“ตา – สุจิตรา เอกมงคลไพศาล” อดีตนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย ประเภทหญิงเดี่ยว เคยสร้างผลงานความยอดเยี่ยมในสนามไว้มากมาย
อาทิ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักตบลูกขนไก่สาวไทยคนแรก ที่คว้าเหรียญทองแดง ประเภทหญิงเดี่ยว ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่ประเทศไทย เมื่อปี 1998 รวมถึงยังเคยคว้าเหรียญทองแดง ประเภททีมหญิง ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2002
ไม่เพียงแค่นั้น สุจิตรา ยังเคยสร้างความประทับใจให้กับแฟนกีฬาชาวไทยทั้งประเทศ หลังจากคว้าเหรียญทอง ประเภทหญิงเดี่ยว ในกีฬาซีเกมส์ ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2001
ซึ่งถือเป็นเหรียญทองแรกที่วงการแบดมินตันไทยเฝ้ารอคอยมายาวนานกว่า 34 ปี นับตั้งแต่ ทองคำ กิ่งมณี อดีตนักแบดฯ สาวไทยคนแรกที่คว้าแชมป์หญิงเดี่ยวในการแข่งขันกีฬาเซียปเกมส์ ครั้งที่ 4 ที่ประเทศไทย เมื่อปี 1967
FEED ขอพาทุกท่านไปย้อนดูเส้นทางชีวิตของ สุจิตรา เอกมงคลไพศาล จากเด็กที่เติบโตมากับมอเตอร์ไซค์ และมีความฝันอยากจะเป็นคุณหมอ สู่นักกีฬาแบดมินตันประเภทหญิงเดี่ยว อดีตมือวางอันดับ 5 ของโลก
จุดเริ่มต้นที่เล่นกีฬาแบดมินตัน เพราะคุณพ่อชอบออกกำลังกาย
สุจิตรา เอกมงคลไพศาล : จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเริ่มต้นเพราะคุณพ่อ คุณพ่อเหมือนออกกำลังกายตีแบดฯ เป็นประจำอยู่กับเพื่อนๆ กลุ่มพวกพ่อค้า ปกติเขาจะตีกันสัปดาห์ละ 2-3 วัน พอวันศุกร์-วันเสาร์ก็จะพาตากับน้องชายไปเล่นด้วย ไปออกกำลังกายด้วย
อันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้เล่นแบดมินตันเลย และหลังจากนั้นพอคุณพ่อเริ่มเห็นแววว่าเริ่มตีแล้วดูท่าทางใช้ได้ทะมัดทะแมง ก็เริ่มที่จะหาครูมาฝึกสอนให้เรา ที่จะทำให้เราได้พัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
คุณพ่อทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของมอเตอร์ไซค์ คือเราเติบโตขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นทั้งซ่อมและขาย มีร้านอยู่ 3 สาขา ก็จะเติบโตมากับมอเตอร์ไซค์ ธุรกิจของคุณพ่อ
จำได้ตอนเด็กๆ เราอยากเป็นคุณหมอ เราอยากเป็นคุณหมอรักษาคนไข้ ตอนแรกเราอาจจะไม่รู้ว่าความใฝ่ฝันของเรามันจะมาถึงจุดนี้หรือเปล่า แต่ว่าตอนเด็กๆ เคยมีความคิด ความฝันว่าอยากเป็นคุณหมอ เราจะนึกออกจากภาพของเล่นของเรา เราจะชอบตรวจที่เป็นหูฟัง แล้วตรวจคุณหมอ อยากเป็นคุณหมอ
ตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นมา คุณพ่อคุณแม่จะให้เรารู้จักกับคำว่ากีฬามาโดยตลอด เราจะปั่นจักรยาน เราจะเล่นสเก็ต ได้วิ่ง ได้ออกกำลังกายอยู่ตลอด เพราะว่าคุณพ่อก็เป็นคนชอบออกกำลังอยู่แล้วค่ะ พอเราเริ่มโตขึ้นมา เริ่มว่ายน้ำเพราะว่าที่โรงเรียนมีสระว่ายน้ำ
จริงๆ ก่อนจะมาเล่นแบดมินตันเนี่ย ว่ายน้ำอยู่ปีหนึ่งค่ะ แข่งกีฬามีได้เหรียญรางวัลอยู่บ้าง แต่ว่าตัวดำมาก คุณแม่เลยบอกว่าอุ๊ยถ้าดำแบบนี้ไม่ไหว คือดำแบบดำปี๋เลยนะคะ
คุณพ่อบอกว่างั้นเล่นแบดฯ อย่างเดียวพอแล้วกัน ที่จะเป็นกีฬาที่เราจะเล่นเป็นประจำๆ ก็เลยเป็นที่มาของการเล่นกีฬาอื่นๆ น้อยลง แล้วก็มาใส่ใจในเรื่องแบดมินตันมากขึ้นค่ะ
สุจิตรา เล่าจุดเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักกีฬา
ตาคิดว่าความรู้สึกตอนเด็กๆ หลายๆ คนมีความฝันที่อยากเป็นหมอโดยที่เราไม่รู้อะไร โดยที่เรายังไม่รู้เลยว่ากว่าจะมาเป็นคุณหมอได้มันคือยังไง เรียนหนักแค่ไหน แล้วเป็นคุณหมอได้จริงหรือเปล่า
เราเรียนเก่งขนาดนั้นที่จะเป็นคุณหมอได้จริงหรือเปล่านะ มันอาจจะเป็นความฝันในช่วงวัยเด็ก ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งอาชีพที่รู้สึกว่ามันดี ได้รักษาคน พี่ตามีความคิดแบบนั้นมากกว่า
แต่พอเราได้เจอทางเดินของตัวเองจริงๆ เริ่มเล่นกีฬาแล้วรู้สึกสนุกกับมัน เรารู้สึกชอบมัน เลยทำให้คุณพ่อยิ่งผลักดันได้ดีขึ้น เพราะยิ่งคุณพ่อเป็นคนที่ตีเอง เล่นเอง พอจะมีความรู้ทางด้านนี้อยู่บ้าง ได้แนะนำเทคนิคเรากับน้องชายได้บ้าง มันก็เลยเหมือนยิ่งส่งเสริมให้เราได้เดินทางนี้ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
ออกไปแข่งแล้วแพ้กลับมา ทำให้อยากเล่นแบดมินตันจริงจังมากขึ้น
สุจิตรา เอกมงคลไพศาล : คือจริงๆ พี่ตาเริ่มเล่นแบดฯ ตอนอายุประมาณ 11 ปลายๆ คุณพ่อเห็นแววก็เลยเริ่มพาครูมาสอน ช่วงประมาณนี้ค่ะ 11 จะย่างเข้า 12 เล่นแบบจริงจังตอนนั้น แล้วก็เริ่มแข่งขันเลยคือตอนอายุ 12 ก็เริ่มแข่ง แต่ตกรอบนะคะ แข่งแล้วก็แพ้ และเรามีความรู้สึกว่าเราอยากชนะ
มันเหมือนการที่เราออกไปแข่งแล้วแพ้ มันเลยทำให้เรากลับมามีความรู้สึกที่อยากจะเล่นกับมันจริงจังมากขึ้น เพราะเราอยากจะออกไปแข่งแล้วชนะ
ก็เลยเป็นจุดที่เริ่มต้นสตาร์ทจากตอนอายุ 12 ว่าเริ่มเรียน เริ่มออกไปแข่ง แพ้ กลับมาซ้อมใหม่ ไม่ได้แล้ว อยากชนะ มันก็เลยมีความจริงจังมากขึ้นๆ ในทุกสเต็ปตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
สุจิตรา เล่าถึงจุดเปลี่ยนในชีวิต
แต่ถ้าถามว่าในวัยตอน 12-13 ที่เราเริ่มเล่น เราเคยบอกตัวเองไหมว่าวันหนึ่งเราจะเป็นทีมชาติ หรือขึ้นมาเป็นอันดับโลก ตอนนั้นยังไม่มีคำตอบนี้อยู่ในหัวเลยค่ะ มันมีคำตอบแค่ว่า ณ เวลานั้นเราอยากทำให้ดี
และเราอยากออกไปแข่งแล้วชนะ ซึ่งมันก็ส่งผลต่อมาเรื่อยๆ ค่ะ ด้วยความที่เราอยากทำให้มันดี จนมันก็กลายมาเป็นทีมชาติโดยที่เราตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้มีความคิดตรงนี้มาก่อนเหมือนกัน
แล้วพอช่วง 12 ปลายๆ ค่ะ มันเริ่มมีคำว่าชนะ มันเริ่มไปได้แชมป์บ้างในรายการ เราเลยมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เราพยายามมันมาถูกทาง พอเราแพ้บ้าง ชนะบ้าง แพ้บ้าง ชนะบ้าง มันเลยทำให้ความรู้สึกเรายิ่งสนุกกับมันมากยิ่งขึ้นไปอีก มันเหมือนเป็นความท้าทายของเด็กในวัยนั้น ที่เรายังคงอยากจะชนะต่อไปเรื่อยๆ
แล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งพอเมื่อเวลาที่เราชนะ เราขึ้นแท่นรับรางวัล มันได้เงินรางวัล อันนี้ตาจำได้ว่าในความรู้สึกตอนเรายังเด็ก พอเราได้รับเงินรางวัล มันเลยมีความรู้สึกว่าเฮ้ยดีอะ
เราตั้งใจเล่นอย่างจริงจัง เราเหนื่อย แต่เราก็ได้เงินรางวัลกลับมาเหมือนให้คุณพ่อคุณแม่ได้ มีเงินซื้อขนมเป็นของตัวเอง ตรงนี้มันเหมือนยิ่งตอบโจทย์ ทำให้เรายิ่งมีความสุขกับการที่จะทำตรงนี้มากขึ้นค่ะ
สุจิตรา ถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต
ไอดอลนักกีฬาแบดมินตัน ผู้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ
สุจิตรา เอกมงคลไพศาล : ไอดอลตอนนั้นจริงๆ ดูแบดฯ เยอะมาก คุณพ่อจะพาไปดูเยอะมาก การแข่งขันอย่างไทยแลนด์โอเพ่นในประเทศไทยก็จะไปดู ตอนนั้นทีมชาติจะมีรุ่นพี่อย่าง พี่สมพล คูเกษมกิจ หญิงเดี่ยวจะเป็น พี่ตู่ สมฤทัย เจริญศิริ พี่จุ๊บ พรสวรรค์ ปลั่งเวช หรือแม้กระทั่ง พี่หยิม ลดาวัลย์ มูลศาสตร์สาทร
และเราก็ได้เห็นทีมชาติ อย่าง ซูซี่ ซูซานติ จริงๆ ได้เห็นรุ่นก่อนหน้านั้นด้วยนะคะ รุ่นก่อนหน้านั้นมาอีกเยอะเลย หาน อ้ายผิง หลี หลิงเหว่ย คือเป็นรุ่นที่เราเด็กมาก แล้วคุณพ่อพาไปดู
เลยรู้สึกว่าเรามีแรงบันดาลใจที่เราได้เห็นคนเก่งๆ เหล่านี้เล่น ได้เห็นรุ่นพี่ทีมชาติไทยเก่งๆ เหล่านี้อยู่ในสนามตรงนั้น มันเลยเป็นแรงบันดาลใจให้เราบอกตัวเองว่าอยากจะไปยืนตรงนั้นบ้าง
ในวันที่เรามีโอกาสที่จะทำได้ ไม่ใช่แค่เป็นคนนั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์แบบนี้ มันก็เลยเหมือนพี่ๆ ทุกคนเป็นแรงบันดาลใจค่ะ ที่ทำให้เราอยากจะทำให้ถึงพี่ๆ เขา แล้วคือเราเป็นคนเหมือนชอบครูพักลักจำ
เราไปดูต่างประเทศคนนี้ตีลูกนี้ดี เราอยากเล่นได้แบบคนนี้บ้าง มันก็เหมือนเราเลยมีหลายๆ จุดจากรุ่นพี่ทีมชาติหลายๆ คนที่เอามาผสมผสานให้กับตัวเอง
กำลังใจจากทุกๆ คนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สุจิตรา เอกมงคลไพศาล : อยากขอบคุณในทุกๆ กำลังใจเลยค่ะ ตั้งแต่ตาเป็นนักกีฬาตัวน้อยๆ นะคะ รวมถึงพี่ๆ ในวงการกีฬา นักข่าวทุกๆ คนเหมือนกัน ติดตามเรื่องราวของเรานำเสนอข่าวสารให้แฟนๆ ได้ติดตาม ได้ชื่นชม ได้เป็นกำลังใจ ได้รับรู้ถึงชีวิตความเคลื่อนไหวของเราว่าเป็นยังไง
ตั้งแต่เป็นนักกีฬาเชียร์มาตลอด จนเลิกเป็นนักกีฬา บาดเจ็บก็ให้กำลังใจกัน ให้เราได้กลับมาได้ จนเรามาสู่ชีวิตของการทำงาน ก็ยังคงเป็นกำลังใจ และส่งกำลังใจมาให้กันตลอด อันนี้ต้องขอบคุณมากๆ จริงๆ เลยค่ะ ตามองว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถเดินต่อไปได้เรื่อยๆ ในทุกๆ ที่ที่เราอยากทำ
กำลังใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะคะ เพราะฉะนั้นอยากขอบคุณทุกคนจากใจ และฝากทุกๆ คนไว้ว่าอยากให้เป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาไทยในทุกๆ คน เมื่อวันที่น้องๆ ทำผลงานได้ดี ชนะ พวกเราชื่นชมเป็นกำลังใจให้กัน แต่ว่าเมื่อวันที่น้องๆ อาจจะเล่นได้ไม่ดี ไม่ถูกใจ หรือว่าทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่เราอยากได้
ก็อยากจะฝากไว้ว่ายังคงอยากให้เป็นกำลังใจให้กับน้องๆ นักกีฬาไทยทุกคนต่อไปเรื่อยๆ นะคะ เพราะว่าไม่มีนักกีฬาคนไหนที่ลงสนามแล้วอยากเดินออกมากับคำว่าแพ้
แต่ว่ากีฬามันไม่สามารถทำได้ดีในทุกๆ วัน จริงๆ มันมีวันที่ดี และช่วงเวลาที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะฉะนั้นก็ฝากเป็นกำลังใจให้กับตา และนักกีฬาไทยทุกๆ คนต่อไปด้วยค่ะ
สุจิตรา กล่าวทิ้งท้าย