FEED ชวนทำความรู้จักเรื่องราวกว่าจะเป็นตัวท็อปของสองนักแสดงหนุ่ม “สมาร์ท ชิษณุพงศ์” และ “บูม รวีวิชญ์” นักแสดงนำจากซีรีส์ “Top Form กอดกันมั้ย นายตัวท็อป”

สมาร์ท-บูม
สมาร์ท-บูม

รีแคปชีวิตช่วงนี้หน่อยเป็นยังไงบ้าง ?

สมาร์ท: ผมรู้สึกว่าตอนนี้ติดโซเชียลมากขึ้นเพราะว่าไล่อ่านคอมเมนต์ทั้งใน TIKTOK ใน IG , X ที่เขาแบบคอมเมนต์กันมาเกี่ยวกับซีรีส์อะครับ เพราะอยากรู้ว่าทุกคนมีความคิดเห็นยังไง

บูม: จริงๆ ก็คือเหมือนพอซีรีส์เรื่องนี้ทํามาจากมังงะใช่ไหม คือผมกลัวว่ามันจะมีภาพของความเป็นมังงะ แล้วเขาก็จะมีแฟนของมังงะ เรากลัวว่าแบบเรามาทําไลฟ์แอคชั่นแล้วแฟนเรื่องนี้เยอะมากๆ เราก็กลัวว่า

สมาร์ท: เขาจะไม่อิน

บูม: มันจะตรงไหม คือเราจะโด complain หรือเปล่า ผมเช็ค feedback แบบทุกวัน แต่ว่าโอ้โห แต่ประทับใจมากครับ

สมาร์ท: คนชอบเยอะมาก คนชมเยอะมาก ดีใจมากๆ

บูม: ดีใจมากๆ เลยครับ ดีใจมากๆ

สิ่งที่ดีที่สุดในการเป็นตัวเองตอนนี้คืออะไร ?

สมาร์ท: การเป็นตัวเองตอนนี้ รู้สึกอยู่เวลาเห็นคนมาฟีดแบคคอมเมนต์เกี่ยวกับซีรีส์ครับ มันมีความภูมิใจเล็กๆ ในตัวด้วย เวลามาคนมาชอบสิ่งที่เราทํา ชอบเรา ชอบเพื่อนๆ นักแสดง แล้วก็บางคนก็ชมแบบว่าแบบเชิงวิเคราะห์จริงจังว่ามันดียังไง รู้สึกอันนี้รู้สึกดีมากๆ รู้สึกเป็นจุดภูมิใจจุดนึงของผม

บูม: รู้สึกเหมือนกันนะครับ อย่างที่บอกครับเราดีใจมาก คืออย่างน้อยๆ ผมตอนแรกนะคิดว่า พอออนมาไม่โดนว่าก็ก็ดีใจมากแล้ว เหมือนเราจะมีความประหม่า

ย้อนกลับไปชีวิตวัยเด็กเป็นยังไงบ้าง ?

สมาร์ท: ตอนเด็กๆ ผมแอบซนครับ เป็นเด็กที่ซน

บูม: ดื้อแต่เด็กเลยหรอ

สมาร์ท: ตอนเด็กๆ ไม่ได้คิดเกี่ยวกับวงการบันเทิงเลยครับ แล้วตอนนั้นไม่ได้คิดเหมือนกันว่าอยากเป็นอะไรครับผม คือเป็นคนที่ติดเพื่อนชอบการเล่นเที่ยวเล่นกับเพื่อนมากกว่า ตอนนั้นมันก็เลยไม่ได้คิดจริงจังในตอนนั้นครับ คือตอนเด็กๆ มันจะมีแบบสอบถามคุณครูให้มาว่าโตขึ้น อยากเป็นอะไร จําได้ว่าตัวเองเขียนไว่าอยากเป็นตํารวจ เพราะตอนนั้นคิดว่าตํารวจเท่ พอเราโตช่วงมัธยมก็รู้สึกว่ามันไม่ๆ ชอบละครับ

สมาร์ท-บูม
สมาร์ท-บูม

เราค้นหาตัวเองเจอตอนไหน ?

สมาร์ท: จุดเริ่มต้นมันเริ่มมาจากเพื่อนชวนผมไปแข่งเต้น พอผมได้ไปลองทํา ได้ไปลองหัดเต้นแล้วก็ลองไปแข่งรู้สึกว่าตัวเองชอบ ชอบเต้นแล้วตอนนั้นรู้ว่าตัวเองชอบเต้น ก็กะจะมาสายนี้ทางศิลปินตอนนั้น ตอนนั้นเข้ามาทํางานกับอาแล้วได้มีโอกาสไ ประกวดสมาร์ทบอยของช่อง 7 ก็ได้ไปประกวดเป็นงานชิ้นแรกที่ทํางานในวงการบันเทิงที่ไปอยู่ในสตู มีกล้องถ่ายก็รู้สึกว่าตัวเองชอบเหมือนกัน แต่ว่า ณ ตอนนั้นรู้สึกว่าชอบเต้นมากกว่า ก็เลยหาค่ายที่เทรนเด็กเพื่อที่จะเดบิวต์เป็นศิลปินครับ จนมาเจอค่ายที่ผมอยู่ตอนนี้คือแกรนด์แอร์วอรี่ ผมออดิชันผ่านเข้ามาแล้วก็เทรนกับที่นี่ พอเขาส่งไปแคสงานซีรีส์พวกนี้ พอแคสผ่านได้เล่น ผมรู้สึกว่าผมชอบมัน ตอนที่เวิร์คช็อปกระบวนการทํางานเป็นขั้นเป็นตอนของเขาเรื่อยๆ จนได้เปิดกล้องก็รู้สึกว่าชอบบรรยากาศแบบไปเจอพี่ๆ เพื่อนๆ ไปเจอทุกๆ คนแล้วก็ได้ไปกินฟรีที่กอง

มาถึงจุดนี้ภูมิใจกับตัวเองขนาดไหน ?

สมาร์ท: ภูมิใจครับ สําหรับส่วนตัวผมจะคิดว่าความภูมิใจของผมคือผลงานแต่ละชิ้นมันก็จะภูมิใจไปเรื่อยๆ ที่ผมอยากจะพูดก็คือผมอยากจะภูมิใจแบบนี้ไปเรื่อยๆ เช่นท็อปฟอร์มที่ผมมีผลงานออกมา แฟนๆ ชอบผมก็รู้สึกภูมิใจแล้ว แล้วผมก็อยากจะภูมิใจต่อไปเรื่อยๆ อยากมีผลงานออกมาเรื่อยๆ ให้แฟนๆ

บูมชีวิตวัยเด็กเป็นยังไง ?

บูม: ผมก็ซนเหมือนกันครับ ดื้อใช่ดื้อ

สมาร์ท: แล้วเมื่อกี้แซว เหมือนตัวเองเป็นเด็กดี

บูม: คล้ายๆ กันครับ แต่ว่าจะไม่ค่อยเหมือนกัน เพราะว่าผมเรียนแล้วก็มีความฝันตอนเด็กก็คล้ายๆ สมาร์ทแหละ แต่ว่าตอนเด็กๆ เราก็อยากเป็นทหาร เพราะรู้สึกว่าเท่จังเลยถือปืน พอเราโตมาได้ระดับนึง เราก็รู้สึกว่าพอเราเริ่มเรียน แล้วผมก็ไปชอบวิชาเกี่ยวกับพวกฟิสิกส์ เคมี แล้วก็ Maths คือตอนนั้นเราไม่รู้ตัวเอง ด้วยความที่ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดก็ปรึกษารุ่นพี่ว่าเราจะเรียนอะไรดี เราควรไปเรียนอะไรดี เสร็จแล้วพี่ชายผมเขาก็เป็นวิศวะ เขาเรียนวิศวะเราก็แบบว่า มันเท่จังเลย รู้สึกว่าโอ้โหการเป็นวิศวะนี่มันเท่จังเลย สร้างตึกได้สูงขนาดนี้ สร้างเครื่องจักร สร้างรถยนต์ เราก็รู้สึกว่าวิศวะนี่แหละคือตัวเลือกของเรา แล้วตอนนั้นผมก็ตั้งเป้าเลยว่าโอเค ผมจะเอาวิศวะแล้วผมก็มุ่งไปวิศวะ ผมก็เรียนเป็นวิศวะ พอเราเริ่มเรียนได้ทําจริงๆ เรียนไปตอกกิ๊บ ตะไบเหล็ก โบกปูน เราก็เริ่มรู้สึกว่าเริ่มไม่สนุก ผมก็เลยไปบอกคุณพ่อว่าเตี่ยหนูหนูไม่ชอบวิศวะ หนูขอเปลี่ยนสายได้ไหมตอนนั้นผมก็เป็นคนชอบทําอาหาร และที่บ้านเป็นร้านอาหารผมก็บอกว่าเตี่ยหนูขอไปเรียนทําอาหารได้ไหม เปลี่ยนสาย คือตอนนั้นคือผมเรียนวิศวะผมเรียนได้ แต่ว่าผมอะไม่ชอบ ผมก็เลยไปขอเตี่ยหนูขอไปเรียนทําอาหารได้ไหม ตอนแรกเขาก็ให้เสร็จปุ๊บ มันมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น คือเตี่ยผมอายุมากแล้ว เหมือนเขาจู่ๆ เขาก็ล้มป่วย เขาล้มป่วยเสร็จแล้วเขาก็บอกว่าเหมือนเขาเป็นห่วงเรา คือเราเป็นคนที่ยังไม่มีอะไรเลย และเรายังเรียนอยู่เขาก็เป็นห่วงอยากให้เรมีอาชีพที่ดี และเขาก็มองว่าเหมือนถ้าสมมุติว่าไปเรียนทําอาหาร มันก็ไม่มั่นคง เขาก็เลยบอกว่าขอเรียนวิศวะให้จบได้ไหม แล้วเตี่ยผมไม่เคยขอร้องอะไรผมเลย ซึ่งผมก็เลยโอเคผมกลับมาเรียนวิศวะ แล้วผมก็เรียนวิศวะจนจบ แต่สุดท้ายผมเรียนจบแล้ว แต่อย่างที่บอกผมไม่ชอบ แล้วผมเป็นคนที่ใช้ความรักในการดําเนินชีวิต ถ้าผมรักอะไรผมจะเดินไปกับมัน ไม่ว่ามันจะลําบากแค่ไหนผมจะยอมที่จะเดินไปกับมัน แล้วผมก็พยายามทําอาหารสามารถขึ้นเป็นเชฟได้แล้วที่บ้าน ปรากฏว่าพอผมได้มีโอกาสเหมือนเราไปเดินสยามแล้วก็มีคนมาบอกว่า น้องหน้าตาดีนะสนใจมาแคสงานไหม เราก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และเราไม่เคยทําเราก็เลยก็ได้ พอไปยก็เริ่มรู้สึกว่าสนุกดี แล้วก็พยายามแคสมาเรื่อยๆ มันก็มีทั้งได้ แต่ไม่ได้จะเยอะมาก เราก็มีโอกาสเหมือนผมไปเจอพี่ผู้กํากับคนนึงและเขาก็เหมือนชอบผม เขาก็บอกว่ามาลองเล่นไหมเล่นอันนี้เป็นสั้นๆ อันนึง ปรากฏว่าผมลองไปเล่นแล้วชอบ ชอบมากเล แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกที่มันไม่เคยสัมผัสมาก่อน เราต้องมาเล่นในบทบาทที่ชีวิตจริงเราไม่ได้เป็น ชีวิตจริงเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้นแต่มันเป็นความรู้สึกเหมือนคนที่เล่นกับเรา ทําให้เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนแบบนั้นเลย ผมรู้สึกแบบนั่นเป็นจุด hint แรกที่ทําให้ผมอยากค้นหากับสิ่งเหล่านี้ แล้วผมก็รู้สึกมันชาเลนจ์ตัวเองก็เลยมีความฝันว่าอยากทํา อยากทําอันนี้อยากเป็นนักแสดง อยากเป็นนักแสดงที่มีผลงานทุกคนยอมรับ คนเห็นแล้วแบบ นี่แหละนักแสดงตัวจริง

บูม รวีวิชญ์
บูม รวีวิชญ์

ชีวิตเด็กแคสงานไม่ง่าย ?

บูม: ไม่ง่ายครับ ท้อมากเลยครับ ผมท้อ จริงๆ ผมจะเลิกแล้ว ผมจะเลิกแล้วเพราะว่าตัวผมเองผมรู้สึกว่าผมหมดหวังกับเส้นทางเส้นทางนี้แล้ว เพราะว่าหนึ่งก็คือที่บ้านผมก็ไม่ได้ คือเขาไม่ได้ห้าม เขาไม่ได้ซัพพอร์ตเหมือนสมัยตอนเด็กๆ ที่ผมเรียนวิศวะ ผมก็เริ่มมีถ่ายงานบ้าง คุณพ่อก็บอกว่าคุณพ่อผมเป็นคนจีน เรื่องนี้มันฉาบฉวยอย่าไปใส่ใจกับมันมากเลย เขาก็โฟกัสตรงนี้เถอะ แต่คือเราชอบเราก็ดื้อไงเราก็เลยสู้ เตี่ยจะห้ามก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะทําให้เตี่ยรู้เองว่าเออเราทําได้ แล้วก็ผมจําได้เลยว่าครั้งแรกที่ผมได้โฆษณา ผมภูมิใจมากที่เผื่อเห็นหนูไหมหนูอยู่บนเวทีเตี่ยเห็นหนูไหม ใช่

ตอนนั้นเอากำลังใจมาจากไหน ?

บูม: จริงๆ ผมท้อ เอาเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเลยก็ได้ ก่อนที่ผมจะเล่น Top Form ผมท้อมาก ผมท้อจนผมเลิกละ แล้วมีอยู่วันนึงผมไปงานแล้วมีแฟนคลับเขาก็มาเจอผม เหมือนผมไม่ได้ออกงานนานมากแล้ว พอเขาเจอผมเขาดีใจมาก คือผมไม่ได้แจ้งว่าผมมีงาน แต่เหมือนเขามาเดินแล้วเขาก็มาเจอ เขาจําเราได้เขาวิ่งไปซื้อของมาเพื่อเอามาให้ผมแล้วเขาก็เขียนโน้ตมาให้ ซึ่งผมจําได้เลยว่าเขาเขียนว่า คุณเป็นดวงดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบ ได้โปรดอย่าหยุด สู้ต่อไป นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้ผมเราจะยอมแพ้ได้ไง ขนาดคนอื่นเขายังไม่พร้อมยอมแพ้กับเราเลย เราต้องสู้ เพราะว่าอย่างโปรเจกต์ Top Form ที่ผมบอกว่าผมหมดหวังไปแล้ว เพราะผมแคสหลายรอบผมแคสหลายรอบมากๆ โปรเจกต์นี้ มันมีเขาเรียกอะไรนะคู่แข่งเยอะแล้วเขาก็ต้องหาคนที่ดีที่สุด เราอยากเป็นคนนั้นแล้วผมก็รู้สึกว่าผมต้องทําให้ได้ ผมบอกกับตัวเองว่าผมต้องทําให้ได้ผมแคสไป 4-5 รอบ ผมบอกกับตัวเองว่าทํายังไงก็ได้ ผมต้องได้เล่นเรื่องนี้ เพราะว่าตอนแรกอะผมไม่ได้ เหมือนตอนแรกเราแคสไปแล้วเราก็ไปแคสหลายรอบจนแคสติ้งเขาเงียบ พอเขาเงียบเราก็รู้ละว่า มันผิดหวังอีกแล้วอะไรอย่างนี้ ผมก็เลยหลังจากอ่านโน้ต โน้ตแผ่นนั้น ผมก็เลยทักไปหาแคสติ้งว่าเรื่องนี้คอนเฟิร์มไปรึยังครับ ถ้ายังผมสามารถไปแคสได้อีกรอบนึงนะ ผมทักไปหาแคสติ้งจริงๆ แล้วด้วยอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆ เขาก็ทักมาแล้วบอกอยากให้มาแคสอีกรอบนึง ตอนนั้นผมดีใจมาก ดีใจมากๆ แล้วผมก็บอกกับตัวเองว่าต้องไม่มีใครผิดหวังกับเรา แล้วเราก็มาแคสแคสแล้วแบบพอวันที่คอนเฟิร์มเราก็ไม่รู้อีกว่าเราได้เล่นตัวไหน แต่พอเขาบอกว่าเป็นทาคาโตะไซโจ ผมตื่นเต้นมากๆ มันมีทั้งความแบบ โห เราจะได้ทําแล้ว แล้วบทนี้มันเป็นบทที่ยากมากมันทั้งแบบตื่นเต้น ท้าทาย แล้วก รู้สึกว่านี่แหละ Destiny มันมาแล้ว เราต้องคว้ามันไว้ให้ได้ก็เลยมาอยู่ตรงนี้

สมาร์ทต้องพยายามเหมือนพี่เขาไหมกว่าจะมาถึงจุดนี้ ?

สมาร์ท: ก็พยายามครับผม อย่างแรกเลยพอได้รับซีรีส์เรื่องนี้ สิ่งที่ต้องพยายามอย่างแรกเลยคือหุ่น เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมผอมมากๆ เพิ่มน้ำหนัก เพิ่มหุ่น แล้วก็ผมก็ไปเทรนกับเทรนเนอร์ เขาบอกว่าให้กินข้าวเพิ่ม คือปกติผมกินวันละ 2 มื้อ เขาให้กินเพิ่มเป็นวันละ 5  มื้อ บวกกับเวย์โปรตีนเช้าเย็น คือผมจําความรู้สึกได้ว่ามันเป็นการกินข้าวที่แทบอ้วก

บูม: มันไม่อร่อยหรอ มันอร่อยนะ

สมาร์ท: มันเป็นอาหารมันเคืออาหารคลีน สําหรับผมอาหารคลีนคือไม่อร่อยแล้วผมก็ต้องฝืนกินฝืนยัดมันเข้าไป ของผมถ้าสําหรับสายนักแสดง ถามว่าเคยท้อไหมไม่เคยท้อเพราะว่าเหมือนผมมีพาร์ทศิลปินอยู่ด้วย ถ้าพาร์ทนักแสดงเป็นพาร์ทที่ผมอยากที่จะเล่นมากกว่า แต่มันมีถ้าเราไปแคสแล้วไม่ได้อะ ผมจะรู้สึกมันมีความเฟล แต่ว่าผมเฟลได้ไม่นาน เพราะว่าผมต้องดึงตัวเองกลับมาให้ร่างกายมันพร้อมเพื่อที่จะไปในพาร์ทศิลปิน ผมจะจมกับมันอยู่นานไม่ได้มันเป็นแบบนี้

สมาร์ท-บูม
สมาร์ท-บูม

First Impression การทำงานร่วมกัน ?

สมาร์ท: โดยเนเจอร์ส่วนตัวของผมแล้ว ผมเป็นคนค่อนข้างที่จะไม่ค่อยเข้าหาคน กลัวจะไปทํให้เขาไม่ประทับใจ ผมก็เลยไม่ได้เข้าไปพูดกับพี่เขาเท่าไหร่ในตอนแรก ผมก็แอบเกร็งๆ อยู่ด้วย แต่ว่า พอผมได้เข้าคู่กับพี่เขาได้เล่นแล้วได้เห็นพี่เขาส่งมาให้เรา ผมรู้สึกว่าพี่คนนี้เก่งมากๆ พี่เขาสามารถทําให้ผมรู้สึกประทับใจเล็กๆ ได้ ณ วันนั้น ก็พี่เขาเก่ง พี่เขาต้องรู้สึกมากขนาดไหนเลยทําให้เรารู้สึกตามไปด้วยได้ แล้วก็พอเข้าคู่กันเสร็จ มันจะมีซีนตลก ซีนคอมเมดี้หน่อยๆ เป็นซีนที่ผมต้องเล่นกับพี่เขาแล้วแบบว่าเราต้องหยอกให้เขาเขิน แล้วพอผมหยอกไป ผมก็ไม่รู้ว่าคิดไปเอง ผมก็หยอกไป แล้วผมรู้สึกว่าพอพี่เขารีแอคกลับมามันน่ารักดีเฉยๆ มันก็เลยทําให้ความรู้สึกว่าผมสามารถเล่นกับพี่คนนี้ได้นะ เพราะพี่เขาดูน่ารักดี ณ ตอนนั้น เวลาพี่เขาเล่นกับเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเออพี่คนนี้น่ารักดี

บูม: สําหรับผมก็ครั้งแรกที่เจอ เหมือนบูมเองก็ไม่เคยเจอมาก่อน แล้วพอเจอครั้งแรกเขาดูเงียบๆ ไม่พูด ถามคํา ตอบคํา ถามชื่ออะไรก็แบบสมาร์ทครับ แล้วเราก็มีความประหม่าอยู่ในในระดับนึง พอเรารู้ว่าเราต้องเล่นด้วยกันเหมือนอยากจะเรียนรู้เขาว่าเขาเป็นคนประมาณไหน ความรู้สึกยังไง แต่นิ่งมาก นิ่งจนแบบผมเอ๊ะไอบ้านี่ยังไงกันแน่นะ เหมือนผมก็พยายามจะชวนคุยเพราะว่าเราต้องเล่นด้วยกันเพื่อที่จะมันจะได้สมูท ก็พยายามชวนคุยอยู่หลายรอบแล้วก็ก็คุยกันเรื่อยๆ จนมาถึงเขาก็เอาเลย เขาก็เอาซีนให้เราเล่นเลย เราก็เอาวะไม่พร้อมเลย ไม่พร้อม ก็ต้องพร้อม พอเล่นไปซีนนึงเขาก็บอกว่าโอเค แล้วก็อีกซีนนึงไม่มีอะไรเลยไม่มีบทอิมโพรไวท์ล้วนๆ เขาก็ไปบอกโจทย์คนนี้ แล้วก็ไม่บอกผมไม่บอกอะไรผมเลย แล้วก็ให้คนนี้เข้ามา แล้วก็เล่นอะไรบางอย่าง ซึ่งก็อ้อนเหลือเกิน และผมก็รู้แค่ว่าผมต้องไม่ให้ ผมรู้แค่นี้ ปรากฏว่าเขาก็พยายามอ้อนแล้วเราก็รู้สึกว่า แรกๆ นี่มันน่ารําคาญจังวะ มันน่ารําคาญจังวะ เสร็จแล้วพอทําไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าก็น่าจะดี คือเขาอิมโพรไวท์มา แล้วเราก็คิดว่ามันจบแล้วเราคิดว่ามันจบแล้วปรากฏว่าไม่จบ ต่อ ผมก็แบบเอ๊ะ นั่นเป็นความรู้สึกแรกที่ผมประทับใจมากๆ ประทับใจสมาร์ทสุดๆ เลย เพราะว่าตอนนั้นผมเขินจริงเพราะเขาแบบไม่หยุดไม่หยุดสักที

หลอมรวมกันยังไงเพื่อให้การทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ?

บูม: อย่างแรกเลยครับเราเชื่อมเอนเนอร์จี้กัน ผมพยายามที่จะรู้สึกถึงเขาให้ได้มากที่สุด โดยการที่เราก็มีอะไรเราก็คุยกัน แล้วผมบอกเขาตั้งแต่ตอนแรกว่า ผมไว้ใจเขาผมไว้ใจเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยการที่มันจะมีอันนึงก่อนที่ผมจะบอกว่าผมไว้ใจเขา มันจะมีแบบฝึกหัดอันนึงที่มันเหมือนเป็นการให้เล่นด้วยกัน โดยการจับมือจับมือกันอย่างนี้ครับ เสร็จแล้วให้ต่างคนต่างทิ้งน้ำหนัก แล้วถ้าใครทิ้งเยอะอีกคนนึงก็จะดึงมากขึ้นเพื่อที่จะไม่ให้ล้ม ผมทิ้งหมดเลย เพราะผมอยากรู้คนๆ นี้เขาจะปล่อยให้ผมล้มไหม ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เราเวิร์คช็อปด้วยกัน แล้วเขาไม่ปล่อย เขาไม่ปล่อยเขาดึงแบบสุดมือนั่นก็คือโอเค ผมเชื่อใจคนนี้ได้

สมาร์ท: มันเริ่มมาจากที่เราเจอกันทุกวัน แล้วก็ไปได้ได้เวิร์คช็อป แล้วก็เหตุการณ์นั้นที่บอกว่า คือเขาวัดเราว่าผมจะดึงเขาได้มากขนาดไหน ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า คือผมไม่อยากปล่อยผมเหมือนมันมีความรู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ณ ตอนนั้นตัวเองรู้ว่าเขาทดสอบเราไหม ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าให้นึกไปตอนนี้แต่เราแค่รู้สึกว่าเราไม่อยากปล่อย คือแบบว่าไม่อยากจะยอมแพ้เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่แบบว่าอย่ายอมแพ้ ต่อให้แบบแม่งจะเมื่อยจนจะตายอยู่แล้ว อย่ายอมแพ้ อย่าปล่อยผมก็ยืนอย่างนั้น

บูม: ผมนิสัยเป็นอย่างนี้ คือผมเป็นคนอยากวัดใจ อยากชาเลนจ์ทั้งเขาแล้วก็ผมด้วยวัดกันไปเลย

สมาร์ท-บูม
สมาร์ท-บูม

ทุกวันนี้เป็นเซฟโซนให้กันได้หรือยัง ?

สมาร์ท: คือพี่บูมเป็นหนึ่งความสบายใจของผม

บูม: ให้พูดอีกที

สมาร์ท: เป็นหนึ่งในความสบายใจของผมแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เล่นด้วยกันแหละครับ ผมแค่รู้สึกว่าเล่นกับพี่คนนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าไม่ต้องมาเกร็ง ไม่ต้องกลัวว่าเราจะทําอะไรผิด มันไม่มีความเกร็ง ณ ตรงนั้น มันแค่แบบว่าเล่นก็ปล่อยเราเชื่อได้ว่าพี่เขาสามารถรับที่เราส่งไปได้แน่นอน แล้วก็สามารถรับไปแล้วก็สามารถไปต่อโดยที่แบบจูงมือเราไปต่อได้อีกครับผม

Top Form The Series เป็นไงบ้างกับซีรีส์เรื่องนี้ ?

บูม: สําหรับผมมันจะเป็นมาสเตอร์พีช ผมตั้งใจทุกซีนแล้วเราก็ทําการบ้านกันหนักมาก ผมโชคดีผมที่มีสมาร์ท ผมโชคดีที่มีทีมโปรดักชั่น ผมโชคดีที่มีไดเรกเตอร์ที่เขาใส่ใจมากๆ เราใช้เทคนิคเขาจะบอกว่าเอาใหม่ ละเอียดมากเลยครับต้องให้เลยจริงๆ เพราะว่าเหมือนเขาจะเป็นไดเรกเตอร์ เขาจะเห็นว่าสีนี้เราเล่นเป็นสีอะไร สีสว่าง สีมืด สีอะไรอย่างนี้ ซึ่งอันนี้ผมต้อยอมรับเลยว่าผมเรียนรู้จากเขา

สมาร์ท: ผมก็คล้ายๆ กับพี่บูมเลยครับ คือมันเหมือนผมทํางานในกองนี้ได้เจอทีมงาน ได้เจอพี่บอสผู้กํากับ ได้เจอพี่บูมมันเป็นสิ่งที่ใหม่สําหรับผม ซึ่งมันเป็นการที่ทําให้ผมได้เรียนรู้ในฐานะ นักแสดงแบบเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ บรรยากาศกองก็ดีมากๆ มันไม่ได้เป็นการที่คนไปเพื่อทํางาน เสร็จแล้วกลับบ้าน เป็นฟีลแบบว่าเหมือนเราเฮฮากับทุกคน ซึ่งมันเป็นความทรงจําที่ดีสําหรับผมเหมือนกัน เป็นความทรงจําในกองถ่ายที่มีค่ามากๆ เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่ผมบอกไปผมเป็นคนที่เกร็งไม่กล้าเข้าหาคนอื่นมากๆ ไม่รู้จะเข้าหายังไง แต่พอไปกองนี้ผมรู้สึกสบายใจเพราะว่าทุกคนเฟรนลี่เป็นกันเอง จนทําให้เราคลายความเกร็ง เป็นคนไปได้คุยเล่นกับทุกคนได้ รู้สึกสนุกกับการทํางานครับ

คาแรคเตอร์ในเรื่องเป็นยังไง ?

สมาร์ท: จินคาแรคเตอร์ของเขาในเรื่องอะเขาจะเขียนกํากับไว้โตๆ เลยว่า พ่อหนุ่มออร่าเทวดาเพราะว่า เหมือนจินแทนด้วยความแบบสดใส มีเสน่ห์ มีออร่า มีความแบบขาวๆ ใช่แล้วก็เป็นคนที่มีความสามารถในด้านการแสดงสูงมากๆ แล้วก็ทําให้เขาเนี่ยได้การยอมรับจากวงการบันเทิงค่อนข้างเร็ว แต่ว่าจินเขาเป็นคนที่มีสภาวะจิตใจว่างเปล่า เป็นคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตไม่มีเป้าหมาย จนวันนึงเขาได้ไปเจอกับอคินหนุ่มน่ากอดอันดับหนึ่งได้ไปร่วมงานกัน แล้วก็อคินทําให้จินประทับใจ จนจินเขาอยากเป็นเหมือนคนๆ นี้รู้สึกชอบเลย คนๆ นี้ รู้สึกประทับใจ อยากไปอยู่ข้างๆ ครับ

สมาร์ท ชิษณุพงศ์
สมาร์ท ชิษณุพงศ์

ตัวละครนี้ยากไหมสำหรับสมาร์ท ?

สมาร์ท: ยากอยู่ครับ การที่แบบมีความหล่อ มีออร่าสําหรับผมมันยากมาก เพราะส่วนตัวเป็นคนแบบไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ครับ

บูม: มั่นในสิ

สมาร์ท: เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ ไม่ค่อยไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ เขาต้องมีความเป็นออร่าตรงนี้ ซึ่งมันยากสําหรับเรามากๆ แต่มีพี่ๆ ทีมงานผู้กํากับ มีพี่บูมอยู่ก็ขอคําแนะนําขอคําปรึกษาตลอดครับผม พี่บูมเขาจะเป็นคนให้ความมั่นใจ ความพราวให้กับผมมากๆ มันมีซีนอยู่ซีนนึงที่ผมต้องพราวมากๆ คือวันนั้นเป็นวันของจินเลย ซึ่งพี่บูมเขาเข้ามาบอกกับผมเลย แบบว่าวันนี้เป็นวันของจินนะ มึงทําให้เต็มที่เลยวันของมึงมึงทําได้แล้ววันนี้สําเร็จแล้ว เออเขาเข้ามาพูดแบบนี้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แบบทําให้รู้สึกภูมิใจ รู้สึกขอบคุณพี่เขามากๆ

บูม: อคินเป็นหนุ่มน่ากอด 5 ปีซ้อน แล้วก็เป็นตัวละครที่มั่นใจมากๆ แล้วก็ค่อนข้างที่จะหยิ่งเหมือนแบบว่าเขาจะเป็นคนที่มีความมั่นใจมากแล้วก็ประสบการณ์แสดงสูงมาก แต่ว่าด้วยความที่อคินทํางานมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เลยไม่เคยมีความรัก ประสบการณ์เรื่องความรักแทบจะ เป็นศูนย์เลย พอเขายืนอยู่จุดนี้มานานๆ เขาก็จะมีความมั่นใจว่าไม่มีใครมาเทียบได้หรอก แต่จู่ๆ เนี่ยก็มีดาวรุ่งพุ่งแรงขึ้นมา ผมรู้สึกตัวละครนี้มันติดตัวผมตลอดไป มันมีทั้งความคล้ายมีความที่เราเห็นภาพมันในฝัน เห็นภาพว่าเราอยากจะเป็น เพราะว่าบูมอยากเป็นนักแสดงที่เก่ง เก่งถึงขั้นไม่มีใครเทียบเราได้ แล้วอคินเป็นคนแบบนั้น พอเราหามันเจอแล้วรู้สึกภูมิใจมากๆ ทุกครั้งที่บูมมากอง หรือว่า ป็นอคินมันมีความสุขมากจริงๆ

ตัวละครนี้มันมีความเป็นบูมกี่เปอร์เซ็นต์ ?

บูม: บูมว่ามันรวมอยู่ในตัวบูม อคินกับทาคาโตะ บูมกับทาคาโต มันรวมเป็นอคินอะ มันเหมือนขอโทษนะครับ เหมือนบูมกินทาคาโตะเข้าไป ผมไม่เคยอยากสลัด เพราะผมอยากเป็นอคิน ผมรู้สึกเหมือนผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เป็นอคิน ผมไมอยากให้หยุดถ่ายเลย ไม่อยากให้ปิดกอง

บูม รวีวิชญ์
บูม รวีวิชญ์

อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องพูดถึงฉาก NC ?

บูม: การถ่าย NC ซีนนี้เราใช้เวลาถ่ายนานที่สุดเลย เพราะว่าซีน NC มันเป็นซีนไอคอนิคของเรื่องนี้เลยครับ เพราะว่าเรื่องนี้มีแต่คนพูดถึง คือเราแค่ลงว่าน้ำผึ้ง คนก็คือรู้เลยว่าเรื่องนี้ๆ ไม่มีเรื่องอื่นเลย แล้วพอมันเป็นแบบนี้ ผู้กํากับเราเลยทุ่มกับซีนนี้สุดๆ แล้วก็ซีนนั้นเนี่ย ผมจําได้ว่าเราอาบน้ำประมาณ 3-4 รอบ

สมาร์ท: ใช่เป็นวันที่อาบน้ำเยอะที่สุด

บูม: อาบน้ำเยอะมาก สนุกมากครับ คือมีทั้งน้ำผึ้งแท้ น้ำผึ้งวิทยาศาสตร์ เยอะมากแล้วก็ต้องทำออกมาให้สวยที่สุด

สมาร์ท: ด้วยความเป็นไอคอนิคของมังงะครับซีนนี้ ทั้งพวกเราทั้งพี่ผู้กํากับก็เลยใส่ใจรายละเอียดมากๆ อย่างเช่นที่พี่บูมบอกว่ามีน้ำผึ้ง น้ำผึ้งแท้ น้ำผึ้งวิทยาศาสตร์ แล้วคือมันไม่ใช่การเอาน้ำผึ้งมาราดเฉยๆ ได้เพราะมันจนหนืดเกินไปก็เลยแบบผสมนู่นนี่นั่นให้มันดูไหลลื่นดูแบบมันดูออกมาสวยอะครับ

บูม: แต่ผู้กํากับเราอย่างที่บอกเรียลมากๆ เขาให้เราเล่นหลายเทค เขาไม่ปล่อยเรา เขามีแต่แบบว่าอย่าเลยตรงนี้นะ อย่าเลยตรงนี้ประมาณนี้ แต่จะทําอะไรทําเลย แล้วก็ลุย เราก็มีการคุยกันว่าแบบประมาณนี้นะ อันนี้โอเค อันนี้ไม่โอเค อันนี้ชอบไหมอันนี้ไม่ชอบ เราจะได้ไม่เขินกันครับ

ฝากผลงานซีรีส์เรื่องนี้ของทั้งคู่อีกครั้ง ?

บูม: ฝากซีรีส์ Top Form กอดกันมั้ยนายตัวท็อป ด้วยนะครับ ดูได้ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 2 ทุ่มนะครับ ก็ทาง WeTV นะครับ

สมาร์ท: สําหรับใครที่มี VIP นะครับ สามารถรับชมได้ล่วงหน้าก่อนเลยครับ 1 ตอน ฝากด้วยนะครับ

สั่งชาเขียวหวานน้อย ทำไมได้น้ำเปล่ากลับมา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ (Strictly Necessary Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของเว็บไซต์ feedforfuture.co ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้ทุกส่วน โดยเฉพาะส่วนสมาชิกผู้ใช้งานของเว็บไซต์ ตลอดจนการตรวจสอบจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้ด้านประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อวิเคราะห์ และช่วยให้เราทราบถึงพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานบนเว็บไซต์ของเรา

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้ในการบันทึก และจดจำคุณลักษณะต่างๆ ที่ท่านได้เลือกขณะเข้าชมเว็บไซต์ของเรา เช่น หมวดหมู่ และเนื้อหาที่ท่านชอบอ่านมากที่สุด เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ และนำกลับมาใช้เมื่อท่านกลับเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราอีกครั้ง เพื่อปรับให้ท่านได้รับชมเนื้อหาได้ตรงกับความชอบของท่านให้มากที่สุด

  • คุกกี้เพื่อนำเสนอโฆษณาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Advertising Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ใช้เพื่อจดจำพฤติกรรมการอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ของท่าน รวมถึงรายละเอียดของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ เพื่อนำไปใช้วิเคราะห์การนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุด และช่วยวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาที่เรานำเสนอด้วย ตลอดจนช่วยป้องกัน หรือจำกัดจำนวนครั้งที่ท่านจะเห็นโฆษณาเดิมซ้ำๆ

บันทึก