Indy Mania By พอล เฮง คอลัมน์ที่จะพาย้อนกลับไปในช่วงการปะทุและระเบิดของเพลงไทยนอกกระแส ในช่วงทศวรรษที่ 90s
‘ในขบวนของดนตรีจากฝั่งอังกฤษที่นักร้องหรือคณะดนตรีของคนไทยรับแรงบันดาลใจ หรืออิทธิพลนำมาใช้ในบทเพลงยุคทันสมัยตามกระแสดนตรีสมัยนิยมผ่านบทเพลงยอดนิยมนั้น สะท้อนผ่านอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ยุคคลิฟฟ์ ริชาร์ด (Cliff Richard) และเดอะ ชาโดว์ (The Shadows) จนมาถึงยุคเดอะ บีเทิลส์ (The Beatles) ที่ครองโลก และก้าวข้ามสู่กระแสดนตรีนิวเวฟ (New wave) ระเรื่อยมาถึงยุค 90s หรือช่วงทศวรรษที่ 2530 ของไทย ดนตรีบริตพ็อป ได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนฉากทัศน์และวิถีชีวิตในรสนิยมคนฟังเพลงยุคอัลเทอร์เนทีฟ ผ่านคณะดนตรี ครับ (Crub) ที่บุกเบิกและเป็นเชื้อไฟจุดประกายให้กับวัยรุ่นในห้วงเวลานั้น’
สารตั้งต้นของคณะดนตรีครับ (Crub) ซึ่งมีส่วนร่วมในความวูบไหวของวันเวลาที่แสวงหาความสนุกสนานทางดนตรีในชีวิตวัยรุ่นยุค 80s สุหฤท สยามวาลา กรรมการผู้จัดการ ของบริษัท ดี. เอช. เอ. สยามวาลา จำกัด ในวันนี้ เขามีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับคณะดนตรี ครับ อย่างแนบแน่นในฐานะที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของคณะนี้
ในฐานะนักร้องนำ สุหฤท สยามวาลา มีบทบาทไม่ธรรมดาในช่วงแรกเริ่ม มีส่วนร่วมในการก่อตั้งและสร้างรากฐานแนวความคิดทางดนตรีก่อนที่อัลบั้ม ‘View’ จะออกสู่สาธารณะ
แน่นอน นักร้องนำในอัลบั้ม View ที่เป็นที่รู้จักคือ วาสิต มุกดาวิจิตร แต่สุหฤทเคยเป็นนักร้องนำมาก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่คณะครับ เริ่มก่อตัวและมีแนวคิดที่จะทำดนตรีแนวบริตพ็อปแตกต่างจากตลาดเพลงกระแสหลักในเวลานั้น และเป็นซาวด์ใหม่ที่เรียกกันว่า โมเดิร์นร็อก
ถึงแม้บทบาทนักร้องนำของสุหฤทในคณะครับจะไม่ยาวนาน แต่จิตวิญญาณทางดนตรีก็ยังคงอยู่ โดยภายหลังได้แสดงตัวตนผ่านทางการเป็นดีเจคลับแด๊นซ์ซาวด์ล้ำ และสร้างสรรค์ผลงานเพลงแนวเล็กทรอนิกส์/เทคโนของตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตและปรับเปลี่ยนแนวทางการแสดงออกทางดนตรีไปตามยุคสมัย
สุหฤท เคยให้สัมภาษณ์ย้อนหลังกลับไปถึงวันเวลาเมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้วไว้ว่า
“ชีวิตคนมันจะมี Blessing in disguise ในทุกๆ ความทุกข์ เวลาเราจมดิ่งที่สุด มันจะมีทางออกของมันเสมอ ผมสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด ก็เลยเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) คณะศิลปศาสตร์ ปรากฏว่ามันเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์ มีความสุข แต่เรียนไม่ดี เพราะเป็นพวกบ้ากิจกรรม เป็นช่วงวัยรุ่นที่สนุกมาก ตอนนั้นรักดนตรีมาก ผมเป็นนักร้องคนแรกของวง Crub มาตั้งแต่มัธยมฯ ต้น ตอนนั้นวงเราชอบเล่นเพลงนอกกระแส เล่นแนว Heavy และ Hardrock ยุค 80s เริ่มเล่นเพลงอิเล็กทรอนิกส์บ้าง
“พอเรียนจบวง Crub ก็กำลังจะทำเพลงออกเทปพอดี เป็นช่วงที่ต้องเลือกระหว่างจะไปทำเพลงหรือจะทำงานธุรกิจของครอบครัว ตอนนั้นเศร้ามากเพราะผมรักดนตรีมาก อยากไปทำเพลงกับเพื่อนมาก ก็นึกอยู่เหมือนกันถ้าวันนั้นเราไม่เลือกที่จะมาทำธุรกิจตรงนี้ แต่ไปเลือกทำงานในวงการดนตรี ชีวิตมันจะเป็นยังไง
เรานั่งเศร้ากับอดีตได้นะ แต่มันก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก เราเลือกเส้นทางนี้เราก็ต้องไปให้เต็มที่เลย เพราะชีวิตมักจะเกิดโอกาสใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ เราไม่ได้ทิ้ง พอเรามีโอกาสเราก็กลับมาทำใหม่ ความผิดหวังครั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าจะจมไปทั้งชีวิตนี่ แล้วทุกครั้งจะเป็นแบบนี้ รอจนกระทั่งเราพร้อมเราก็กลับไปทำอัลบั้ม”
การรำลึกถึงเส้นทางดนตรีที่ดูเหมือนกับแขวนอยู่บนเส้นด้ายของความไม่แน่นอนและมั่นคงของชีวิตวัยหนุ่ม สุหฤท จึงเปรียบเสมือนอยู่ในฐานะอดีตสมาชิกผู้บุกเบิกคณะดนตรีครับ ที่มีส่วนร่วมในการวางรากฐานให้กับคณะดนตรีที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงอินดี้ไทยในเวลาต่อมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กระแสของดนตรีแนวบริตพ็อป (Britpop) ในห้วงเวลานั้นที่ก่อตัวขึ้นในเมืองไทย ผ่านคณะครับถือเป็นขบวนการดนตรีและวัฒนธรรมของอังกฤษที่โด่งดังในช่วงต้นถึงปลายยุคทศวรรษที่ 1990 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก ที่มีทำนองติดหู สดใส และเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของอังกฤษ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมอังกฤษ
จอห์น ร็อบบ์ (John Robb) นักข่าวและนักดนตรี ระบุว่าเขาใช้คำนี้ในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 1980 ในนิตยสาร Sounds เพื่ออ้างถึงคณะดนตรีต่างๆ ที่สรรค์สร้างซาวด์ใหม่ของดนตรีสมัยนิยมบนเกาะอังกฤษขึ้นมา เช่น เดอะลา’ส (The La’s), เดอะ สโตน โรเซส (The Stone Roses) และอินสพิรัล คาร์เพต (Inspiral Carpet)
แนวดนตรีบริตพ็ปอพถือเป็นการตอบโต้กระแสดนตรีกรันจ์ร็อก (Grunge) จากอเมริกาที่มีเนื้อหาหม่นหมองและซาวด์ดนตรีมืดหม่น โดยนักร้องและคณะดนตรีอังกฤษยุคนั้นต้องการสร้างแนวดนตรีที่เน้นความเป็นอังกฤษและดึงความสนใจกลับมายังเกาะอังกฤษ
คณะดนตรีหัวหอกที่ถูกขนานนามว่าเป็นจตุรเทพของแนวดนตรีบริตพ็อป ได้แก่ โอเอซิส (Oasis), เบลอร์ (Blur), สเวด (Suede), และพัลป์ (Pulp) โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างเบลอร์ กับโอเอซิส ที่เรียกว่า ‘The Battle of Britpop’ ในปี 1995 ได้นำกระแสบริตพ็อปนี้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเล่นข่าวความขัดแย้งชิงดีชิงเด่นในชื่อเสียงของทั้งสองคณะของสื่อดนตรีอังกฤษ
สำหรับจุดสิ้นสุดกระแสบริตพ็อปเริ่มโรยราลงในช่วงปี 1997 หลายคณะเริ่มสะดุดหรือแยกวง โดยมีคณะเกิร์ลกรุปอังกฤษ สไปซ์ เกิร์ลส (Spice Girls) เข้ามาได้รับความนิยมแทนที่และเปิดยุคทีนพ็อปและแด๊นซ์พ็อปในห้วงเวลาเชื่อมต่อสหัสวรรษ
ข้อที่น่าสังเกตสำหรับแรงบันดาลใจและกระแสบริตพ็อปในเมืองไทย จะมีคณะดนตรีจากเวลส์ คือ แมนิค สตรีต พีเขอร์ส (Manic Street Preachers) ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในระดับที่เหนือกว่าคณะดนตรีจตุรเทพของดนตรีบริตพ็อปในอังกฤษ ด้วยอิทธิพลทางความชอบและรสนิยมเชิงปัจเจกของดีเจวาสนา วีระชาติพลี แห่งคลื่นเรดิโอ แอคทีฟ ซึ่งนำบทเพลงเหล่านี้มาปักหมุดและเผยแพร่ในเมืองไทยอย่างเกาะติด
ในห้วงปลายยุคทศวรรษที่ 2560 จิตวิญญาณแห่งความเป็นอังกฤษ บริตพ็อปไม่ได้เป็นแค่ดนตรี แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์ แฟชั่น และ วิถีชีวิต ที่สื่อถึงยุคสมัย ‘คูล บริตาเนีย’ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อังกฤษมีความมั่นใจในวัฒนธรรมสมัยใหม่ของตนเอง
ในโลกยุคปัจจุบัน การย้อนทวนกลับสู่ความเป็นบริตพ็อปจึงไม่ใช่แค่ความทรงจำทางดนตรี แต่ยังคงเป็นพลังงานที่ขับเคลื่อนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับวงการดนตรีและวัฒนธรรมยอดนิยมอยู่เสมอ

คณะดนตรี ‘ครับ’ (Crub) คือผลิตผลที่เป็นรูปธรรมแจ่มแจ้งชัดเจนและโดดเด่นที่สุดแห่งยุคสมัยในปี 2537 แรงบันดาลใจและอิทธิพลจากดนตรีบริตพ็อปและก่อนหน้านั้นคือ แมดเชสเตอร์ (Madchester) ซึ่งเป็นฉากทัศน์และวัฒนธรรมดนตรีที่มีกรุ่นอายอยู่ในบทเพลงของพวกเขาอบอวล
จากปากคำของ รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารค่ายเพลงสมอลล์รูม (Smallroom Bangkok Pop Music Label) ซึ่งเป็นบริษัทค่ายเพลงในประเทศไทยที่ทำธุรกิจทั้งด้านเพลงโฆษณาและเพลงของนักร้องและคณะดนตรีในสังกัด ในอดีต เขาคือกุญแจสำคัญของคณะดนตรีครับ แน่นอนเขาคือผลผลิต คอลเลจ ซาวด์ จากรั้วคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง อัลบั้ม ‘View’ ในปี 2537 ไม่อาจจะละเลยหรือถอนหมุดออกได้ไปจากวงการเพลงไทยที่เปลี่ยนยุคสมัยไปตลอดกาล
ด้วยความเป็นคนดนตรีเชิงคุณภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจน และเป็นหนึ่งผู้เปลี่ยนแปลงในวงการเพลงในยุคปลายทศวรรษที่ 2530 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เขาเคยเล่าถึงการเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะครับและพื้นฐานทางดนตรีที่นำชีวิตมาสู่ความเป็นไอคอนของคนดนตรียุคอินดี้ว่า โชคดีที่บ้านของเขา คือพ่อให้เรียนเปียโนก็เลยพอจะมีพื้นฐานเปียโนคลาสสิค แล้วก็ตอนที่อยู่ชั้นมัธยมฯ อัสสัมชัญบางรัก ก็มีการทำคณะดนตรีกับเพื่อน ซึ่งก็คือ สุหฤท สยามวาลา นั่นคือจุดเริ่มต้น
“แล้วมันก็สืบเนื่องมาจากตอนที่เราทำเพลงที่บ้านสุหฤท แล้วเราก็รู้สึกว่าเพลงเราน่าจะส่งไปคลื่นวิทยุ ซึ่งสมัยนั้นมี ‘ป้าแต๋ว วาสนา’ เป็นคนจัดรายการเพลง เราทำเป็นเพลงสากล ส่งไปให้ป้าแต๋วน่าจะดี เพื่อจะได้ฟังคอมเมนต์แกด้วย ก็ส่งไปแล้วปรากฏว่าเค้าชอบมากก็เลยเปิดเพลงเดียวของเราทั้งชั่วโมง แล้วก็พูดให้คนเข้ามาทายว่าเป็นวงฝรั่งวงไหน จุดนั้นมันก็เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกว่า เออ! เราอยากทำวงนี้ให้ลุล่วง”
แรงผลักดันจากดีเจหัวก้าวหน้านามอุโฆษ ทำให้คณะครับเดินหน้ากันต่ออย่างเต็มที่ ค่อยๆ หาค่ายเพลงมาเรื่อย ๆ จนมาจูนกันลงตัว ได้ค่าย เกคโก มิวสิก ซึ่งก็มีคณะคิดส์แนบเปอร์ส์ (Kidnappers) ที่เล่นแนวซินธิ์พ็อป-อิเล็คทรอนิกส์-แด๊นซ์ อยู่ในค่ายก่อนหน้า รุ่งโรจน์พูดถึงความคิดในห้วงเวลานั้นว่า
“ตอนนั้นยุคแรกก็มาช่วยกันทำ ถามว่าตอนที่ทำเราคาดหวังมั้ย ไม่ได้เรียกว่าคาดหวังเหมือนทุกวันนี้ มันไม่ได้เป็นรูปธรรมขนาดนั้นอะนะ แค่รู้สึกว่าน่าจะรวย ไม่รู้ตอนนั้นน่าจะเด็กด้วยมั้ง ก็เออลองทำกันเถอะ แล้วปรากฏว่าเพื่อนทุกคนแทบจะต้องลาออกจากงาน เพราะตอนนั้นก็จริงจังประมานนึง มือกีต้าร์พี่วิโรจน์ (วิโรจน์ เสรีศิริขจร มือกีตาร์) ตอนนั้นเค้ามีเงินเดือนค่อนข้างสูงมากแล้วไปชวนเค้าออกมา ก็ค่อนข้างเป็นประเด็นที่รู้สึกผิดมาตลอด”
เมื่อถึงบทสรุปแห่งยุคสมัย ความฝันกับความจริงที่มักจะวิ่งสวนทางกันตลอดในวงการเพลงพาณิชย์ศิลป์ที่ไม่มีสูตรสำเร็จมากำหนดอะไรได้
“พอทำเสร็จผ่านไปสามเดือนผลตอบรับไม่ค่อยดีแล้วเค้าก็เหมือนกับต้องเริ่มใหม่หางานใหม่ ถามว่าเฟลมั้ยตอนทำวง ในแง่กระแสตอบรับก็ค่อนข้างเฟล แต่ทุกคนก็ใช้ช่วงเวลาทำตอนนั้นอย่างสนุก แล้วก็ไม่รู้จักคำว่าเพลงขาย ไม่รู้ว่าเพลงขายต้องเป็นยังไง ไม่มีคำว่าเพลงขายอยู่ในอัลบั้ม สุดท้ายก็คือสลายตัวกลับไปทำงานด้าน Interior Design ที่เรียนมา และเราก็พูดกันตั้งแต่วันนั้นเลยว่า เราทำแค่ชุดเดียวแล้วเลิก”
ครับ (Crub) จึงเป็นคณะดนตรีในตำนานบุกเบิกของฉากทัศน์ดนตรียุค 90s ของไทยที่เฟดหายไปในทันที แต่ไปอวตาร์เกิดใหม่แตกแขนงหลากสีสันในนามสมอลล์รูม แน่นอน ยังมีเรื่องราวของ ‘ครับ’ ที่ยังไม่หมด แล้วค่อยมาว่ากันต่อ….