Indy Mania By พอล เฮง คอลัมน์ที่จะพาย้อนกลับไปในช่วงการปะทุและระเบิดของเพลงไทยนอกกระแส ในช่วงทศวรรษที่ 90s
‘การบันทึกยุคสมัยผ่านดนตรีและบทเพลงล้วนย่อมเห็นความเจ็บปวดและล้มเหลวของผู้ที่พยายามต่อสู้ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีการผันผ่านเข้าสู่ยุคใหม่
ในวงการเพลงของเมืองไทยก็เช่นกัน คณะดนตรีครับ (Crub) แม้มีอายุการใช้งานเพียงสั้นๆ เบ่งบานและร่วงโรยจบสิ้นอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ฝากไว้ในการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของอุตสาหกรรมเพลงของไทยนั้นสำคัญยิ่ง แม้ในกระแสหลักวงกว้างไม่ได้รับการยกย่องเชิดชูเท่าไหร่นักก็ตาม
‘ครับ’ ถือว่าเป็นคณะดนตรีที่ถูกการประเมินค่าต่ำเกินไป (Underrated) ทั้งที่การสร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีบริตพ็อปไทยของพวกเขาทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในหมู่คนดนตรีและคนฟังเพลงวัยรุ่นหัวก้าวหน้าในยุคนั้น’
‘เป็นคืนที่ปวดร้าวภายในใจ
หากใครบางคน ยังคงฝืนความรู้สึกไว้
เจ็บช้ำ อ้างว้าง เดียวดาย
คล้ายกับฝันร้ายกระหน่ำซ้ำ
ความจริงของส่วนลึกภายในใจ
ไม่อาจจะลืม ความขื่นขมที่โดนทำร้าย
คือการหักหลังและจบสิ้นความวางใจ
จากคนที่ชิดใกล้
* อยากจะหาย….จากโลกที่เลวร้าย….
จบสิ้นอดีต ที่ตอกย้ำความรู้สึก…ข้างใน
เป็นคืนที่อ่อนไหวภายในใจ
ไม่อยากให้ใครได้ล่วงรู้ความรู้สึกนั้น
จะบอบจะช้ำ แม้สักครั้ง คงเพียงพอ
กับคืนที่แสนเศร้า’
คำร้องหรือเนื้อเพลง ‘คืนหนึ่ง’ ของคณะดนตรีครับ (Crub) ได้แสดงถึงกลวิธีของการเขียนคำร้องหรือเนื้อเพลงที่ไม่ยึดติดกับสูตรการเขียนเพลงยอดนิยมของวงการเพลงกระแสหลักในเมืองไทย มีไวยากรณ์และท่วงทีทางภาษาที่มีความเฉพาะตัวของคนรุ่นใหม่ในยุคนั้นอย่างแท้จริง
อย่างที่กล่าวไป ในปี 2537 มีอัลบั้มของคณะดนตรีหน้าใหม่ต่างทยอยออกมาสู่ตลาดเพลงของไทย อัลบั้ม ‘View’ ของคณะดนตรีครับก็เป็นหนึ่งในนั้น และครับก็เป็นคณะดนตรีที่เป็นหัวหอกบุกเบิกให้เกิดกระแสของดนตรีทางเลือกที่แตกต่างออกไปจากกระแสหลักอย่างแท้จริง ด้วยการนำแรงบันดาลใจและอิทธิพลดนตรีบริตพ็อปของเกาะอังกฤษมารังสรรค์งานเพลงภาษาไทยของพวกเขาเอง
ห้วงกาลยามนั้น เป็นแรงท้าทายของธุรกิจและอุตสาหกรรมดนตรีของเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมาถึงจุดที่อับตันของผลิตภัณฑ์เพลงหรืออัลบั้มที่ออกมาวางจำหน่ายจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่กระแสหลักที่ใช้สูตรสำเร็จทางการตลาดของเพลงยอดนิยมมาใช้แบบเหมือนๆ กัน
เมื่อเอาแนวความคิดของ ธีโอดอร์ อดอร์โน (Theodor Adorno) นักปรัชญาชาวเยอรมันที่เขียนเกี่ยวกับสังคมวิทยา จิตวิทยา และดนตรีวิทยา เขาสำเร็จการศึกษาด้านปรัชญาจากมหาวิทยาลัยโยฮันน์ โวล์ฟกัง เกอเธ่ ด้วยทักษะของนักทฤษฎีสังคม อดอร์โน เป็นสมาชิกชั้นนำของ Frankfurt School and critical theory มาจับถึงทุนนิยมทางดนตรีพาณิชย์ศิลป์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมดนตรี ก็มีมุมมองที่น่าสนใจมาเชื่อโยงของปรากฎการณ์ในวงการเพลงไทยในปี 2537 ได้เป็นอย่างดี
อดอร์โนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ทางสังคมในระบบทุนนิยม โดยเฉพาะสินค้าและมูลค่าของการแลกเปลี่ยน เขาอธิบายว่าแรงงานในระบบทุนนิยมจะแสดงพื้นที่ทางสังคมด้วยการผลิตสินค้า นายทุนจะสัมพันธ์กับแรงงานโดยกระบวนการผลิตสินค้าที่มีแรงงานเป็นผู้ผลิต ความสัมพันธ์ระหว่างนายทุนกับแรงงานจึงมาจากการผลิต
ตัวอย่างการศึกษาผลงานเพลง อดอร์โนกล่าวว่า ดนตรีสมัยใหม่กลายเป็นสินค้าที่ผลิตออกมาตอบสนองความต้องการของตลาด บทเพลงทั้งหลายจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยทำนองที่เหมือนกันๆ เพื่อเอาใจคนฟังที่นิยมเสียงเพลงแบบเดียวกัน เพลงจึงเป็นสินค้าที่มีราคา ทั้งๆ ที่อาจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต
อดอร์โนชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมดนตรีได้สร้างมาตรฐานกลางขึ้นมา โครงสร้างของตัวโน้ตหรือจังหวะในบทเพลงต่างๆเหมือนกัน เปลี่ยนแต่เพียงเนื้อร้อง ซึ่งอดอร์โนเรียกอุตสาหกรรมดนตรีว่า ‘ปัจเจกเทียม’ (psuedo-individualization) หมายถึงการฟังดนตรีของผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคเชื่อว่าบทเพลงคือตัวตนของเขา
บทเพลงที่ผลิตเป็นสินค้าคือการทำให้คนหลงเชื่อว่าตนเองมีอิสระที่จะคิดฝันได้ แต่สิ่งที่แอบซ่อนอยู่คือความฝันเหล่านั้นถูกสร้างมาจากระบบทุนนิยมเรียบร้อยแล้ว ความฝันที่เป็นของปัจเจกจึงไม่ใช่ความจริง การทำงานหนักในระบบทุนนิยมได้สร้างอุดมคติว่าคนต้องมีเวลาพักผ่อน หรือหาเวลาว่างส่วนตัวโดยการฟังเพลง ทั้งๆ ที่เพลงก็คือสินค้าที่เต็มไปด้วยภาพมายาของทุนนิยม
สินค้าในระบบอุตสาหกรรมในความคิดของอดอร์โน จึงเป็นอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (Culture Industry) หมายถึง การผลิตสินค้าในระบบทุนนิยม ซึ่งสินค้านั้นจะถูกประเมินด้วยราคาสำหรับขายในตลาด และราคาของสินค้านั้นก็ต้องมุ่งหวังผลกำไรสูงสุด
อุตสาหกรรมวัฒนธรรมจึงเป็นความคิดของการแสวงหาผลประโยชน์ด้วยเงินตรา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมกระแสนิยมที่เกิดขึ้นจากการบริโภคสินค้า จึงเป็นวัฒนธรรมของผลกำไรที่ตกแก่นายทุนแต่ฝ่ายเดียว
ภาวการณ์ตามที่อดอร์โนได้ให้ความหมายไว้ได้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเพลงของทั่วโลกและเมืองไทยในยุคต้นยุคทศวรรษที่ 2530 ด้วยเช่นกัน การแหวกขึ้นมาจากอุโมงค์ที่กดทับของคณะดนตรีรุ่นใหม่ในยุคนั้น จึงเป็นเสมือนการปลดปล่อยผลิตผลของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ตามยุคสมัย
คณะครับ (Crub) ที่ออกอัลบั้มชุดเดียวคือ ‘View’ ในปี 2537 ได้รับแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากแนวดนตรีบริตพ็อปในช่วงเริ่มต้นอย่างชัดเจน โดยถือเป็นคณะดนตรีนำร่อง ที่จุดประกายกระแสดนตรีแนวนี้ในประเทศไทย ก่อนที่ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ความล้ำของครับผ่านดนตรีและบทเพลงของพวกเขาในยุคนั้นก็คือ ดนตรีที่มีองค์ประกอบที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของบริตพ็อปในหลายด้าน อาทิ ดนตรีเน้นกีตาร์และเมโลดี้ เนื่องจากบริตพ็อปจะเน้นซาวด์ดนตรีร็อกที่ใช้กีตาร์เป็นหลัก และมีทำนองที่ติดหูที่สามารถร้องตามได้ อันเป็นลักษณะเด่นในเพลงของครับ พร้อมกันนั้น ซาวด์ที่สดใสและรื่นรมย์แฝงอยู่ในดนตรีด้วยเช่นกัน
แน่นอน คณะครับ เป็นคณะดนตรีร็อกรุ่นใหม่ของไทยที่ได้รับการสนับสนุนจาก Radio Active 94.0 FM ซึ่งจัดโดย วาสนา วีรชาติพลี (ป้าแต๋ว) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกและนำดนตรีบริตพ็อปเข้ามาสู่ผู้ฟังชาวไทยอย่างจริงจัง การได้รับความสนใจจากสื่อกลุ่มนี้ยืนยันถึงการจัดประเภทให้อยู่ในกลุ่มดนตรีทางเลือกที่ได้รับอิทธิพลจากอังกฤษ
จุดที่น่าสังเกตแม้ครับจะเล่นดนตรีแนวบริตพ็อปแต่รากฐานก็มาจากซาวด์แมดเชสเตอร์ (Madchester) จากยุค 80s ของอังกฤษ ดนตรีในบทเพลงของครับจับได้ถึงความโดดเด่นด้วยการสร้างซาวด์แบบแบ็กกี (Baggy Sound) ซึ่งเป็นการรวมดนตรีอินดี้ร็อกเข้ากับจังหวะเต้นรำ เช่น แอซิดเฮาส์และฟังค์กี ทำให้เกิดความรู้สึกที่ล่องลอยแบบไซเคเดลิค (Psychedelic) และสามารถโยกได้ (Groovy)
เสียงเบสและกลองที่กระชับสไตล์แบ็กกีและจังหวะปานกลางที่มีเมโลดี้สวยงาม จังหวะเหล่านี้มีลักษณะที่เนิบนาบชวนฝัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของดนตรีร็อกที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีเต้นรำในยุคแมดเชสเตอร์ เช่นคณะดนตรี เดอะ สโตน โรเซส The (Stone Roses) และแฮปปี มันเดย์ส (Happy Mondays)
เสียงร้องนำที่ล่องลอยของนักร้องนำ ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของเสน่ห์แบบแมดเชสเตอร์ที่ผสานบรรยากาศฝันๆ เข้ากับดนตรีผ่านเสียงกีตาร์ที่แพรวพราวและเน้นความสนุกกระชับ
การผสมผสานกีตาร์เข้ากับจังหวะของดนตรี แอซิดเฮาส์ (Acid House) รวมถึงดนตรีไซเคเดลิคยุค 60s และเรฟ (Rave) ซึ่งในบริบทของวัฒนธรรมดนตรีคือ งานสังสรรค์ขนาดใหญ่หรือเทศกาลเต้นรำยามค่ำคืนที่ไม่จำกัดเวลา มักจัดขึ้นในสถานที่กว้างขวาง เช่น โกดังร้าง ลานกลางแจ้ง หรือพื้นที่ลับเฉพาะ
อิทธิพลดนตรีแมดเชสเตอร์ที่มีต่อบริตพ็อปคือ ทำให้ผู้ชมคุ้นเคยกับการใช้ จังหวะที่ซ้ำ ๆ และเต้นรำได้ ร่วมกับทำนองกีตาร์ที่ติดหู ซึ่งเป็นการปูทางให้กับบริตพ็อปที่มักจะใช้จังหวะที่คึกคักและเน้นท่อนฮุกที่ร้องตามได้ง่าย
เมื่อดนตรีและแฟชั่นเป็นการนำแนวคิดที่ไม่มีขอบเขตตายตัวมาใช้ในการสร้างสรรค์ คณะครับจึงเป็นแบบอย่างในกรณีศึกษาที่แจ่มชัดของดนตรียุค 90s ของเมืองไทย การเกิดขึ้นของค่ายเพลงเล็กๆ เกคโค มิวสิค ที่ร่วมเปิดประตูของดนตรีแนวใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น จากความคิดที่จะทำดนตรีที่แตกต่างจากตลาดในยุคนั้น รวมเข้ากับความชื่นชอบในดนตรีจากเกาะอังกฤษ
ว่าไปแล้ว คณะครับ เป็นคอลเลจซาวด์ที่เป็นการรวมตัวของนักศึกษาต่างสถาบัน หลักๆ คือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ก่อตั้งคือมือเบส รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ในยุคแรกใช้ชื่อคณะว่า ไอแคน (I Can) และดึงเพื่อนเก่าสมัยมัธยมศึกษา สุหฤท สยามวาลา เข้ามาเป็นนักร้องนำ โดยได้ทำเดโมเทปกันเล่นๆ เป็นเพลงภาษาอังกฤษชื่อ ‘Idea’ แล้วส่งไปที่รายการวิทยุของ วาสนา วีรชาติพลี ดีเจผู้ที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงอินดี้ของเมืองไทย และได้รับการตอบรับจากผู้ฟังเกินความคาดหมาย
จากจุดนั้นจึงมีการเอาจริงเอาจังเริ่มทำเพลงกันเพิ่มเติมเพื่อออกเป็นอัลบั้ม แต่ในช่วงนั้น สุหฤท นักร้องนำดั้งเดิม มีภาระเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ไม่สามารถปลีกเวลามาทำงานเพลงได้ สมาชิกที่เหลือจึงต้องการหานักร้องนำคนใหม่ มีคนหลายคนเข้ามาทดสอบความสามารถ การไปติดประกาศไว้ที่ร้านโดเรมี ร้านเทปเก่าแก่แถวสยามสแควร์ จนที่สุดก็ได้ตัวนักร้องนำคนใหม่ที่ชื่อ วาสิต มุกดาวิจิตร อดีตสมาชิกคณะมอนสเตอร์ชิป (Monstership) คณะดนตรีแนวพังค์ร็อกของกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยช่างศิลป์
เมื่อออกอัลบั้มเปิดตัว ‘View‘ ด้วยงบประมาณทางด้านการส่งเสริมตลาดที่น้อยมาก และงานเพลงในแนวที่ไม่คุ้นหูนักในการฟังครั้งแรกๆ ทำให้ “ครับ” ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ฟังเท่าที่ควรในช่วงที่ออกอัลบั้ม แม้มีการออกทัวร์คอนเสิร์ตในสถาบันการศึกษาอย่างเต็มที่ แต่อีกมุมมีผู้ฟังที่เป็นแฟนเพลงของพวกเขาอย่างเหนียวแน่นอยู่บ้าง จากคำบอกเล่าปากต่อปาก
ท้ายที่สุด สมาชิก ประกอบด้วย วาสิต มุกดาวิจิตร – ร้องนำ / รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ – เบส / วิโรจน์ เสรีศิริขจร – กีตาร์ / วีระยศ เตยะราชกุล – กลอง และวราฤทธิ์ มังคลานนท์ – เพอร์คัชชัน ต่างต้องแยกย้ายกันไป เนื่องด้วยไม่ค่อยประสบความสำเร็จด้านยอดขายเท่าใดนักในขณะนั้น
ถึงกระนั้นก็ตาม บทเพลงที่ยังคงเป็นที่รู้จักและถูกพูดถึงจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ‘ทุกเวลา’, ‘Idea’ และ ‘สุขใจ’ ซึ่งเป็นตัวแทนของแนวคิดและจิตวิญญาณบริตพ็อปหัวใจไทยของคณะครับได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่มีคณะดนตรีคณะใดทำได้อีกแล้ว….
ขอบคุณภาพวงครับ จาก FB : CRUB Club:แหล่งชุมนุมคนรักวง CRUB


