“ONE ลุมพินี” รายการมวยทุกคืนวันศุกร์ หลังข่าวค่ำช่อง 7HD ที่จัดขึ้นภายใต้แบรนด์ ONE Championship สร้างกระแสความนิยมได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นที่พูดถึงในวงสนทนาของแฟนหมัดมวยไทยตลอดทุกสัปดาห์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแข่งขันที่ดุเดือด ตื่นเต้น เร้าใจ เรื่องเงินโบนัสพิเศษที่แจกให้นักมวยในแต่ละไฟต์รวมๆ แล้วเป็นหลักล้าน โดยล่าสุดในศึก “ONE ลุมพินี 26” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา บิ๊กบอส “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” ควักกระเป๋าจ่ายโบนัสให้นักมวย 4 คน คนละ 350,000 บาท รวมเป็นเงิน 1.4 ล้านบาท
เรียกได้ว่าแจกกันหนักๆ ทุกสัปดาห์ เพื่อหวังให้นักมวยไทยลืมตาอ้าปากได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตอบแทนความพยายามและหยาดเหงื่อแรงกายตนเอง
FEED มีโอกาสสัมภาษณ์ “ปลาย” จิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน ONE Championship ประเทศไทย และโปรโมเตอร์สนามมวยลุมพินี ในหลากหลายประเด็น แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากรู้มากที่สุดคือ ทำไม ONE Championship ถึงทุ่มเงินมหาศาลให้กับนักชกไทยที่มาต่อยในรายการ “ONE ลุมพินี”
เงินโบนัสคือกลไกแห่งแรงจูงใจ
จิติณัฐ อัษฎามงคล : ต้องบอกว่าโบนัส คือกลไกแห่งแรงจูงใจที่จะทำให้นักกีฬาต่อสู้อย่างเต็มที่นะครับ สำหรับคอนเทนต์ศิลปะการต่อสู้รายการมวยทุกชนิดเนอะ คนอยากดูการเผด็จศึก คนอยากดูการต่อสู้ที่ดุเดือด คนอยากดูการต่อสู้ที่มันตื่นเต้นเร้าใจ
ผมยกตัวอย่าง มวยบ้านเราที่ยังไม่สามารถออกจากกับดักของการพนันแบบที่สามารถเปิดให้การพนันเข้ามาแทรกแซงได้เนี่ย นักมวยจะพึ่งเงินอัดฉีดจากเซียนพนัน นักมวยจะพึ่งเกมใต้ดินอย่างเช่นจ้างให้ล้มมวยนะ เดี๋ยวให้มากกว่าค่าตัวอีกอะไรอย่างนี้
ซึ่งนักมวยบางคนน่ะค่าตัวหลักพันบาท คุณให้เขา 30,000 – 50,000 บางทีเขาก็พร้อมที่จะทรยศวิชาชีพเขาได้แล้ว เพราะว่ามาตรการการลงโทษก็ต่ำมาก การป้องกัน การพิสูจน์ทำได้น้อยมาก ทำให้อุตสาหกรรมมันตกเป็นทาสของเงินใต้ดิน ที่เขาสามารถกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างได้
แต่ถ้ามีรายการที่สามารถให้ค่าตอบแทนที่สูงมากๆ แล้วก็ค่าตอบแทนนั้น base บนแรงจูงใจที่ขอให้คุณสู้ให้สมศักดิ์ศรี โชว์ศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทยที่สนุกตื่นเต้นเร้าใจ และพยายามให้เห็นถึงสปิริตความเป็นนักสู้ที่จะเผด็จศึกคู่ต่อสู้
หรือต่อให้คุณไม่ได้เป็นผู้ชนะ ขอให้คุณโชว์ความเป็นนักสู้ของคุณที่ทำให้คนทั่วโลกได้รับแรงบันดาลใจ ได้ตื่นเต้นเร้าใจ คุณก็มีสิทธิ์ได้โบนัสนั้นได้ แล้วโบนัสของเราอย่างต่ำคือ 350,000 บาท
จิติณัฐ อัษฎามงคล กล่าว
มูลค่านักมวยไทยลดลงมานานกว่า 1 ทศวรรษแล้ว
จิติณัฐ อัษฎามงคล : ประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาค่าตัวสูงสุดของนักมวยไทยที่ชกในประเทศไทย แค่ประมาณ 200,000 – 250,000 เท่านั้นเอง ไม่รับรวมเงินอัดฉีดอื่น แล้วคิดดูว่าผ่านมาประมาณ 10 กว่าปี
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว 200,000 – 250,000 มันคือเรตหนึ่งนะ ในปัจจุบัน 200,000 – 250,000 ค่าเงินมันลดลง นั่นหมายความว่ามากกว่า 1 ทศรรษที่ผ่านมา มูลค่านักมวยไทยลดลง ไม่ได้อยู่เท่าเดิม เพราะเราต้องการสร้างให้เห็นตัวอย่างว่านักมวยไทย นักศิลปะต่อสู้ไทย มันควรต้องเป็นทักษะที่มีมูลค่าสูง
คู่ควรกับเม็ดเงินอย่างที่กีฬาชนิดอื่นได้ เช่น นัก MMA นักคิกบ็อกซิ่ง นักมวยสากล อย่างมวยสากลระดับที่สูงที่สุด บางทีรายได้มันหลักระดับพันล้านเลยนะ นัก MMA ของ ONE Championship อย่าง ดิมิเทรียส จอห์นสัน ที่เป็นตัวท็อปของเรา ชกทีหนึ่งก็รายได้หลัก 30 กว่าล้านแล้ว
นักมวยคิกบ็อกซิ่งของเราที่เคยได้เงินรางวัลสูงสุดอย่าง จอร์จิโอ เปโตรเซียน เคยชนะกรังด์ปรีซ์ได้เงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทำไมมวยไทยถึงแทบไม่เคยมีนักมวยที่ได้รายได้ระดับหลักล้านเลย
เราเลยคิดว่างั้น ONE Championship ต้องเป็นคนแรกที่สร้างมาตรฐานนี้ ให้เห็นว่านักมวยไทยคู่ควร นักสู้ไทยคู่ควร และการที่เขามีรายได้ระดับสูง เขาจะต่อสู้เต็มที่ เขาจะมีแรงจูงใจ และที่สำคัญคือพอเขาชกเสร็จ เขาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้จริงๆ
ประธาน ONE Championship ประเทศไทย และโปรโมเตอร์สนามมวยลุมพินี ระบุ
ONE Championship ยกระดับมาตรฐานการแข่งขันให้สูงขึ้น
จิติณัฐ อัษฎามงคล : คุณชกกับเรา บาดเจ็บกับเรา เรารักษาให้ 100 เปอร์เซ็นต์ โบนัสค่าตัว คุณเก็บ คุณจะแบ่งกับค่าย คุณจะแบ่งกับโปรโมเตอร์ยังไง อันนั้นก็คือเป็นระบบธุรกิจของเขา แต่สำคัญก็คือนักกีฬาต้องได้ก่อน และต้องได้สูงสุดในตรงนี้
ถ้านักมวยที่ชกไปเสร็จแล้ว กลับไปอยู่นอกสังเวียน ชีวิตเขาเปลี่ยน มีบ้าน มีรถ มีความมั่นคงทางธุรกิจ เขาก็จะสามารถที่จะโฟกัสกับการที่สร้างให้อาชีพมวยไทย หรือความเป็นนักสู้ของเขามันเป็น Career Path ที่มีความมั่นคงที่มันสามารถเป็นเสมือนกับสตาร์คนหนึ่งได้จริงๆ
แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเม็ดเงินของรายได้ของนักมวยของคนในอุตสาหกรรมมันถูกกดให้ต่ำหรือมันมีกลไกบางอย่างที่มันทำให้ติดกับดักของรายได้ กับดักของต้นทุนที่มันไม่สามารถ Brake ตรงนี้ได้
แต่ ONE Championship โชคดีที่ว่าเราเป็นองค์กรที่ไม่ได้ถูกกดดันหรือบีบให้อยู่ในกรอบของกับดักของกลไกอุตสาหกรรมมวยไทยที่อยู่ในประเทศไทย เราเป็นสื่อกีฬาระดับโลก เราไป success ในระดับโลกมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราสามารถมีวิธีที่จะทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมนี้มันสูงขึ้น
แล้วเราเชื่อว่าการที่เราทำอย่างนั้น มันจะทำเป็นตัวอย่างให้คนอื่นก็จะเห็นว่าคุณสามารถหลุดจากกับดักตรงนี้ได้นะ แต่คุณต้องเปลี่ยน คุณต้อง adapt ตัวเองไปสู่อุตสาหกรรมที่มันมีความเป็นโปรเฟสชันแนล มีความเป็นนานาชาติมากขึ้น แล้วเราก็ดีใจที่ว่าหลังจากที่เราทำ เราเริ่มเห็นรายการอื่นบางทีก็เริ่มมีนะอัดฉีดมากขึ้น
ในเชิงที่ไม่ใช่จากเซียนพนันด้วย อัดฉีดจากสปอนเซอร์หรืออะไรเอง มาตรฐานการแข่งขันที่เริ่มทำให้สูงขึ้น มีความตื่นตัวในเรื่องของระบบความเป็นโปรเฟสชันแนลการตัดสิน หรือแม้แต่มาตรการอย่างการวัดค่าน้ำในตัวของนักกีฬา ที่เราเหมือนเป็นคนริเริ่ม
ตอนนี้อย่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งก็เป็นพาร์ทเนอร์ของเรา ก็กำลังคิดที่จะเอาระบบเซฟตี้ของ ONE Championship การตรวจร่างกายของ ONE Championship ไปใช้
และ adapt กับรายการอื่นๆ เพื่อยกมาตรฐานตรงนี้ขึ้นมา ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีคนที่เริ่มลงทุนก่อนในตรงนี้
ปลาย จิติณัฐ กล่าวทิ้งท้าย