ในที่สุด HBO, ทีมผู้สร้าง และ George RR Martin เจ้าของบทประพันธ์ก็กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้ง เมื่อซีรีส์ House of the Dragon ประสบความสำเร็จทั้งในด้านจำนวนเรตติ้งผู้ชม ตลอดจนเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ด้านบวกพอสมควร (ได้ไป 85% จากค่ายมะเขือเทศ Rotten Tomatoes)
หลังจากที่เคยปิดจบมหากาพย์ Game of Thrones – GOT ได้ ปัง (พินาศ) ทางลบ ซีซั่น 8 โดนวิจารณ์ยับ สับไม่เลี้ยง ค่าที่สร้างมาตรฐานสูงลิบมาตลอด 7 ซีชั่น แต่ดันมาตกม้าตายเอาตรงบทสรุป
Hose of the Dragon มีความครบเครื่องพอตัว ทั้งในด้านบท/เส้นเรื่อง ที่ชวนให้ติดตาม ได้เห็นมังกรและฉากแอ๊กชันอลังการ CG จัดเต็ม รวมถึงฝีมือของนักแสดงที่เข้ามาสวมบทบาทตัวเอกในเรื่อง
นั่นก็เป็นเหตุผลที่สมควรแก่การรับชม ไม่ว่าจะเคยเป็นติ่ง GOT มาก่อน หรือเพิ่งจะมาเข้าร่วมในการสร้างภาคย้อนกลับไป 200 ปีก่อนเรื่องราวของ GOT ก็ตาม
เส้นเรื่องหลักว่าด้วยการช่วงชิงอำนาจและบัลลังก์เหล็กภายในตระกูล ทาร์แกเรียน Targaryen เมื่อ กษัตริย์วิเซริส ทาร์แกเรียน เริ่มวางเกมในการตั้งผู้สืบทอด แต่ดันไปเลือกเอา ลูกสาวคนโต เรนีรา ทาร์แกเรียน ชนิดแหกโผ ผิดธรรมเนียมซะอย่างนั้น (เดิมผู้หญิงไม่เคยมีสิทธิ์นี้)
นั่นทำให้ เดม่อน ทาร์แกเรียน น้องชายของกษัตริย์วิเซริส เริ่มคิดว่าเด็กสาวคนนั้นจะเหมาะเท่ากับนักรบผู้เก่งกาจอย่างอั๊วได้ยังไง นับจากจุดนั้นเรื่องราวก็เดินต่อไปอย่างซับซ้อนมากขึ้นๆ
ผู้เล่นที่เพิ่มเข้ามาในเกมอำนาจยังมี อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ บุตรสาวของ ออตโต ไฮทาวเวอร์ (ผู้มีตำแหน่ง Hand of the King หรือมือขวาของกษัตริย์) ซึ่งเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนสนิทของ เรนีรา ทาร์แกเรียน ที่อัพเกรดขึ้นมาเป็น ราชินีคู่กายของกษัตริย์วิเซริส กระทั่งต่อมาพัฒนากลายเป็นขั้วอำนาจที่ แฟนๆ เรียกขานกันว่า “ทีมเขียว”
ส่วนคู่ขัดแย้งเดิมอย่าง เรนีรา และ เดม่อน ที่แย่งชิงโอกาสกัน กลับพลิกมารวมขั้วเข้ากับ ตระกูล คอร์ลิส เวลาเรียน ที่รู้จักกันในชื่อ บ้าน “อสรพิษทะเล” (ช่วงหนึ่ง เรนีรา ถูกพ่อส่งมาแต่งกับตระกูลนี้เพื่อกระชับอำนาจ เสริมความมั่นคงทางน่านน้ำ)
ที่สำคัญขั้วอำนาจฝั่งนี้มีแต้มต่อคือ สะสมมังกรเอาไว้เยอะมากกว่า และเป็นเรื่องที่ผู้ชมก็พอเดาออกว่า เมื่อกษัตริย์วิเซริส สิ้นอายุขัย เกมช่วงชิงบัลลังก์เหล็กก็ยิ่งดุเดือด เข้มข้น ฟาดฟันกันทั้งเกมบนดิน ใต้ดิน ด้วยกำลังกองทัพ ด้วยพลังความรู้ ข่าวสาร และสายสัมพันธ์ในมือ
House of the Dragon จบซีซั่นแรกทั้ง 10 EP ได้อย่างเข้มข้นและชวนให้แฟนๆ กระหายที่จะรอชมภาคต่อไป (ซึ่งมีข่าวว่าอาจต้องอดใจรอนานถึง 2 ปี) แต่กระนั้น ในมุมมองส่วนตัวก็ยังไม่ว้าวถึงขนาดที่จะเอาชนะ Game of Thrones ซีรีส์ต้นทางได้
ด้านหนึ่งเป็นเพราะเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว ผมยังรู้สึกว่า Game of Thrones มีปมหลักและปมย่อยในเรื่องซับซ้อนเร้าใจมากกว่า ในแง่ความโหดเถื่อนนั้นเหนือกว่าหลายขั้น ความเด็ดขาดในการทุบตัวละครก็มีความไม่ยั้งมือมากกว่าเยอะ
ขณะที่ Game of Thrones มีผู้เล่นหลากหลายจาก House ต่างๆ ใน 7 อาณาจักร แถมยังมีภัยคุกคามจากนอกกำแพงเป็นตัวแปรเพิ่มเข้ามา Hose of the Dragon กลับมุ่งเน้นที่ปมขัดแย้ง รัก-ชอบ-ชัง ภายในกลุ่มตระกูล ทาร์แกเรียน และผู้คนที่รายล้อมมากกว่า
โทนดราม่าแบบ ศึกสายเลือด การเชือดเฉือน ชิงไหวชิงพริบ จึงกลายเป็นแกนหลักที่ซีรีส์ พยายามพาผู้ชมเดินทางไปให้เห็นความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการของตัวละครแต่ละคน แต่ละฝ่าย ที่เมื่อถึงที่สุดแล้ว บัลลังก์-อำนาจ-ผลประโยชน์ คือเป้าหมายหลักที่ต่างฝ่ายต่างปรารถนาที่จะช่วงชิง โดยไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการและความถูกต้อง
สลับกับความตื่นตาตื่นใจที่ได้ชมฉากการใช้มังกรเพื่อเสริมอำนาจเป็นระยะๆ
ยิ่งเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้าย ปมศึกสายเลือดยิ่งถูกขับเน้น ปูทางไปสู่การเผชิญหน้า ไม่ว่าจะพยายามประนีประนอมเชิงอำนาจขนาดไหน ความโกรธเกลียดถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สุดท้ายการใช้กำลังเพื่อทำสงคราม ก็ยังเป็นทางเลือกที่ถูกนำมาใช้เพื่อชี้ขาดว่า ขั้วอำนาจใดจะพิชิตชัยชนะและได้ครอบครองบัลลังก์เหล็ก
สงครามช่วงชิงอำนาจเพื่อรักษาหรือได้มาซึ่งผลประโยชน์ จึงยังคงเป็นแก่นแกนที่ผลักดันมนุษย์ ได้ดีที่สุด … ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย
หมายเหตุ : Hose of the Dragon สามารถรับชมผ่านระบบสตรีมมิ่ง ได้ทาง HBO GO