แจ้งเกิดจากซีรีส์ Y และเป็นอีกหนึ่งคู่ที่แฟนคลับเทความรักให้จนหมดหน้าตัก สำหรับ “บุ๋น-นพณัฐ กันทะชัย” และ “เปรม-วรุศ ชวลิตรุจิวงษ์” คู่จิ้นที่แจ้งเกิดผ่านผลงานซีรีส์ Y อย่าง ด้ายแดง, Even Sun Series และผลงานล่าสุดอย่างเรื่อง เชือกป่าน ภาคต่อของ ด้ายแดง ที่กำลังเร่งถ่ายทำกันอยู่ในตอนนี้ FEED มีโอกาสได้มานั่งคุยกับสองหนุ่ม บุ๋น-เปรม ถึงเรื่องราวในชีวิต การเจอกันครั้งแรก และซีรีส์ Y ที่เปลี่ยนชีวิตของทั้งสองคนอย่างคาดไม่ถึง
สวัสดีครับ บุ๋น นพณัฐครับ
ผมเปรม วรุศครับ
ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?
บุ๋น : ช่วงนี้เหรอ ก็เพิ่งเสร็จจากรายการฟู้ดทรักมาด้วย ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เราน่าจะเหนื่อยมาก พอต้นเดือนเราก็จะมีฟู้ดทรัก มีถ่ายซีรีส์ แต่พอผ่านกลางเดือนมาก็เริ่มเบาลงแล้ว
เปรม : ก็ไม่เบาแล้วแหละ
บุ๋น : ไม่เบาหรอ (หัวเราะ)
เปรม : ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราถ่ายทำซีรีส์ครับ แล้วก็ออกรายการที่พี่บุ๋นบอกไป แต่ส่วนใหญ่จะโฟกัสที่ซีรีส์ เพราะเรามีออนแอร์ช่วงเดือนพฤศจิกายน ช่วงนี้ก็เลยจะตามเก็บ ถ้าคิวไหนว่างก็จะไปถ่ายซีรีส์ครับผม
ชีวิตตอนนี้กำลังมีความสุขกับอะไร?
บุ๋น : ชีวิตมีความสุขกับอะไร (หยุดคิด) กับการได้ทำงานครับ คืออย่างที่รู้เราสองคนมีภาระ ของเปรมคอนโด ของบุ๋นบ้าน เราก็อยากทำงานหาเงินเพื่อเอามาปลดหนี้บ้านหนี้คอนโดก่อน
เปรม : จริงๆ ตอนนี้ผมก็มีเลี้ยงแมว พอที่จะทำให้ผมรู้สึกมีจุดมุ่งหมายในการกลับบ้าน แต่ว่าโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดหรืออะไรอย่างนี้ไม่มีเลยครับ เพราะว่าช่วงนี้งานแน่น
บุ๋น : ของบุ๋นก็กลับบ้านไปหาหมานั่นแหละครับผม อ๋อ ล่าสุดเพิ่งไปซื้อเครื่องดูดฝุ่นมา ไล่ดูดฝุ่นทั้งบ้านเลย คือเราเป็นคนชอบทำความสะอาดบ้านอยู่แล้ว แล้วเราอยากได้เครื่องดูดฝุ่นตัวนี้มานานมาก ไหนๆ เงินออกก็เลยไปซื้อเครื่องดูดฝุ่นมา แล้วก็ไล่ทำความสะอาดทั้งบ้าน ความสุขอีกอย่างของเราคือชอบทำความสะอาดบ้านครับ
การเติบโตที่แตกต่าง คนหนึ่งเรียนรู้ด้วยตัวเอง อีกคนอยู่ในกรอบของครอบครัว
บุ๋น : ต้องบอกก่อนว่าครอบครัวบุ๋น แม่จะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว จะดูแลเรากับพี่ชายมาตลอด แม่เราเขาจะทำงานตลอดเวลา ตื่นตี 5 กลับถึงบ้าน 4 ทุ่ม เพื่อทำงานๆ แล้วกลับมานอน เราแทบจะไม่ได้เจอแม่เลย จะเจอแค่ตอนเช้าตื่นมาเห็นแม่แต่งตัวออกไปทำงาน ตอนเย็นกลับมาเห็นแม่นอนก่อนแล้ว ก็มีแค่นั้นเลย ช่วงนั้นเราต้องดูแลตัวเองคนเดียวเลย แต่มันก็ดีอย่างหนึ่ง คือเราได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการที่เราได้ไปใช้ชีวิตของเราเองด้วย พอเรารู้ เรามีประสบการณ์หลายๆ อย่าง เรารู้สึกว่าตรงนี้เราเคยลองมาแล้วนะ ซึ่งมันไม่ดี เราก็จะได้ไม่ทำ ผมเพิ่งจะมาได้ใช้ชีวิตกับแม่จริงๆ ก็คือหลังแม่เกษียณ
เปรม : ของผมจะเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างตีกรอบ ด้วยความที่อยู่ต่างจังหวัด ช่วงนั้นคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนเรื่องกีฬากอล์ฟ อะไรที่เกี่ยวกับกีฬากอล์ฟคือให้อยู่ในกรอบนี้ ถ้านอกลู่นอกทางหน่อยก็จะโดนแล้ว ด้วยความที่เราเป็นเด็กดื้อ เราก็นอกกรอบมาเรื่อยๆ จนเขารู้สึกว่าปล่อยให้วัยรุ่นได้ลอง แล้วพอเรามาทำงานตรงนี้ เราก็ปรับความเข้าใจกับเขาครับ เพราะว่าจู่ๆ จากสายกีฬามาสายบันเทิงเลยก็อาจจะงงๆ พอได้ทำงานไปเรื่อยๆ คุณแม่ก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น เห็นเรามีความรับชอบต่องานที่เราทำมากขึ้น ทุกวันนี้ก็แฮปปี้ครับ
คนเราไม่มีใครรู้จักตัวเองเท่ากับตัวเอง ชีวิตจริงๆ บุ๋นเปรมเป็นยังไง?
บุ๋น : มันก็อาจจะใช่แหละครับผม คือบางทีเราคิดไว้ก่อนแล้วว่าสิ่งนี้เราไม่ชอบมัน แล้วเราไปบอกคนอื่นว่าเราไม่ชอบนะ แต่เราไม่เคยได้ลองทำมันจริงๆ สักที อย่างตอนแรกบุ๋นถ้าสมัยมัธยมหรือประถมจะเป็นคนไม่สู้กล้องเลย ไม่ชอบกล้อง เวลาเพื่อนถ่ายรูป บุ๋นจะหนีออกเฟรม ถ้าถ่ายรูปรวมเป็นห้องก็จะไม่เห็นบุ๋น เป็นคนขี้อายมาก แล้วก็ไม่ชอบเรื่องการแสดงเรื่องไปพูดต่อหน้ากล้อง แต่พอเราได้ลองทำจริงๆ มันกลับกลายเป็นว่าเราชอบมันนะ ซึ่งอันนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เรารู้ด้วยตัวเราเองจนเพื่อนยังงง ว่าเมื่อก่อนมึงเขินกล้องนะ แต่พอทำไมตอนนี้มึงอยู่หน้ากล้องสิบตัวได้
เราก็เป็นวัยรุ่นทั่วไปนี่แหละที่ใช้ชีวิต จะบอกว่าเราไม่เที่ยวมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราเป็นวัยรุ่นแล้วก็ต้องมีเที่ยวกลางคืน ไปสังสรรค์บ้างอะไรกัน แต่ถ้ามีทำงานเราก็จะรับผิดชอบในการทำงานเหมือนกัน อย่างบุ๋นจะเป็นคนที่แบบถ้าต้องทำงานก็จะไม่เหลวไหลเลย เรารู้สึกว่าทำงานก็คือเราตั้งใจกับมันดีกว่า อีกอย่างคือเมื่อก่อนจะเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เราก็จะรู้สึกเครียด เก็บมาเครียดคนเดียว อยู่ๆ ก็มองแต่ในห้องไม่ได้ออกไปเจอใคร เราก็เลยปรับเปลี่ยนดูบ้าง เฮฮาดูบ้าง เจอคนนู้นคนนี้บ้าง มันกลายเป็นว่าเราผ่อนคลายมากขึ้น แล้วคนอื่นก็เข้าหาเข้าถึงเราง่าย
เปรม : ตัวตนของเราจริงๆ หรอ จะตอบว่ายังไงดี ตัวตนจริงๆ ผมว่าผมเป็นคนชิลๆ แบบอะไรก็ได้ เป็นคนที่ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ว่าฉันต้องทำอย่างนี้เป๊ะๆ ข้อเสียอย่างหนึ่งการที่เป็นคนอะไรก็ได้ ส่วนมากจะโดนเอาเปรียบ โดนคนมองข้ามเสมอ พอจะพูดก็ไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ลึกๆ เราเก็บมาคิด
บุ๋น: คิดเยอะ เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด จนแบบมันถึงที่สุดจริงๆ เขาถึงจะมาพูด
เปรม : เป็นนิสัยส่วนตัวไปแล้วครับ คือผมรู้สึกว่ามันต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ตอนนี้ก็พยายามปรับตัวเอง กล้าที่จะพูดเยอะขึ้น คือบางทีก็ไม่อยากพูด เรื่องบางเรื่องยอมคน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ยอมครับ (ยิ้ม)
ความฝันวัยเด็ก และวันที่ตัดสินใจเข้าวงการบันเทิง
เปรม : ถ้าวัยเด็ก ฝันแรกอยากเป็นนักบอลครับ แบบนักกีฬาหรืออะไรจริงๆ เกี่ยวกับนักกีฬาผมชอบหมด
บุ๋น: ของบุ๋นอยากเป็นนักโบราณคดีครับผม ชอบประวัติศาสตร์ แบบอินเดียน่า โจนส์ อะไรอย่างนี้ เราได้รู้ประวัติศาสตร์ ได้รู้ทุกประเทศ เราชอบมาก จนเราได้รู้ว่าเออไม่น่ารอดเพราะเขาค้นพบไปหมดแล้ว ก็เลยเปลี่ยนดีกว่า จากนักโบราณคดีเลยเปลี่ยนไปเป็นทนาย เรียนนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง ก็ไม่รอดอีก ตอนนั้น ม.4 ลง Pre-degree ของรามคำแหงครับ ทั้งสอบที่โรงเรียนทั้ง Pre-degree รามคำแหง ก็ไม่รอด แล้วก็มาปุ๊บปั๊บรับโชคตอนไปเรียนนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ แล้วถึงได้มาเป็นนักแสดงครับ ก็ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือพรหมลิขิต
เปรม : มันจังหวะชีวิต
บุ๋น: อือ มันคือจังหวะชีวิตที่คนเรามันได้มาโดยที่เราไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับมันเลยครับผม คืออยู่ๆ ก็ได้มา
เปรม : แว้บแรกที่นึกถึงได้มันจะมีคำๆ หนึ่งคือ แค่อยากลองอะไรใหม่ๆ ตอนนั้นแค่อยากให้ตัวเองได้เปิดโอกาสได้ลอง ลองทำดูโดยที่เราเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องทำมันให้ได้ดี ด้วยความที่วงการบันเทิงมันเป็นอะไรที่ไกลตัวเรามาตั้งแต่เด็ก พอเรามีโอกาส อย่างที่บอกจังหวะชีวิตครับมันพาเราขึ้นมาเรื่อยๆ จนเรามาถึงตรงนี้
บุ๋น : ตอนนั้นต้องพูดว่าเราเข้ามาตรงนี้เพราะเงิน เงินล้วนๆ เลยเอาจริง เพราะตอนนั้นเราอยากได้เงินเพื่อเอามาเป็นค่าขนม จะได้ไม่เดือดร้อนแม่ เราก็ไปเป็นเอ็กซ์ตราได้ 1,500 เมนเอ็กซ์ตราหน่อยก็ 2,500 ต่อวัน ก็ช่วยแบ่งเบาได้บ้าง แต่ด้วยความที่พอไปตรงนี้เราก็อยากลองต่อไปเรื่อยๆ อยากได้เงินเยอะขึ้น เราก็เลยลองหลายๆ อย่าง จนได้เจอพี่นิว (ศิวัจน์ สวัสดิ์มณีกุล) ที่เป็นผู้กำกับ มันก็เป็นโอกาสของเราก็อยากลองดู
เจออะไรกันมาบ้าง กว่าจะมาถึงจุดนี้
บุ๋น : เยอะ ถ้าของบุ๋นเมื่อก่อนก็มีไปเล่นซีรีส์แล้วโดนโกง โดนหลอกไปเรียนการแสดง โดนหลายอย่างครับผม แต่เราก็คิดว่ามันคือการทำงาน จะให้มันสวยหรูเหมือนในนิยายก็คงไม่ใช่ แต่เราก็บอกแม่ตลอดว่าถ้าไม่ได้จะเป็นยังไง แม่ก็บอกไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่ได้ก็กลับมา
เปรม : ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์โดนโกงแบบพี่บุ๋น ที่หนักๆ อาจจะเป็นอุปสรรคในการที่เราต้องปรับจูนความคิดในการทำงานตรงนี้มากกว่า อย่างที่บอกวงการบันเทิงมันไกลตัวเรามากๆ เรามาทำงานในวงการซีรีส์ Y อย่างแรกเราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าวงการซีรีส์ Y มันคืออะไร มันมีอะไรบ้างแล้วก็ต้องปรับตัว เปิดรับมากขึ้น พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งที่เขาให้มา ด้วยความที่ตอนแรกซีรีส์ Y มันไม่เปิดกว้างมาก เรื่องเพศบอกตามตรงว่ารู้น้อยมากตอนก่อนที่จะเล่น แต่พอเรามาทำงานตรงนี้มันคืออุปสรรคอย่างหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้กับการที่จะทำงานตรงนี้
เฟิร์สอิมเพรสชั่นแรกที่เจอกัน
บุ๋น : บุ๋นเจอเขาครั้งแรกวันแคสซีรีส์เลย เรื่องด้ายแดงตอนนั้น เหมือนพี่แกะกับพี่นิวให้เราไปยืนข้างกัน วันนั้นมีแคสทั้งหมด 3 คน พี่ๆ ก็ให้บุ๋นยืนคู่กับน้องอีกคนแล้วก็ยืนข้างเปรมอีกที แล้วพี่แกะกับพี่นิวก็บอกว่ากับเปรมน่าจะคู่กัน น่าจะเข้ากันได้มากกว่า เหมาะกว่า เราก็เลยหันมองหน้าเขา เขาก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง เราเห็นเราในตัวเขา เจอหน้ากันครั้งแรก ด้วยความที่เราไม่ได้อยู่วงการบันเทิงมาตั้งแต่แรกเนอะ เราเป็นวัยรุ่นที่เรียนมา ใช้ชีวิตวัยรุ่นของเรามา เจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้คุยกันหรอก เอาจริงครั้งแรกที่เจอไม่ได้คุยเลย มองหน้ายังแทบไม่มอง แค่เฉียดๆ แต่พอได้เริ่มทำงานด้วยกัน ได้เจอกันบ่อยๆ ขึ้น ได้คุยกัน มันเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ เริ่มรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นยังไง แรกๆ เขาจะเป็นคนที่แบบไม่ค่อยพูด พูดน้อยมาก อันนี้คือพูดเยอะมากแล้วนะ 3 ปีมานี้ แรกๆ ถ้าสังเกตบุ๋นจะเป็นคนที่พูดเยอะมาก แล้วจะคอยส่งให้เขา เขาจะคอยเสริม แต่เดี๋ยวนี้ดีใจที่เขาได้พูดเยอะ
เปรม : โดนด่าครับ ว่าต้องพูดบ้าง (หัวเราะ)
บุ๋น : เดี๋ยวนี้เขามีหัวข้อในการพูดของเขาเยอะขึ้น ก็ดีใจครับ
เปรม : ผมชอบเป็นผู้ฟังที่ดีครับ (ยิ้ม)
บุ๋น : พูดบ้างก็ได้
เปรม : ผมชอบเก็บเกี่ยว เวลาไปคุยบทสนทนากับใคร ด้วยความที่ผมอยู่กับผู้ใหญ่เยอะตั้งแต่เด็ก ตีกอล์ฟใช่ไหมครับ ผมก็จะเป็นผู้ฟังตลอด มันเลยติดนิสัยมาตั้งแต่เด็ก คือเราไปตีกอล์ฟ เราเจอผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เขาจะพูดเขาจะสอนเรามาโดยตลอด เราจะไม่ค่อยได้พูดอะไร ผมเลยคิดว่าบางทีการที่เรานิสัยเงียบก็ดีเหมือนกัน หมายถึงว่าเราได้รู้ คือนั่งอยู่ตรงนี้เวลาคนเขาพูดกัน เรารู้เลยว่าเขาแบบอะไรยังไง เราจะรู้แต่เราแค่เงียบต่อ
เปรม : จริงๆ ตอนเจอครั้งแรกก็ไม่ถึงขั้นเขม่นอะไรกันขนาดนั้น แต่เราก็ไม่ได้คุยกับเขา ไม่ได้มีอัธยาศัยที่ไนซ์กับเขาตั้งแต่แรก เราอาจจะแบบปกติคนเจอหน้ากัน สมมติคนทำงานด้วยกันจะเฮ้ย หวัดดีครับ
บุ๋น : ถ้าอย่างตอนนี้ หวัดดีครับ เป็นไงบ้าง แต่เมื่อก่อนจะไม่ใช่
เปรม : เราก็หวัดดีครับพี่ แล้วก็นิ่ง แล้วก็ไปแคสแค่นั้นแหละ แต่ไม่ถึงขั้นเขม่นกันนะ
บุ๋น : พอได้ทำ ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะตรงอะไรกันหลายๆ อย่าง อย่างตอนที่เรามาเล่นคู่กันครั้งแรก เราก็ไม่รู้ไลฟ์สไตล์เขา ไม่รู้แต่ละอย่างที่เขาทำในชีวิตประจำวัน แต่พอได้อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ได้ทำงานด้วยกัน เราถึงได้รู้หลายอย่างมันก็ตรงกันบ้าง มันก็เลยน่าจะมีอะไรที่ทำให้เราเข้ากันได้ง่ายขึ้น
เปรม : ผมว่าอย่างแรกเลยคือเรารู้สึกว่าสิ่งแรกที่มันทำให้เรามาอยู่ตรงนี้ด้วยกันคือ ด้ายแดงครับผม มันเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางอย่างแรกที่ดึงเราเข้ามาหากันและได้ทำอะไรร่วมกันหลายๆ อย่าง
ความรู้สึกเมื่อต้องกลายมาเป็นคู่จิ้น
เปรม : อย่างแรกก็เป็นความรู้สึกดีใจก่อน เพราะว่าเคมีที่มันออกไปหาทุกคนมันมาจากซีรีส์ด้ายแดงเนอะ คือเราก็เฮ้ย เราเล่นกับพี่บุ๋นแล้วมันมีเคมีที่ดีนะ เราก็ดีใจที่แฟนคลับเขาชอบ หมายถึงว่าชอบในเคมีของเรา อย่างพี่บุ๋นไปทำอะไรเขาก็จะเมนชั่นถึงผมตลอด แต่เราก็เป็นกันแบบนี้แล้วเราก็ทำให้แฟนคลับที่อยู่กับเราเห็นว่าเราก็เป็นอย่างนี้ เรามีความสัมพันธ์แบบนี้ คือเราไม่ได้ไปเฟกอยู่หน้ากล้องแล้วแบบพี่บุ๋นครับ ตัวเองอะไรอย่างนี้ คือผมกับพี่บุ๋นก็อย่างนี้อยู่แล้ว เป็นความสัมพันธ์อย่างนี้ เป็นพาร์ตเนอร์กันอยู่แล้ว
จุดเปลี่ยนความสัมพันธ์
บุ๋น : คือด้วยความที่เราทำงานด้วยกันแทบทุกวัน 3 ปีที่ผ่านมาก็คือทำงานด้วยกันตลอด มันก็ได้รู้อะไรหลายๆ อย่างในตัวเขา เขาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างในตัวเรา ว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร น่าจะมีครั้งหนึ่งที่เราทะเลาะกันหนัก น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่เปลี่ยนทั้งตัวเราและตัวเขาด้วยมั้ง คือวันนั้น เราอารมณ์ไม่ดีแล้วไปพาลใส่เขา เราก็เลยไปขอโทษเขา หลังจากนั้นก็คือเปลี่ยนเราไปเลย เราจะไม่พาลใส่ใคร
ความรู้สึกต่อซีรีส์ Y ในฐานะนักแสดง
บุ๋น : มันก็คือซีรีส์ทั่วไป เอาจริงๆ เราไม่ค่อยอยากให้เขาจัดหมวดหมู่ว่า ซีรีส์ Y นะ ต้องเป็นซีรีส์ Y รางวัลของซีรีส์ Y มันก็คือซีรีส์ปะ ถ้ามันดีมันก็ควรจะอยู่ในหมวดหมู่ซีรีส์ รับรางวัลอะไรชาย ชายหญิง หญิงชาย หญิงหญิง ชายชาย มันก็ควรจะอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน รับรางวัลก็คือทุกคนสามารถเข้าชิงได้ วัดกันที่ดีไม่ดีดีกว่าในตัวเนื้อเรื่อง แอกติ้งอะไรอย่างนี้ ดีกว่าที่เราคิดนะ
เปรม : ผมว่าหนึ่งเลยคืออุตสาหกรรมวงการซีรีส์ Y มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีคนสนใจเข้ามา ในเมื่อมีดีมานด์ ซัพพลายก็เพิ่มขึ้น พอซัพพลายตรงนี้มันโตขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพมันก็ออกมา แล้วแต่ก่อนด้วยความที่เพศสภาพมันยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ทุกวันนี้มันค่อนข้างเปิดกว้างมาก ผมเลยคิดว่าจุดๆ นี้มันทำให้วงการซีรีส์ Y โตขึ้นและมีแฟนคลับเข้ามาเยอะขึ้นครับผม
บุ๋น : เหมือนกันครับผม เรารู้สึกว่าอุตสาหกรรมวงการซีรีส์ Y มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำเงินให้ประเทศมาก ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ดีพอ ย้ำว่าดีพอและทำจริงๆ มันก็จะเติบโตไปได้อีกไกล
ซีรีส์ Y เปลี่ยนแปลงชีวิตเรายังไงบ้าง?
บุ๋น : เปลี่ยนแปลงไปเยอะครับผม จากเมื่อก่อนเราเดินไปไหนก็ไม่ได้มีคนรู้จัก เมื่อก่อนแรกๆ ตอนด้ายแดงออนแอร์ มันก็ทำให้เราตกใจนิดนึง แบบเราเดินไปไหนมีคนทัก เฮียวินเฮียบุ๋นอะไรอย่างนี้ ก็แบบแปลกๆ ดี แล้วก็ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย ด้านการทำงาน แล้วก็ดูแลตัวเองมากขึ้น
เปรม : จริงๆ ผมว่าหลักก็เป็นเรื่องการเติบโตขึ้น ผมรู้สึกว่าทำงานตรงนี้ เราเป็นบุคคลสาธารณะ ใครจะพูดอะไรก็ได้ ซึ่งบางทีที่ดักกรองเรามันไม่ดี แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าเปิดกว้างมากขึ้นในการรับคอมเมนต์ต่างๆ แล้วก็เรื่องความรับผิดชอบในการทำงาน
เป้าหมายชีวิตต่อจากนี้
บุ๋น : จริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตเราจะไปต่อได้ไกลขนาดไหน จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนในวงการ เราก็ทำไปเรื่อยๆ ถ้ามีคนที่ต้องการเราก็ยังจะอยู่ต่อไป ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าถึงวันหนึ่งถ้าเราไม่สามารถทำอยู่ในวงการต่อได้ เราก็ไปทำเบื้องหลัง ที่จริงก็คิดธุรกิจไว้เยอะครับผม อยากทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็จะอยู่ให้นานที่สุด เพราะเราก็ชอบในวงการนี้ด้วย
เปรม : ผมก็คงอยากมีบ้านมีเงินที่สามารถเลี้ยงดูเราได้อย่างแรก แล้วอย่างที่สองคือผมคงทำตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าผมไม่มีความสุข ผมถึงจะออก แล้วผมหมดแพสชั่นผมก็จะไม่ทำแล้วครับ คือไม่ใช่ว่าผมจะทำงานตรงนี้ไปตลอด ผมก็รอดูอยู่ว่าช่วงชีวิตจังหวะไหนอันไหนมันเหมาะกับเรา อย่างตอนนี้ผมก็มองว่าการทำงานในวงการมันเหมาะกับผมมาก เพราะผมยังรักและผมยังสนุก แล้วมันยังสดมากๆ อยู่ ผมยังแฮปปี้ แต่ถ้าสมมติทำไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่าเราหมดแพสชั่นเราอยากไปทำอย่างอื่น ก็พอแหละ แต่ไม่ได้มีแบบมองว่าอาชีพต่อไปคืออะไร
ผลงานล่าสุด
บุ๋น: เชือกป่านครับ ตอนนี้ถ่ายทำอยู่ ก็มีทั้งหมดประมาณ 24 คิว ด้วยความที่หลายๆ คนเขาคิวงานไม่ตรงกันด้วย ก็แยกย้ายไปเติบโตตอนด้ายแดง พอหาคิวตรงกันก็ยากอยู่ รวมถึงตัวเราด้วย แล้วด้วยความที่เชือกป่าน จะมีซีนมหา’ลัยเยอะพอสมควร ตอนนี้ก็เป็นช่วงที่มหา’ลัยเขาเปิดสอบ แล้วเราไม่สามารถใช้สถานที่เขาได้ ก็ต้องหยุดพักกองบ้าง แต่ก็ได้ดูแน่นอนพฤศจิกายนนี้
ซีนที่ยากและคนดูคาดหวังมากที่สุด
บุ๋น : คาดหวังน่าจะเป็นซีรีส์ที่เราเป็นตัวหลักจริงๆ เรื่องแรก ตัวบุ๋นเองเราไม่คิดว่าการแสดงเราเก่งขนาดนั้น เรากลัวว่าเราจะโฮลคนดูไว้ไม่อยู่ อย่างบางซีนเราก็ถามพี่นิวว่าดีไหม ทำดีพอหรือยัง เราทำได้มากกว่านี้อีกนะ เรากลัวว่ามันจะออกมาไม่สมูต คนดูจะติดขัดอะไรหรือเปล่า แต่ก็อย่างที่บอกเราทำเต็มที่มากๆ ทำเต็มที่จริงๆ สิ่งที่ยากที่สุดน่าจะเป็นเลิฟซีน เลิฟซีนในเชือกป่านคือบอกเลยว่าหนักมาก
เปรม : เลิฟซีนมันไม่ใช่เลิฟซีนแบบเบาๆ มันค่อนข้างหนัก จะพูดว่ายังไงดี เราสลัดการเป็นตัวตนของเราออกไม่หมดตอนแสดง บางทีแบบว่าตัวละครมันดุดัน ดุเดือดมากในการเล่นเลิฟซีน เราก็ต้องพยายามนึกถึงตัวละครว่าตัวละครมันมีจุดมุ่งหมายนี้ มันรู้สึกอย่างนี้อยู่ มันทำให้ผมพยายามปรับเรื่อยๆ แต่กว่าจะพยายามปรับได้ก็ยากมากๆ ผมรู้สึกว่าผมไม่เก่งเรื่องเลิฟซีน แล้วเอาจริงๆ ผมไม่ชอบเล่นเลิฟซีนเลย
บุ๋น : แต่มันก็คือการแสดง การแสดงมันก็คือการแสดง เรารื้อความรู้สึกตัวละครออกมาเพื่อแสดงมันออกไป
เปรม : อายจังเลย แต่ถ้าคนดูดูแล้วมันเข้าถึงอารมณ์ เราจะดีใจมากๆ เพราะเราเองก็เต็มที่มากจริงๆ ครับ
ฝากผลงาน
เปรม : ครับผมก็ตอนนี้เรามีถ่ายฟู้ดทรักแบทเทิลไป ก็น่าจะออนแอร์ตุลาคม แล้วก็มีตอนนี้ที่เรากำลังถ่ายทำอยู่ก็คือเชือกป่าน พฤศจิกายนนี้ได้ดูแน่นอนครับ ก็ฝากทุกคนด้วยนะครับ
บุ๋น: รวมถึงผลงานเก่าๆ ด้ายแดง, Even Sun สามารถย้อนกลับไปดูได้นะครับ เยอะแยะมากมาย รวมถึงเอ็มวีเพลงต่างๆ ที่เราไปถ่ายทำมาด้วย ฝากทุกคนด้วยครับ
สุดท้ายอยากจะบอกอะไรกับตัวเอง
เปรม: เอาแบบฮาแล้วกัน ซีเรียสมาเยอะแล้ว ก็หาตังค์ แล้วก็เก็บตังค์ดีๆ แล้วกัน อย่าใช้เยอะ
บุ๋น: เหมือนกันครับ ได้เงินมาก็เก็บตังค์บ้าง แต่นี่ก็เก็บเยอะแล้วนะช่วงนี้ พอเรามีภาระหนี้เราก็เก็บเงินให้เยอะมากที่สุด เอาจริงๆ เงินในบัญชีบุ๋นเหลือ 1,300 บาท ที่เหลือก็คือโยกไปบัญชีเก็บเงินอย่างเดียวจะไม่ใช้ ก็เก็บเงินเยอะๆ ครับตัวเรา