เป็นประเด็นถกเถียงกันมาสักพัก สำหรับค่าเซอร์วิสชาร์จในร้านอาหาร หรือร้านบุฟเฟ่ต์ทั่วไป ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ว่าร้านอาหารรูปแบบไหนก็มีการคิดเซอร์วิสชาร์จเกือบทุกร้าน (ร้านจำนวนมากคิดที่ 10% ของค่าอาหาร)
หลายคนมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางคนก็มองว่าการบริการที่ได้รับ ไม่สอดคล้องกับเซอร์วิสชาร์จที่ต้องจ่าย (เช่น มาเสิร์ฟครั้งเดียวแล้วหายไปเลย) แต่ด้วยกฎของร้านถูกวางมาแบบนี้ ก็คิดว่าไม่สามารถโต้แย้งหรือขัดข้องได้ นอกจากเลือกใช้บริการร้านที่ไม่คิดเซอร์วิสชาร์จเท่านั้น
หรือเรามีทางที่จะปฏิเสธไม่จ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จได้
เรื่องนี้เป็นกระแสมากขึ้น เมื่อเฟซบุ๊ก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้อ้างอิงข้อมูลจากเฟซบุ๊กคุณ Chakaraht Phromchittikhun ที่โพสต์เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 65 เล่าประสบการณ์ ใจความสำคัญว่าได้ปรึกษาทนายว่าร้านอาหารสามารถเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จลูกค้าได้ไหม และพบว่า ลูกค้ามีสิทธิที่จะไม่จ่ายค่า เซอร์วิสชาร์จและทางร้านไม่มีสิทธิในการเรียกเก็บ
“ผมพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เราไปร้านอาหาร เราไปซื้ออาหาร หลังจากที่เราสั่งอาหาร ถือว่าการตกลงซื้อขายได้เกิดขึ้นแล้ว และกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการกินอาหาร ก็มีแค่พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟให้เรา การเรียกเก็บค่า service charge 10% จึงไม่มีความเป็นธรรม เพราะไม่ได้มีบริการเสริมใดๆ ขึ้นมาจากการเสิร์ฟอาหารปกติ และต่อให้มีบริการอะไรที่เพิ่มเป็นพิเศษ ลูกค้าก็ต้องมีสิทธิเลือกว่าจะซื้อบริการนั้นหรือไม่”
หลังจากนั้นผู้โพสต์เล่าว่าได้ปฏิเสธการจ่ายค่า service charge มาโดยตลอด และได้คุยกับผู้จัดการร้านทุกร้านว่าไม่ขอจ่าย และพร้อมให้ทางร้านฟ้อง เพื่อให้ศาลตัดสินเป็นคดีตัวอย่าง และระบุด้วยว่า การไม่ต้องจ่ายค่า service charge ทำให้มีเงินเหลือมากขึ้น ถ้าคิดตลอดชีวิตที่เสียไปจะคิดเป็นเงินจำนวนมากเทียบเท่ากับซื้อรถยนต์ได้ 1 คัน หรือ หากนำไปลงทุนในกองทุนรวม คงกลายเป็นล้านไปแล้ว
ด้านเว็บไซต์ ประชาคมศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่อินโฟกราฟิก ความเห็นทางกฎหมายของ ผู้ช่วยศาตราจารย์เฉลิมวุฒิ ศรีพรหม อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเนื้อหา ดังนี้
จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เซอร์วิสชาร์จ (service charge) หมายถึง ค่าบริการที่ผู้ประกอบการขายสินค้านั้นๆ คิดเพิ่มจากผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการ
การที่จะต้องจ่าย หรือไม่จ่ายเซอร์วิสชาร์จนั้นมีพื้นฐานมาจาก “ข้อตกลงหรือสัญญา” ที่เกิดขึ้นระหว่างลูกค้ากับผู้ประกอบการ ภายใต้หลักกฎหมายแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
ในขั้นตอนการก่อสัญญา หากมีการประกาศหรือแจ้งเงื่อนไขเกี่ยวกับการจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จก่อนให้บริการ ในบริบทของการทำสัญญา มันก็คือคำเสนอจากทางฝั่งผู้ประกอบการว่าจะให้บริการขายสินค้า/บริการโดยมีค่าเซอร์วิสชาร์จ หากลูกค้าไม่แสดงเจตนาโต้แย้งหรือปฏิเสธก็ถือว่ายอมรับคำเสนอดังกล่าวโดยปริยาย กรณีนี้มันก็เป็นหนี้ผูกพันให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จ เมื่อมีการเรียกเก็บค่าสินค้าหรือบริการ ฉะนั้นในขั้นตอนก่อนทำสัญญานี้
หากลูกค้าไม่ต้องจ่ายเซอร์วิสชาร์จผมก็แนะนำให้แสดงเจตนาว่าไม่ต้องการจ่ายเซอร์วิสชาร์จ เพื่อให้ถือว่าเป็นการบอกปัดคำเสนอเดิมและทำคำเสนอขึ้นมาใหม่ หากผู้ประกอบการยังประสงค์จะให้บริการอยู่ก็ถือว่ายอมรับคำเสนอ (ใหม่) จากทางฝั่งลูกค้า ทำให้การให้บริการขายสินค้า/บริการนั้นไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับการจ่ายเซอร์วิสชาร์จอยู่เลย เมื่อไม่มีข้อตกลงก็ไม่มีหนี้ที่ลูกค้าต้องจ่าย
ในกรณีที่เกิดหนี้ผูกพันที่ลูกค้าต้องจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จ มันก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกค้ามีความผูกพันฝ่ายเดียวในการจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จ ส่วนตัวผมเห็นว่า ข้อตกลงการจ่ายเกี่ยวกับเซอร์วิสชาร์จ เป็นข้อตกลงที่ก่อให้เกิดการชำระหนี้ต่างตอบแทน (ผ่านการตีความอุดช่องว่าง ป.พ.พ. มาตรา 368) หมายความว่าลูกค้าผูกพันต้องจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จบนเงื่อนไขของการได้รับบริการเพิ่มเติมเป็นพิเศษจากการให้บริการขายสินค้า/บริการตามปกติของผู้ประกอบการ ดังนั้น
หากลูกค้าไม่ได้รับบริการเพิ่มเติมเป็นพิเศษ หรือได้มาแบบไม่ได้สัดส่วนอย่างมากกับเงินที่ต้องจ่ายในส่วนนี้ ผมเห็นว่า ลูกค้าสามารถปฏิเสธไม่ชำระค่าเซอร์วิสชาร์จได้ตามหลักที่ปรากฎใน ป.พ.พ. มาตรา 369 เพราะไม่ได้รับบริการเพิ่มเติมอันเป็นการชำระหนี้ตอบแทนค่าเซอร์วิสชาร์จจากฝั่งผู้ประกอบการ ยกตัวอย่าง ไปทานอาหารที่ร้านอาหาร การที่พนักงานมาเสิร์ฟอาหารเพียงอย่างเดียวอาจถือว่าเป็นการชำระหนี้ส่งมอบสินค้าตามปกติเท่านั้น ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เมื่อถึงเวลาเก็บค่าอาหาร ลูกค้าปฏิเสธไม่จ่ายสัดส่วนที่เป็นค่าเซอร์วิสชาร์จได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 369
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 368 “สัญญานั้นท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย”
มาตรา 369 “ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้ หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด”
FEED สรุปแนวทางเป็นภาษาไม่เป็นทางการได้ว่า
1.แจ้งทางร้านก่อนใช้บริการว่าไม่ต้องการจ่ายเซอร์วิสชาร์จ โดยหากทางร้านยังให้บริการต่อ เท่ากับเป็นการทำข้อตกลงกันใหม่ว่า บริการขายสินค้า/บริการโดยไม่มีค่าเซอร์วิสชาร์จ
2.กรณีลูกค้าไม่แสดงเจตนาโต้แย้งหรือปฏิเสธการจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จ ตามที่ทางร้านระบุ ถือว่ายอมรับคำเสนอดังกล่าวโดยปริยาย แต่หากลูกค้าไม่ได้รับบริการเพิ่มเติมเป็นพิเศษหรือหรือได้มาแบบไม่ได้สัดส่วนอย่างมากกับเงินที่ต้องจ่ายค่าลูกค้าสามารถปฏิเสธไม่ชำระค่าเซอร์วิสชาร์จได้
โดย ผู้ช่วยศาตราจารย์เฉลิมวุฒิ ยกประเด็นว่า การที่พนักงานมาเสิร์ฟอาหารเพียงอย่างเดียวอาจถือว่าเป็นการชำระหนี้ส่งมอบสินค้าตามปกติเท่านั้น ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เมื่อถึงเวลาเก็บค่าอาหาร ลูกค้าปฏิเสธไม่จ่ายสัดส่วนที่เป็นค่าเซอร์วิสชาร์จได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 369