หลังรอคอยมาอย่างยาวนาน วันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ประกาศคว้าตัว เมสัน เมาท์ กองกลางวัย 24 ปี กองกลางทีมชาติอังกฤษ มาจาก เชลซี คู่แข่งร่วมศึกพรีเมียร์ลีก อย่างเป็นทางการแล้ว
เมสัน เมาท์ เป็นนักเตะใหม่รายแรกของ “ปีศาจแดง” ในช่วงซัมเมอร์นี้ มาด้วยค่าตัวราว 60 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2,640 ล้านบาท เซ็นสัญญา 5 ปี พร้อมออปชันขยายเพิ่มอีก 1 ปี รับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 250,000 ปอนด์ (11 ล้านบาท) และได้รับหมายเลข 7 เป็นคนที่ 10 ในประวัติศาสตร์ทีม นับตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งมาพร้อมกับความกดดันในฐานะแข้งที่ได้สวมหมายเลขตำนานในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด
FEED จึงผู้อ่านย้อนประวัติศาสตร์นักเตะที่ได้รับ หมายเลข 7 ในตำนานของ Manchester United กันว่ามีใครปังและพังกันบ้าง

เริ่มที่ปังแบบหยุดไม่อยู่
จอร์จ เบสส์ หรือ เทพบุตรมหาภัย เรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 7 คนแรกๆ ที่แจ้งเกิดกับปีศาจแดง ด้วยการเป็นนักเตะที่มีคุณสมบัติพร้อมในทุกด้าน ทั้งความเร็ว การทรงตัว วิสัยทัศน์ การควบคุม ความสามารถในการสร้างสรรค์เกม และการยิงประตู ถือได้ว่าเป็นนักเตะที่ครบเครื่องสุดๆ จนถึงขนาดแข้งในตำนานอย่างเปเล่ยังออกมาให้การยอมรับ โดยนำทีมคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1968 มาได้สำเร็จ ร่วมกับ เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน และ เดนนิส ลอว์ (ค้าแข้งในช่วงปี 1963-1974)

คนต่อมาคงต้องยกให้ ไบรอัน ร็อบสัน หรือ ฉายากัปตันมาเวล แข้งสุดหล่อขวัญใจสาวๆ ในยุคนั้น หนึ่งในผู้เล่นที่พาปีศาจแดงกับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง จากการรอคอยอันยาวนานถึง 26 ปี โดยกัปตันปีศาจแดงผู้นี้เปรียบเหมือนเพชรแท้ที่ส่องประกาย ทั้งความเร็ว ลูกยิงที่หนักหน่วง พละกำลังที่ไม่มีวันหมด การเข้าปะทะที่ดุดัน ทักษะการจ่ายบอล หรือลูกกลางอากาศ โดยนำทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย และ ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย (อยู่กับทีมตั้งแต่ปี 1981-1994)

เอริค คันโตน่า หรือฉายา เอริค เดอะ คิง ถือเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จกับหลายสโมสร และยังเป็นหนึ่งในผู้เปิดยุคทองให้ปีศาจแดง โดยเจ้าตัวอยู่ในยุคเดียวกับ ไบรอัน ร็อบสัน และรับหมายเลข 7 ต่อมา สามารถเถลิงบัลลังก์แชมป์กว่า 3 ทศวรรษได้ทันที โดยเอริค มีความสามารถทางเทคนิค ที่มาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์ มึความเป็นผู้นำ และมีอิทธิพลต่อทั้งนักเตะ และแฟนบอล หากเขาคิดว่าอะไรเป็นไปได้ คุณก็จะเชื่อมั่นอย่างนั้นตามเขาไปด้วย โดยผลงานคือแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย ,นักเตะแห่งปีฟุตบอลไรท์เตอร์ 1 สมัย และ บัลลงดอร์อันดับที่สาม 1 สมัย (อยู่กับทีมในช่วงปี 1992-1997)

เดวิด เบ็คแฮม ฉายาเท้าชั่งทอง ถือเป็นหนึ่งในนักเตะชุดคลาส 92 ที่พาปีศาจแดงคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ โดยลูกยิงของเขาถือเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ที่ทำให้ใครหลายคนในยุคนั้นอยากเลียนแบบ และหลงไหลเป็นอย่างมาก แม้เจ้าตัวจะไม่มีความเร็วที่จัดจ้าน และไม่มีลีลาในการกระชากบอลที่สวยงามเหมือนหมายเลข 7 คนอื่นๆ แต่เขาทดแทนมันด้วยความแม่นยำที่เป็นเครื่องหมายการค้า ทั้งลูกยิง ทักษะการจ่ายบอล หรือจะเป็นลูกฟรีคิกสุดเท่ที่กำหนดทิศทางได้ราวกับกดรีโมท โดยประตูแจ้งเกิดที่ทำให้ทุกคนต้องรู้จักคือ จังหวะการวางเท้ายิงไกลครึ่งสนามใส่วิมเบิลดัน และผลงานของเขาคือการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 6 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และ อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ 1 สมัย (ค้าแข้งกับทีมในช่วงปี 1992-2003)

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ซีอาร์เซเว่น ถือเป็นนักฟุตบอลที่ฝีเท้าดีอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งโรนัลโด้มีพรสวรรค์ในการเล่นฟุตบอลมาก เขาใช้เวลาเพียงไม่นานในการปรับตัวก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้เล่นในใจแฟนบอลของปีศาจแดงทันที ซึ่งเจ้าตัวมีความสามารถในการเล่นปีกซ้าย-ขวา หรือกองหน้าต่ำ ถือว่ามีทักษะต่างๆ ที่ยอดเยี่ยมมาก มาพร้อมความแข็งแกร่ง บวกกับลีลาการลากเลื้อย และท่าฟรีคิกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จึงทำให้เขาโด่งดังขึ้นมาอย่างว่องไว โดยที่มาของฉายาซีอาร์เซเว่น ได้มาจากการลงสนามให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยเสื้อหมายเลข 7 ประสบความสำเร็จแบบจุกๆ กับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย, บัลลงดอร์ 1 สมัย, นักเตะยอดเยี่ยม ฟีฟ่า 1 สมัย ,นักเตะแห่งปีฟุตบอลไรท์เตอร์ 2 สมัย, นักเตะยอดเยี่ยม พีเอฟเอ 2 สมัย, นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม พีเอฟเอ 1 สมัย และมีชื่อเข้าชิง นักเตะยอดเยี่ยม ฟีฟ่า 2 สมัย (อยู่กับทีมในช่วงปี 2003-2009)

ยุคมืดใครใส่ก็พัง
โดยหลังจากยุคของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เรียกได้ว่าเป็นยุคที่หาตัวตายตัวแทนของเขาได้ยาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้พยายามหาเหล่าสตาร์ดังมาเสริมในตำแหน่งเบอร์ 7 นี้หลายคน แต่แม้ว่าจะฟอร์มดีมาจากไหน หรือชื่อชั้นดีขนาดไหนผลงานก็ไม่โดดเด่นมากนัก
เริ่มกันที่ ไมเคิล โอเว่น หรือในฉายาเบบี้โกลด์ ได้รับเบอร์ 7 ต่อจากโรนัลโด้หลังจากสตาร์ดังย้ายไปร่วมทัพราชันชุดขาว ซึ่งเบบี้โกลด์ถือเป็นอดีตหัวหอกที่โด่งดังกับลิเวอร์พูล และยังเคยคว้าบัลลงดอร์ได้หนึ่งสมัยกับทัพหงส์แดง แต่กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าตัวกับโชว์ฟอร์มที่โดดเด่นได้เพียงนิดเดียว มีบทบาทไม่มากหนักกับสีเสื้อปีศาจแดง มีเพียงแค่แชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย และ ลีก คัพ 1 สมัย เท่านั้น

คนต่อไปจากไมเคิล โอเว่น ก็คือ อันโตนิโอ วาเลนเซีย หรือในฉายา รถด่วน(ปีกนายร้อย) ได้รับหมายเลข 7 ต่อจาก ไมเคิล โอเว่น ซึ่งเจ้าตัวถือได้ว่ามีความอึด ความขยัน และมีความเร็วที่สูงสุดๆ โดยทำความเร็วไปถึง 35.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคยถูกทางฟีฟ่าบันทึกว่าเร็วที่สุดในโลก โดยผลงานเบอร์เสื้อหมายเลข 7 กับทัพเจ้าตัวถือว่าทำได้ย่ำแย่สุดๆ เพราะตลอดฤดูกาล 2012-2013 จากการลงสนามทั้งหมด 40 นัด ยิงประตูได้เพียง 1 ประตูเท่านั้น
หลังจากนั้น วาเลนเซียจึงเลือกที่จะกลับมาใส่เบอร์ 25 เบอร์แรกที่ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะเจ้าตัวคิดว่าเป็นเบอร์ที่โชคดีสำหรับเขา ทำให้มีแชมป์ติดมือกลับมาบ้างกับ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 1 สมัย โดยอยู่กับทีมตั้งแต่ปี 2009-2019 ซึ่งเขาใส่เบอร์ 7 ในช่วงปี 2012-2013 เท่านั้น

จากนั้นเรียกว่าเป็นความพังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มกันที่ อังเคล ดิ มาเรีย ที่เข้ามาอยู่กับทีมในช่วง 2014-2015 ดิ มาเรีย หรือในฉายาเส้นบะหมี่ เข้ามาร่วมทัพปีศาจแดงด้วยค่าตัวสถิติสโมสร ได้รับเสื้อหมายเลข 7 ทันทีหลังจากที่ย้ายมา ในเวลานั้นทุกคนต่างคาดหวังกับเขาไว้สูง เนื่องจากดาวเตะอาร์เจนไตน์ทำผลงานกับต้นสังกัดเก่าอย่างราชันชุดขาว ได้ยอดเยี่ยมสุดๆ แต่พอมาเล่นกับแมนยู เขากลับมีอาการบาดเจ็บรบกวน และมีปัญหาต่างๆก่อนจะชิ่งทิ้งทีมไปเซ็นร่วมทัพกับปารีส แซงต์-แชร์กแมงในฤดูกาลถัดไปทันที จึงทำให้เหล่าสาวกปีศาจแดงเกลียดในตัวนักเตะชาวอาร์เจนไตน์รายนี้เป็นอย่างมาก

ต่อกันที่ เมมฟิส เดปาย หรือในฉายา นิว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถือเป็นนักฟุตบอลที่มีลีลากระชากลากเลื้อยที่น่าตื่นตา บวกกับลูกฟรีคิกที่ถือว่าเป็นไม้ตาย และการันตีการถล่มประตูจนเป็นดาวซัลโวลีก เอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ ทำให้นายใหญ่ในเวลานั้นเรียกร้องให้สโมสรรีบดึงดาวรุ่งคนนี้มาร่วมทัพ พร้อมยื่นหมายเลขของตำนานให้ทันที แต่ผลงานหลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าพังเละเทะ เป็นคนละคนกับก่อนที่จะซื้อมา เมื่อไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งออกมาได้ ทำให้เขาต้องลากกระเป๋าออกจากโรงละครแห่งความฝันไป

อีกหนึ่งนักเตะที่มีฟอร์มการเล่นร้อนแรง อเล็กซิส ซานเชซ หรือในฉายาเจ้ากระรอกน้อย ถือเป็นนักฟุตบอลที่ครบเครื่อง และมีทักษะสูง ทั้งการยิง การจ่ายบอล การจับบอล ความเร็ว และการเลี้ยงลุยอันเหนือชั้น จึงเป็นเหตุผลที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมควักเงินจ่ายค่าเหนื่อยอันแพงมหาศาล แต่เมื่อเจ้าตัวมาร่วมทัพทุกอย่างก็ต้องดับลงทันที เพราะเจ้าตัวไม่สามารถเล่นเข้ากับแท็กติกของโชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือในเวลานั้นได้ จนต้องมีอนาคตที่ดับวูบลงไปอีกคน

เป็นที่น่าติดตามว่าการย้ายมาของ เมสัน เมาท์ ในฤดูกาลที่กำลังจะถึงนี้ เมาท์จะมาในทิศทางไหน จะรุ่งหรือจะร่วง ยังคงเป็นคำถามที่เหล่าแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงตั้งคำถามกันอยู่ และยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ต่อไป
แหล่งที่มาและข้อมูล : GivemeSport
ขอบคุณภาพจาก : SkySport