มีผลงานสร้างชื่อเสียงออกมาให้ได้ติดตามกันอยู่บ่อยครั้ง และโด่งดังแทบทุกเรื่องสำหรับพระเอกหนุ่ม “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” ที่ล่าสุดได้พลิกบทบาทครั้งยิ่งใหญ่ในการรับเล่นละครเรื่อง “คุณชาย” จนเจ้าตัวถึงกับต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตที่เคยแสดงมา
FEED ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์พระเอกหนุ่ม เกี่ยวกับการทำงานในวงการบันเทิง รวมถึงอัพเดทชีวิตส่วนตัว ที่แว่วมาว่ากำลังปลูกต้นรักศึกษาดูใจกับสาวนอกวงการอยู่
ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง
สำหรับผม ผมถือว่าเป็นช่วงที่เป็น chapter ใหม่ของชีวิต อีก chapter หนึ่ง คือผมเปลี่ยนสีผม ผมได้ทำอะไรที่ผมไม่เคยทำแล้วอยากทำมานานแล้ว แล้วมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น มีเวลาให้กับตัวเอง ให้กับครอบครัวมากขึ้น
8 – 9 ปีในวงการบันเทิง เปลี่ยนความคิดเรายังไงบ้าง
ก็โตขึ้นครับ เรียนรู้อะไรมากขึ้นแต่จุดเปลี่ยนจริงๆ คือปีนี้ที่เป็นช่วงที่ทำงานหนักมาก แล้วก็มาเริ่มอ่านหนังสือ ความคิดผมเปลี่ยนจากการที่ได้อ่านหนังสือเยอะขึ้น เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ มันทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น พอเรามานั่งตกผลึกจริงๆ เราจะเข้าใจเลยว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งเร้ารอบข้างได้ เราไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นๆ ได้ สิ่งเดียวที่เราสามารถเปลี่ยนได้คือความคิดตัวเราเอง แล้วความสุขจริงๆ มันสามารถหาได้จากทุกอย่าง ทุกวินาที ที่เกิดขึ้นในชีวิต อยู่ที่ว่ามุมมองเรามองว่าอันนั้นคือความสุขหรือความทุกข์ ผมก็ยังอยากที่จะประสบความสำเร็จขึ้นไปเรื่อยๆ ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องสุขภาพ ก็ยังเป็นแบบนั้น
พอมีชื่อเสียง มีคนโฟกัสเยอะขึ้น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม
ผมรู้สึกว่าอะไรที่มันคือความสุขเรา เมื่อก่อนอะไรที่มันสร้างความสุขเราได้ ทำไมเราต้องละทิ้งไปผมคิดแค่นั้น มีคนเข้ามาพูดแต่ไม่มีผลกับชีวิต บางคนบอกทำไมขับรถแค่นี้เป็นพระเอกแล้ว มีเงินแล้ว ทำไมยังขับรถแบบรถญี่ปุ่น ไม่ขับรถยุโรปเพิ่มเงินอีกไม่เท่าไหร่ ผมสบายใจแบบนี้อ่ะ ผมยังกินข้าวกอง ยังชอบไปกินอาหารข้างทางกับเพื่อน ร้านไหนที่เป็นร้านโปรดตอนเด็กๆ ก็ยังชอบไป ก็เมื่อก่อนมันเป็นของอร่อยแล้วมันเป็นของที่ถูกใจ แล้วทำไมเราจะกลับไปกินไม่ได้อ่ะ ผมแค่ใช้ชีวิตอยู่ตามพื้นฐานของความสุขตัวเอง
ช่วงนี้มีอุปสรรคที่ต้องผ่านไปให้ได้ไหม
ผมขอเปลี่ยนจากคำว่าอุปสรรคเป็นโอกาสดีกว่า มันอยู่ที่มุมมองเราไง ผมแค่เปลี่ยนจากคำว่าสิ่งที่เราจะเผชิญคืออุปสรรค ผมเปลี่ยนคำว่าอุปสรรคที่พี่ใช้เป็นคำว่าโอกาส ผมเลยไม่แบก ผมไม่แบกอะไรเลย ผมก็แค่รู้สึกว่ามันคือโอกาสที่เราจะพัฒนาตัวเองมากขึ้น มันคือโอกาสที่เราจะได้เก่งขึ้น มันคือโอกาสที่เราจะได้พิสูจน์ตัวเอง
เรื่องความรักเป็นไงบ้าง
ปีนี้ผมก็จะเข้าเลข 3 อยู่แล้วนะ การที่ผมจะมีความรักผมก็ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แปลก เดียวสักวันก็ต้องมีครอบครัว ก็ไม่ได้ปิดตัวเอง ผมพูดเสมอว่าผมไม่ได้ปิดตัวเอง แต่ว่าเราแค่ตามหาคนที่เราอยู่ด้วยแล้วเราสบายใจจริงๆ บางคนอยู่ไปสักพักก็จะเริ่มรู้สึกมีบางอย่างที่เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ทั้งๆ ที่เราทั้งสองคนได้พยายามแล้วอะไรแบบนี้ สถานะก็มีคนคุยอยู่ ก็ไม่ได้ปิดครับ ถามว่าใครใช้คำว่าเป็นคนนอกวงการ ก็พึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ก็ลองๆ เปิดใจดูแค่นั้น ก็ศึกษากันไปเรื่อยๆ ไม่อยากพูดอะไรเยอะ เพราะว่ายังรู้จักกันได้ไม่นานมาก แต่ว่าจากที่ได้คุยกันจากที่ได้แบบเปิดใจคุยกัน ลองไปเจอกันอะไรแบบนี้ เรารู้สึกว่าเราไปด้วยกันได้ แต่ผมว่าอะไรพวกนี้มันก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์
มาที่ละครคุณชาย เรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง
สำหรับผมอ่ะเป็นละครอีกหนึ่งเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิต และเป็นละครที่เครียดที่สุดในชีวิตผม ด้วยบท ไม่นับความเป็น LGBTQ+ อันนี้ผมไม่ได้เครียดตรงนั้น แต่ด้วยบทของตัวละคร ด้วยพล็อตเรื่องของตัวละคร เป็นเรื่องที่แบบเป็นละครดราม่า เป็นละครครอบครัวที่แบบดราม่าแบบจัดที่สุดตั้งแต่เคยเล่นละครมาผมใช้คำนี้เลย มันเลยทำให้ผมเครียดมาก แต่มันคือละครที่พิสูจน์อะไรหลายอย่างในชีวิตมาก มันคือโอกาสที่ทำให้ผมได้โตขึ้นไปอีกหนึ่งสเต็ปว่าแบบคุณจะทำมันได้ดีแค่ไหน หนึ่งคือคุณไม่ใช่พระเอกแล้วอ่ะ แล้วคุณก็ไม่ใช่ผู้ชายแล้ว คุณเป็น LGBTQ+ คือความรู้สึกที่คุณมีต่อผู้หญิงก็ไม่ใช่ ไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกที่คุณมีต่อผู้ชายก็เปลี่ยนไป จากตัวเราพูดถึงตัวเรานะครับ นอกจากการทำการบ้านในเรื่องของความเป็น LGBTQ+ มันคือยุคสมัยที่มันเป็นเรื่องต้องห้าม และเราเกิดเป็นลูกคนโตในตระกูลคนจีน ต้องสืบทอดตำแหน่ง มันก็เลยทำให้ตัวละครมีความ suffer มันมีความกดดันแบบมหาศาล บวกกับยุคสมัยที่การชอบเพศเดียวกัน มันเป็นเรื่องต้องห้ามไม่ใช่แค่ในตระกูลคนจีน มันเลยทำให้มันมีความกดดันตลอดเวลาสำหรับตัวละครนี้ มันเลยเครียดตลอดเวลา
ด้วยความที่บทยาก ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นละครเรื่องนี้
มันคือโอกาสครับ มันคือโอกาสที่เราจะได้พัฒนาตัวเองไปอีกหนึ่งระดับ หรืออาจจะไปได้ไกล ถ้าเราทำมันได้ดีแล้วเราค้นพบอะไรบางอย่างระหว่างทางนั้น ผมคิดแค่นั้นเลยอ่ะ ผมรู้สึกว่าผมอยากได้บทที่มันท้าทายตัวเองมากขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่าเราเก่งขึ้นหรือเปล่าเราสามารถทำอะไรที่มันยากขึ้นได้ไหม
ใช้เวลาตัดสินใจนานไหม ในการรับเล่นเรื่องนี้ ?
ไม่คิดเลย ผมเคยคุยกับผู้ใหญ่ว่าผมอยากเล่นเป็น LGBTQ+ มาราวๆ 3 ปีได้แล้ว เพราะมันมีอยู่ช่วงที่ผมเล่นละครเยอะจนผมรู้สึกว่าผมเริ่มรู้สึกอยากเล่นบทอะไรที่มันใหม่ๆ ที่มันท้าทาย ผมก็เลยไม่คิดเลย ผมรอบทแบบนี้มานาน
สำหรับฟิล์มเรื่องนี้คือซีรีส์หรือละคร Y ไหม
ผมรู้สึกว่าสำหรับเรื่องนี้ผมไม่ได้ตีความแบบนั้น ผมตีความเป็นเราคือผู้ชายหนึ่งคนที่มีความรักให้กับผู้ชายหนึ่งคน ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่า Y ได้ไหม แต่ผมตีความแบบนั้น มันก็คือความรักแค่นั้น just love แต่ว่าละครเรื่องนี้สำหรับผมมันไม่ได้ขายแค่ถ้าคนอยากมาดูเรื่องความฟิน ความจิ้น ความ Y มีให้ มีให้ฟินให้จิ้นกันแน่นอน แต่สิ่งที่คุณจะได้มากกว่านั้น คือสำหรับผมสิ่งที่ผมทัชมากที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือความรักจากครอบครัวการยอมรับจากครอบครัวเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับลูกหนึ่งคน ต่อให้สังคมจะไม่ยอมรับยังไง แต่ถ้าครอบครัวเรายังรักและยอมรับในตัวตนที่เราเป็น เขาจะมีกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไปอย่างมหาศาล แต่ต่อให้สังคมจะยอมรับเขายังไง แต่ถ้าแค่ครอบครัวไม่ยอมรับเขาอ่ะ แม่งมันเหมือนหมดพลังที่จะสู้ต่อเลย
ผมรู้สึกว่าละครเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่ทำอยากให้สาว Y มาดู แต่ผมรู้สึกว่าอยากให้ครอบครัวมานั่งดูด้วยกัน เวลาที่มีปัญหากันอยากให้เปิดใจคุยกันทั้งคนเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก อยากให้เปิดใจคุยกันด้วยเหตุผล มันรู้สึกถึงปัญหาหลายๆ อย่าง ที่สถาบันครอบครัวบางครอบครัวยังมีอยู่ ในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องเพศ ที่ลูกเป็น LGBTQ+ หรือบางสิ่งบางอย่างที่ทำผิดพลาด ผมรู้สึกว่าบางครอบครัวลูกอาจจะไม่ได้เป็น LGBTQ+ แต่เขาอยากทำอย่างอื่น แต่ที่บ้านอยากให้ทำอีกอย่างนึง ผมรู้สึกว่าชีวิตเรา คือของเรา ถ้าเรารักที่จะทำสิ่งนี้ เราอยากให้พ่อแม่สนับสนุนเรามากกว่าที่จะมาบังคับเราไปทำอย่างอื่น อยากให้ลอง อันนี้คือมุมผมคนเดียวนะครับ มุมผมคนเดียวขอย้ำไว้ก่อน
วันที่พ่อแม่อยากมีเรา มีลูก เราอยากเห็นเขาเป็นเด็กที่โตมาแล้วมีความสุข ตอนที่เรายังเล็กพ่อแม่จะรู้สึกว่าเราอยากให้ลูกโตมามีความสุข แต่ผมเห็นบางครอบครัวพอลูกโตมากลับอยากให้ลูกทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุขแทน โดยที่ไม่สนว่าความรู้สึกของลูกมีความสุขหรือเปล่า แต่อยากให้ลองย้อนกลับไปคิดตอนที่เลี้ยงเขาเล็กๆ ว่า เราอยากให้เขาโตมาเป็นคนที่มีความสุขไม่ใช่เหรอ ไม่รู้อ่ะเป็นสิ่งที่แบบที่ผมได้จากละครเรื่องนี้มากๆ เพราะผมเข้าฉากกับพี่ป๊อก (ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์) ซึ่งเป็นแม่ผมแบบเยอะมาก แล้วทุกครั้งที่เล่นผมเป็นคน sensitive เรื่องครอบครัวด้วยมันเลยแบบ ผมเลยรู้สึกอินไปกับเรื่องครอบครัว แล้วตัวละครนี้มาก เพราะว่ามัน suffer กับเรื่องครอบครัว มันให้อะไรกับผมเยอะ
ยากไหมกว่าจะเอาตัวละครเทียน มาใส่ในตัวเรา
ทำการบ้านเยอะอยู่ครับ ยอมรับว่าเยอะมาก เยอะหนึ่งคือเรื่องความเป็น LGBTQ+ ที่เราต้อง Learning Study หลายอย่างมากๆ เพราะว่าเป็นตัวเองที่เราไม่เคยเล่นมาก่อน กับเรื่องครอบครัว เรื่องยุคสมัยต่างๆ ที่มันต่างไปจากเดิมเยอะมาก อย่างที่ผมบอกอ่ะครับเป็นละครที่เหนื่อย เหนื่อยมากๆ ที่สุดในชีวิต และเป็นละครที่เครียดที่สุด ผมย้ำคำว่าที่สุดจริงๆ ตั้งแต่ผมเคยเล่นละครมา
การทำงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่เป็นไงบ้าง
สนุก สนุกมาก กับแม่ผมเองพี่ป๊อก (ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์) ด้วยความที่เคยทำงานมาด้วยกันสนิทกันอยู่แล้ว ก็จะคุยภาษาเดียวกัน แบบจูนกันไว กับพี่เป้ย (ปานวาด บุญยรัตกลิน) พี่เป้ยก็น่ารักเหมือนวัยรุ่นเลย ด้วยความสวยของเขาด้วย ไลฟ์สไตล์ของเขา เขายังแบบยังเหมือนรุ่นๆ ผมอยู่อะไรอย่างนี้ ก็น่ารัก พี่กิ๊ก (มยุริญ ผ่องผุดพันธ์) ก็น่ารัก ก็สอนตามสไตล์พี่กิ๊ก ส่วนป๋าแท่ง (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง) ก็จะมีความน่ารักของเขา นักแสดงคนอื่นๆ ก็คือแบบพี่ๆ ก็น่ารักไปด้วยกัน ทำงานด้วยกันแบบพาไปด้วยกันหมด มันแบบมันสนุก
การร่วมงานกับแจมครั้งแรกเป็นยังไง
การทำงานกับแจม (รชตะ หัมพานนท์) เหรอครับ ค่อนข้างที่จะยากช่วงแรกๆ ด้วยความที่เราไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน แล้วน้องก็ยังประสบการณ์ไม่เยอะ แต่โชคดีของโชคดีที่น้องเป็นคนตั้งใจ เป็นคนขยัน เป็นคนเรียกว่าดุด่าว่ากล่าวได้เต็มที่ เหมือนทนไม้ทนมือ คือไม่ว่าจะรุ่นพี่สอนอะไรเข้าไป หรือผู้กำกับจะดุอะไรอย่างนี้ คือเขาก็เปิดใจรับฟังโดยที่ไม่โกรธ พร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง คือข้อดีของน้องคือตรงนั้น แต่ว่าด้วยความที่ยังใหม่ ยังต้องอาศัยประสบการณ์ชั่วโมงบินหลายๆ อย่าง ทำให้เราต้องใช้เวลาจูนกันช่วงแรกค่อนข้างเยอะหน่อย
ฉากเลิฟซีนยากไหม
ช่วงแรกๆ ที่เรายังเป็นตัวละครไม่ได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ มันก็จะมีความเขินๆ นิดนึง แต่พอเป็นตัวละครได้ 100 เปอร์เซ็นต์ มันก็จะเป็นฟิลที่เขินของตัวละครเขิน ไม่ใช่เราเขิน ก็ปล่อยตามอารมณ์ตัวละครไป
บทบาทใหม่กับการรับบท “นายเอก” เป็นยังไงบ้าง
ผมก็ไม่รู้อ่ะแต่ตอนเล่น ผมรู้สึกผมเป็นผู้หญิง ทุกครั้งที่ผมเล่นจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงตลอดเวลามันแค่นั้นเลย ผมจะรู้สึกว่ามันมีความไม่รู้แต่ผมรู้สึกลึกๆ แล้วมันเหมือนเราเป็นผู้หญิง เราแบบเราชอบเราสวยอะไรอย่างนี้ คือผมมีความเป็นผู้หญิงอยู่ในตัวอยู่แล้ว หมายถึงว่าด้วยความที่โตมากับคุณแม่ อยู่กับคุณแม่บ่อย คุณแม่เลี้ยงมาใกล้ชิดกับคุณแม่ค่อนข้างเยอะ ก็ไม่ได้กลัวเรื่องที่ตัวละครจะติดมากับเรา ผมไม่กลัวแต่เรื่องความเป็นผู้หญิงอ่ะคือผมมีอยู่แล้วในตัว ผมเป็นคนแบบเจ้าระเบียบ นิสัยผู้หญิงผมจะมี
บทสรุปของละครเรื่องนี้จะบอกอะไรกับคนดู
ในเรื่องของความรักจากครอบครัว การยอมรับจากครอบครัว สิ่งแรกที่คือพลังใจของเรามาจากคนในครอบครัวเราเสมอ ผมอยากให้คนในครอบครัวมานั่งดูละครเรื่องนี้ มันไม่ใช่แค่ว่าจะเป็นสาว Y หรือไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ผมอยากให้ทุกคนมานั่งดูละครเรื่องนี้ นี่คือสิ่งที่ผมได้ คิดว่าละครเรื่องนี้ให้กับผู้ชมและอีกหนึ่งอย่างคือ ที่ผมรู้สึกมากเลยจริงๆ คือมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจะจน คุณค่าในตัวของคนทุกคนในมนุษย์หนึ่งคนเท่าเทียมกันเสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นมหาเศรษฐีหรือเป็นคนเก็บขยะ ผมอยากให้ทุกคนให้เกียรติเพื่อนมนุษย์เท่ากันเสมอ
เหมือนละครเปิดกว้างความเท่าเทียมมากขึ้น
ผมดีใจนะ ดีใจที่ได้รับบทนี้ ดีใจที่ได้เป็นคนถ่ายทอด ด้วยพล็อตเรื่องด้วยที่ตัวละครพยายามต่อสู้เรื่องความเท่าเทียมกันในสังคม ผมว่าถ้าคนในครอบครัวหลายๆ คนที่มีลูกเป็น LGBTQ+ ไม่ว่าลูกจะพูดหรือไม่พูด แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มาดูเรื่องนี้ ผมคิดว่าจะทำให้อีกหลายๆ ครอบครัวเปิดใจที่จะคุยกัน และมีการยอมรับกันมากขึ้น และครอบครัวของพวกคุณจะมีความสุขมากขึ้น
ฝากละครเรื่องนี้หน่อย
ฝากติดตามละครคุณชายด้วยนะครับ ออนแอร์ทุกวันจันทร์ – อังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง One31 นะครับ ก็ดีเทลละครผมก็พูดไปหมดแล้วก็ขอฝากติดตามละครเรื่องนี้ด้วย เป็นละครที่พวกเราทุกคนทั้งนักแสดงรุ่นผม รุ่นพี่ๆ รวมถึงทีมงานเบื้องหลัง ผู้กำกับ คนเขียนบท ตั้งใจทำละครเรื่องนี้ออกมาให้ทุกคนดูอย่างมีความสุขที่สุดครับ
ด้าน FEED เองก็ขอการันตีอีกหนึ่งเสียง เรื่องความสามารถของหนุ่ม ฟิล์ม ธนภัทร ในบทบาทของเทียน หลังจากออนแอร์มาให้ได้ดูกัน 4 EP (อัพเดท : 17 ต.ค. 65) เรียกได้ว่าบทบาทของเทียนก็คือสวยไม่ไหว เล่นได้แบบน่ารักมาก ยิ่งตอนเขาซีนกับจิว (รับบทโดย แจม รชตะ) เทียนก็คือตัวเล็กไม่ไหว แบบสวย ผมทัดหู อยากให้ทุกคนได้ลองดูละครเรื่องนี้กัน เพราะนอกจากจะได้เห็นการพลิกบทบาทของ ฟิล์ม ธนภัทร แล้ว เชื่อว่าคนดูจะได้ข้อคิดจากเรื่องนี้เยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสถาบันครอบครัว และการยอมรับต่างๆ ในสังคม
สำหรับละครเรื่อง “คุณชาย” สามารถรับชมได้ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง One31 และชมย้อนหลังได้ที่แอพ OneD