MG เตรียมส่ง MG EP 2023 รุ่นปรับโฉมใหม่ไมเนอร์เชนจ์ ลงตลาดในไทย ในปีนี้ ซึ่งคาดว่าอาจจะได้เห็นโฉมจริงกันในงาน Motor Show 2023 ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2023 นี้
การเปลี่ยนแปลงโฉมใหม่ของ MG EP นับเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่เปิดตัวในไทย ซึ่งถึงช่วงเวลาในการปรับเปลี่ยนโฉมพอดีเพื่อเพิ่มความสดใหม่ให้รถรุ่นนี้ MG EP 2023 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ว่าที่สเตชั่นแวกอนไฟฟ้าตัวใหม่ในไทย จะมาในโฉมเดียวกับที่เปิดตัวในเกาะอังกฤษ เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา โดยชื่อที่วางจำหน่ายในยุโรปนั้นจะใช้ชื่อว่า MG5 EV 2023
ในด้านงานออกแบบนั้น ได้ถอดรูปลักษณ์หน้าตาอันทันสมัยมากจาก Rowe Ei5 รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในจีน ขณะที่งานดีไซน์ด้านหน้านั้นโมเดิร์นกว่ารุ่น MG EP ที่ผ่านมา เริ่มจากกระจังหน้าแบบปิดทึบ ตรงกลางเป็นช่องเสียบประจุชาร์จไฟ ในส่วนโลโก้ MG ถูกย้ายขึ้นไปอยู่ที่ฝากระโปรงหน้า ชุดไฟหน้า LED ทรงเรียวยาว มากับระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมกับไฟ LED DRL กันชนหน้าถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด
ด้านข้างตัวถัง ยังมาในรูปแบบเดิม ปรับเปลี่ยนในส่วนล้ออัลลอยลายใหม่ทรง 5 ก้านคู่ ที่มีขนาด 16-17 นิ้ว นอกจากนั้นยังเพิ่มแร็คหลังคาที่เป็นสีเดียวกับตัวรถ
ด้านไฟท้ายจะปรับเปลี่ยนใหม่ ชุดไฟท้ายขนาดใหญ่ ด้านในเป็นรูปตัว Y กันชนและชายล่างใหม่ให้ดูเรียบง่ายขึ้น พร้อมเติมลูกเล่นด้วยช่องทรง 3 เหลี่ยม เติมลุคให้ดูสปอร์ตมากขึ้นด้วยสปอยเลอร์ หลังคาด้านท้ายมาพร้อมไฟเบรกดวงที่3
ภายในห้องโดยสาร MG EP 2023 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังคงยึดจุดเด่นในเรื่องฟังก์ชันการใช้งาน ห้องโดยสารมีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง แผงแดชบอร์ดติดตั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ในส่วนหน้าจอแสดงข้อมูลปรับเปลี่ยนใหม่เป็นแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนต์ IPS HD แบบสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว ที่ปรับเพิ่มใหญ่ขึ้นจากเดิมที่มีเพียงขนาด 8 นิ้ว พร้อมเอียงทำมุมให้หันเข้าหาผู้ขับขี่ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto
มาพร้อมระบบ MG i-SMART เวอร์ชั่นใหม่ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารให้เข้ากับรถยนต์ สามารถสั่งการด้วยเสียง ระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติพร้อมตัวกรอง PM2.5 มาพร้อมระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าแบบ V2L หรือ Vehicle to Load สำหรับจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากรถสู่อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น จักรยานไฟฟ้า เหมือนรุ่นปัจจุบัน
ด้านขุมพลังขับเคลื่อน ในตลาดยุโรปมีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Standard Range ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 50.3 kWh ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้ราว 320 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ส่วนอีกรุ่นเป็น Long Range ที่ลดกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าลงเหลือ 156 แรงม้า แต่เพิ่มขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นเป็น 61.1 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 400 กม. เมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง
โดยทั้งรุ่น Standard Range และ Long Range จะมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เท่ากันอยู่ที่ 8.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กม./ชม. รวมถึงสามารถรองรับการชาร์จด่วนแบบ DC จาก 5-80% ภายในระยะเวลา 40 นาที พร้อมรอบรับการชาร์จช้ากระแสสลับ AC โดยจะชาร์จไฟเต็มในเวลาประมาณ 11 ชม.
ในส่วนของการเปิดตัวนั้น คาดว่าจะมีขึ้นในงาน Motor Show 2023 นี้ ซึ่งเป็นที่น่าลุ้นว่าจะยังคงทำราคาเท่าเดิมกับก่อนหน้านี้หรือไม่ ที่ราคา 771,000 บาท ท่ามกลางสงครามของรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่กำลังทำตลาดกันอย่างดุเดือดในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น MG, BYD และ GWM และยังไม่รวมถึงค่ายยุโรป ที่กำลังทยอยเดินหน้าเข้ามาที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
แหล่งที่มาและข้อมูล : CompleteCar.ie
ติดตามข่าวสารเทคโนโลยีและยานยนต์ได้ที่ FEE:D