เป็นคนบันเทิงที่ออกมาส่งเสียงถึงสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ตลอด สำหรับ “อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์” นักแสดงสาวมากความสามารถที่ไม่เคยนิ่งเฉยต่อเรื่องใดๆ ก็ตามที่เจ้าตัวเห็นว่าไม่สมควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของสถานการณ์การเมือง ที่จะเห็นว่าเจ้าตัวออกมาส่งเสียงอยู่เสมอผ่านทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเจ้าตัวเอง ซึ่ง ในช่วงแรกถูกบางกลุ่มมองว่า ออกมาเพื่อหาซีน หาแสงให้ตัวเอง แต่เจ้าตัวก็ได้พิสูจน์ว่าเธอไม่จำเป็นต้องหาแสงให้ตัวเอง ที่ออกมาพูดก็เพราะรับไม่ได้กับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น และประชาชนเป็นผู้แบกรับปัญหาเหล่านั้นอยู่ฝ่ายเดียว
วันที่ตื่นรู้ว่าปัญหาในประเทศนี้ถูกหมักหมมมานาน?
รัฐประหารปี 57 อ๋อมเห็นว่า เราใช้รัฐประหารในการแก้ปัญหามามันค่อนข้างหลายครั้งมากแล้ว มันคือการหมักหมมปัญหา ถ้าเกิดมันดีจริงมันก็ควรที่จะแก้ไขได้แล้วแหละ ถูกไหม เราควรจะแก้ไขปัญหาด้วยกติกา ด้วยการอภิปราย อย่างเช่นการที่ฝ่ายค้านปัจจุบันเขาทำงานอยู่ และเราก็เลือกที่จะใช้การเลือกตั้งครั้งต่อไป เป็นความหวังในการแก้ปัญหาทั้งหมด แล้วพี่อ๋อมก็มองดูคณะผู้บริหารที่เกิดจากการรัฐประหาร เขาทำงานกันยังไงบ้าง พอเรามองเห็นปุ๊บเราก็เห็นว่า โอ้ มันมีปัญหาเยอะแยะเนอะ
แล้วก็รู้สึกว่าตรรกะต่างๆ มันบิดเบี้ยวเยอะมากจนมาระเบิดจริงๆ ต้องบอกต้องออกมาพูดก็คือเรื่องโรคระบาดโควิดที่เข้ามาในสองสามปีที่ผ่านมา เรามองว่าปัญหามันเกิดขึ้นเยอะมากๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัคซีนไม่พอ หรือแอปล่ม เรื่องมีข่าวว่า VIP ได้ฉีดก่อน คนล้มตาย เตียง คือมันเยอะมากเลย มันก็เลยสะท้อนว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนคนธรรมดาอย่างเรานี่แหละ คุณภาพชีวิตเรามันแย่มากเลยนะ ในช่วงนั้นนะ ก็เลยออกมาพูดนี่แหละค่ะ
ปัญหาที่มันเกิดขึ้นในประเทศนี้ เราก็ติดตามมาโดยตลอดอยู่แล้วแหละ แต่ที่ผ่านๆ มาโซเชียลมันก็ยังไม่ขนาดนี้ถูกไหมคะ เราออกมาพูดถึงปัญหาที่มันเกิดขึ้น คนก็เลยคง เอ๊ะ ออกมาพูดทำไม เราเป็นนักแสดงหนิ ทำไมไม่เล่นละคร จะมาพูดเรื่องอื่นๆ ทำไม แต่ความเข้าใจตรงนั้นมันเป็นความเข้าใจของคนอื่น แต่ความเข้าใจของตัวเรา เรารู้สึกว่าเราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เราเห็นปัญหา แล้วเราแค่อยากจะออกมาบอกถึงปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข
อ๋อมก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง เสียงที่เราออกมาพูด ที่มันดังก็เพราะว่าประชาชนทุกๆ คน ให้เรามาจริงไหม สิ่งที่พวกเขาให้เรามา มันคือชื่อเสียงที่พี่อ๋อมได้มา 30 กว่าปี เราก็ใช้ชื่อเสียงตรงนี้นั่นแหละ ออกมาตอบแทนบุญคุณพวกเขา ออกมาช่วยเหลือพวกเขา ในตอนที่ประชาชนทุกคนตอนนี้กำลังเดือดร้อน ถ้าอ๋อมไม่ออกมาพูดในตอนที่พวกเขาเดือดร้อน แล้วจะให้อ๋อมออกมาพูดตอนไหนอ่ะคะ ตอนที่ถ้าเกิดว่าทุกคนแฮปปี้ดีใจ มีชีวิตที่ดีแล้วคุณภาพชีวิตที่ดี เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกมาพูดอะไรเพราะว่าทุกคนแฮปปี้แล้วถูกไหมคะ แต่ตอนนี้ทุกคนแย่อยู่
ก่อนที่เราจะออกมาบอกถึงปัญหา เราคิดก่อนแล้วว่าตัวเองจะมีผลกระทบอะไรบ้าง คิดไตร่ตรองมาตลอดแล้วแหละว่าเอายังไงดี เราจะมองถึงปัญหาที่มันเกิดขึ้นในทุกๆ วันให้มันผ่านไปเฉยๆ เหรอ ถามตัวเองอยู่ตลอดนะ ว่าฉันเห็นปัญหาแล้วฉันจะมองผ่านไปเฉยๆ แล้วก็ปล่อยให้ลูกหลานเราใช้ชีวิตให้มันชินชากับปัญหานี้ไปวันๆ เหมือนที่ผ่านๆ มาตลอด เหมือนเราอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนามาโดยตลอดเหรอ เรารู้สึกว่ามันก็ไม่ผิดนี่คะ ที่จะออกมาบอกถึงปัญหาที่มันเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
เราอยู่ในประเทศนี้ซึ่งมันเกิดปัญหาเกิดขึ้น แล้วเราใช้ชีวิตอย่างนี้ไปวันๆ ในการที่เรามองเห็นปัญหาแล้วเราไม่เครียดกันเหรอ ตื่นมาจะกินอะไร จะมีเงินไปเติมน้ำมันหรือเปล่า 8 ปีที่ผ่านมา กับ 8 ปีตอนนี้ คุณภาพชีวิตทุกอย่างมันเหมือนเดิม หรืออาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ เพราะมันมีโรคระบาดเข้ามา มันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวก็คือ เศรษฐกิจแย่ลง ค่าครองชีพเท่าเดิม คุณภาพชีวิตทุกคนเป็นแบบนี้ คุณยังมีหน้าไปซื้อของเล่นอีกหรอ แก้ปัญหาประชาชน ปากท้องก่อน เศรษฐกิจตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ โห สุดยอดเลย
ให้พวกเราใช้เตาอั้งโล่หรอ หรือว่าให้ไปปลูกผักชีเหรอ หรือว่าน้ำท่วมให้ไปปลูกบ้านไว้ในที่สูงหรอ ตรรกะแต่ละเรื่องหรือคำพูดที่เขาพูดให้พวกเราฟังแต่ละเรื่อง คือเรางง พวกเราไม่ได้รับการแก้ไขเลย เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ พวกเราได้รับแค่ว่าเจ็บวันนี้ วันนี้เจ็บกับหมูขึ้นราคา ไก่ขึ้นราคา เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ็บกับเรื่องน้ำมันแพง น้ำมันขึ้น แก๊สหุงต้มแพง อีกวัน คือเราโดนทำให้เจ็บ เจ็บ เพื่อที่จะมีภูมิต้านทานในเรื่องความเจ็บปวดในวันรุ่งขึ้น วันต่อๆ ไป
ยังคงยืนยันว่าทุกคำพูดที่ออกมา ไม่ว่าจะช่องทางใดก็ตาม เพราะอยากเห็นสังคม “ดีขึ้นกว่านี้”
ใช่ค่ะ ต้องการให้คุณภาพชีวิตของประชาชนที่เขาเดือดร้อน คนในประเทศไทยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไทยดีขึ้น อยากให้ภาคภูมิใจว่า อยู่บ้านนี้แล้วมันเป็นบ้านที่อบอุ่น เป็นบ้านที่โคตรดีเลย ไม่ใช่ว่าแบบอยู่บ้านนี้แล้ว ไปอยู่ที่อื่นมันดีกว่าหรือเปล่า ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นไง อยากให้อยู่ที่บ้านเราแล้วมันเป็นบ้านที่เจ๋งที่สุดในโลก อ๋อมเชื่อว่าทุกคนก็คงมองแล้วก็อิจฉาคนอื่นๆ ที่เขาอยู่ประเทศนี้แล้วสวัสดิการดีจังเลย แต่ค่าครองชีพเขาแพง ใช่ ค่าครองชีพเขาแพงแล้วไง เขาได้รับสวัสดิการได้รับการดูแลจากรัฐ ได้รับการดูแลจากผู้บริหารของประเทศเขา ได้นั่งรถไฟฟ้าฟรี ได้เรียนโรงเรียนฟรี รับเงินตอบแทนในการที่เวลาไม่ได้ทำงานแล้ว ไม่ใช่ว่าแบบอยู่นี่แล้วฉันรับราชการแล้ว ฉันจะได้บำนาญบำเหน็จอย่างเดียว คือคุณทำงานอิสระก็ไม่ได้รับการตอบแทนอะไรเลยหรอ
สิ่งที่เราพูดไป เรื่องไหนที่มันได้รับการแก้ไขแล้วประทับใจเราที่สุด
สิ่งที่ดีใจก็คือเรื่องที่อ๋อมลงพื้นที่ เพราะว่าพอเราไปมองเห็นปัญหาแล้วเราได้บอกปัญหาตรงนั้นไป นั่นก็คือเรื่องสายไฟที่มันสายระโยงระยาง มันไม่ปลอดภัยกับประชาชนคนทั่วไปที่ใช้ชีวิตประจำอยู่แถวนั้น แล้วได้รับการแก้ไขในทันที คือแบบ เอ๊ะ สามวันเปลี่ยนเลยเหรอ ได้หนิ ไม่ต้องรอ 8 ปีหนิ นั่นแหละค่ะคือความประทับใจ แล้วหน่วยงานก็ติดต่อเรามาโดยตรง ไดเร็กมาหาเรา ว่าจะแก้ไขให้ในทันที อันนี้จริงๆ ก็ต้องขอขอบคุณการไฟฟ้านครหลวง ที่ช่วยประสานงานในการแก้ไขตรงนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่เราดีใจที่การที่เราออกมาพูดแล้วมันประสบความสำเร็จ
ในฐานะ “แม่” คนหนึ่ง
อยากเห็นเด็กรุ่นใหม่มีอนาคตที่ดีกว่านี้
เขาเป็นอนาคต ส่วนรุ่นอ๋อมมันคือประสบการณ์ ฉะนั้นเราจะต้องเรียนรู้อนาคตข้างหน้าว่า มันจะเป็นยังไง เราก็ใช้ประสบการณ์ของเรานี่แหละมาประยุกต์เข้าด้วยกัน อยากจะให้ประเทศมันเดินไปข้างหน้าหรือเปล่า ถ้าอยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ฟังเด็กๆ ฟังน้องๆ ฟังรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา คือผู้ใหญ่ไม่ใช่อาบน้ำร้อนมาก่อนแล้วจะบอกว่าเก่ง ฉันเก่งที่สุดในโลก โดนน้ำร้อนลวกมาก่อนหรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่ไม่ใช่ว่าถูกทุกเรื่องนะคะ มันก็ต้องฟังบ้าง ฟังเด็กบ้าง ว่า อ๋อ รุ่นนี้เขาไปถึงไหนแล้ว
อ๋อมก็อยากจะฝากน้องๆ เราก็จะคอยซัพพอร์ตลูกๆ ทุกๆ คนอยู่แล้ว แล้วก็เชื่อว่าน้องๆ หลานๆ ลูกๆ ของเราทุกคนจะทำได้ สิ่งที่เราทำกันอยู่เราก็ทำเพื่ออนาคตไง เราทำเพื่อลูกๆ หลานๆ ของเรา เราเรียกร้องไป เราพูดถึงปัญหาไป ปัญหาต่างๆ มันจะค่อยๆแก้ไปเรื่อยๆ จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของเราที่เขาจะได้รับผลดีในตรงนั้น ได้รับความเจริญในตรงนั้น
ถึงเวลาที่สังคมควรตื่นรู้
ว่าการเมืองคือเรื่องที่อยู่รอบตัวทุกคน
เรามองเห็นว่าทุกคนควรจะตื่นตัวได้แล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะวงการบันเทิง มันมีคำถามๆ หนึ่ง ที่เราได้ยินมาว่าการเมืองมันน่าเบื่อ เป็นเรื่องไกลตัว ไม่ การเมืองอยู่รอบๆ ตัวเราเลย คุณภาพชีวิต สาธารณูปโภค ค่านู่นนี่นั่น ใช้ชีวิตรอบตัวเรา มันคือเรื่องของการเมืองทั้งนั้นเลย อ๋อมก็เลยออกมาพูดไงให้ทุกคนเข้าใจว่าการเมืองนี่แหละคือเรื่องรอบๆ ตัวเรา คุณจะเพิกเฉยต่อปัญหาที่มันเกิดขึ้นแล้วให้มันชินชาไปเรื่อยๆ จะไม่ออกมาบอกเลยหรอว่า เฮ้ย แก้ไขได้แล้ว ตรงนี้มันเกิดปัญหาขึ้นแล้ว
สายระโยงระยางทั้งหมดนี้เก็บใต้ดินไปเลยหรือว่าให้มันปลอดภัยกว่านี้ได้ไหม ให้มันเรียบร้อยให้มันดีขึ้นได้หรือเปล่า หรือว่าค่าครองชีพที่มันสูงขนาดนี้คุณช่วยอะไรเขาได้บ้าง เข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน แล้วเราจะตื่นมาใช้ชีวิตแบบยิ้มได้ในทุกๆ วันได้หรือยัง คือมันไม่ใช่แค่เฉพาะวงการบันเทิงที่อยากให้ตื่นตัวค่ะ อยากให้ตื่นตัวในทุกๆ คนค่ะ เพราะเราคือคนไทย เราอยู่ประเทศไทย เราอยู่ประเทศที่กำลังพัฒนา ไม่ใช่ประเทศที่เจริญแล้วหรือพัฒนาแล้ว เราอยู่ประเทศที่กำลังพัฒนามา นี่อายุ 45 ปีแล้วค่ะ อยู่ประเทศที่กำลังพัฒนามา 45 ปี แล้วรุ่นพ่อเราอยู่ประเทศที่กำลังพัฒนามา 70-80 ปีแล้ว มันนานไปแล้ว พัฒนาได้แล้ว ประเทศเราต้องเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ตื่นตัวได้แล้วค่ะ อย่าอยู่นิ่งเฉย
พูดได้ค่ะ การเมืองเป็นเรื่องของทุกๆ คน