็มีหลากหลายคนที่อยากให้เราไปส่งต่อระดับโลกเลย ก็เลยพยายามมองหาจังหวะ ซึ่งจังหวะนี้มันกำลังดีมากๆ ในการประกวดปีนี้
แพชชั่นและแรงบันดาลใจสำคัญ
กานต์ ชนนิกานต์ : จุดเริ่มต้นในการเลือกลงประกวดนางงามของกานต์ คือกานต์อยากจะดูแลครอบครัวให้ได้ ให้ครอบครัวมีความสุข แล้วก็ภูมิใจในตัวกานต์ มันเลยเป็นการที่ทำให้เราตัดสินใจทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเอง แล้ววิธีการประกวดของนางงามก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำให้กานต์พัฒนาตัวเองได้ แต่เมื่อเราประกวดเวทีใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเวทีปัจจุบัน มันไม่ได้พัฒนาแค่ตัวเองแล้วค่ะ แต่เราสามารถสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้ ให้กานต์สามารถทำอะไรเพื่อสังคม แล้วยิ่งเรามีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนคือน้องๆ ผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน รวมถึงกลุ่มอื่นๆ มากมายที่มีความบกพร่องเหมือนกัน มันยิ่งทำให้กานต์เหมือนเติมแพชชั่นในการประกวดเข้าไปอีก
ว่าเราไม่ได้แค่พัฒนาตัวเองแล้วนะ แต่เราทำเพื่อคนอีกหลายๆ คนเลยที่เขายังขาดโอกาสอยู่หรือแม้กระทั่ง น้องๆ อาจจะไม่ได้มองว่าตัวเองด้อยกว่าใครเลยนะคะ แต่เขาแค่อยากขอพื้นที่ให้เขาได้แสดงศักยภาพให้เขามีพื้นที่ได้เท่าเทียมกับทุกๆ คนเท่านั้นเอง กานต์ก็เลยรู้สึกว่าในอนาคตมันเลยจะเป็นแพชชั่นมันจะมากกว่านี้อีก ถ้าเกิดว่าคนทั้งโลกสามารถรับสารที่กานต์อยากจะสื่อตรงนี้ไปได้
มันเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้กานต์ประทับใจมากๆ เลยคือ วันนั้นเราทำกิจกรรมเพ้นท์เสื้อกัน แล้วน้องเดินมาบอกกานต์เป็นภาษามือว่า พี่กานต์ช่วยนำผลงานของหนูไปสู่ระดับประเทศหรือว่าระดับโลกได้ไหม มันก็เลยทำให้เราทัชมากว่า สิ่งที่เราเลือกที่จะทำมันเป็นสิ่งที่น้องต้องการจะทำจริงๆ (เสียงสั่น) เรารู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองมาก เพราะว่าตอนกานต์ลงนางสาวไทย กานต์ไม่พร้อมเลยค่ะ เพราะว่ากำลังเรียนอยู่แล้วก็เรียนหนักมาก แต่ว่าพอเห็นน้องๆ ภาพมันชัดมาก เพราะว่าขนาดน้องๆ มีข้อจำกัดที่เขาเลือกเกิดไม่ได้ เขายังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของเขาเลย (น้ำตาคลอ) แล้วเขาก็พยายามทำทุกๆ อย่าง หนูรู้สึกว่าเนี่ยคือน้องเขาไขว่คว้าหาโอกาส แล้วทำไมกานต์ถึงจะไม่ทำ กานต์ก็เลยมาลงประกวดนางสาวไทย
กานต์ ชนนิกานต์ สุพิทยาพร
เราก็เลยทำแรงบันดาลใจตรงนี้ของน้องๆ เข้ามาเป็นแรงผลักดันสำคัญของกานต์ที่จะลงประกวดในครั้งนี้ แล้วกานต์จะต้องชนะให้ได้เพื่อทำให้เสียงตรงนี้มันดังมากๆ มันก็เลยทำให้เราเลือกที่จะทำโครงการกับน้องๆ กลุ่มนี้ เป็นโครงการที่มีชื่อว่า Impossible อย่าให้ข้อจำกัดที่เราเลือกเกิดไม่ได้ มาขีดเส้นความสามารถของเรา
ประสบการณ์ที่ได้จากการประกวดนางงามตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
กานต์ ชนนิกานต์ : อย่างแรกเลยคือนางงามทำให้กานต์ก้าวออกจากเซฟโซนของตัวเองค่ะ การที่เราเป็นเด็กกิจกรรมมันทำให้เรารู้จักคนมาก เรามีประสบการณ์ด้าน Emotional Intelligence (ความฉลาดทางอารมณ์) เป็นการจัดการเรื่องของอารมณ์แล้วก็ความเครียดของเรา เราทำงานได้โอเค แต่ว่าเมื่อเราต้องสื่อสารให้กับคนข้างนอกได้รู้จักมากขึ้น ความประทับใจแรกเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เราได้นำทักษะในการประกวดนางงามมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เลยว่า เวลาเราจะทำงานกับคน เราจะเข้าหายังไง เพื่อให้งานมันเกิดขึ้นมาได้อย่างนี้ค่ะ นางงามก็เลยเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้กานต์สามารถมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น การพูดของกานต์สามารถเข้าถึงคนได้มากขึ้น สารหรือโครงการที่เราเคยทำมา ก็สามารถส่งถึงคนผู้ชมได้มากขึ้นเหมือนกัน นางงามเลยสอนอะไรหลายๆ อย่างมาก เพราะว่านางงามสมัยนี้เราไม่ได้ประกวดแค่ความสวย แต่เรามีคุณค่ามากกว่านั้น ในการที่จะสร้างอิมแพคหรือว่าสร้างการเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)