“จา-เฟริสท์” นับเป็น 2 นักแสดงคู่จิ้นอีกคู่ที่มีแฟนคลับติดตามกันอย่างเหนียวแน่น จากผลงานซีรีส์ดัง Don’t Say No The Series เมื่อหัวใจใกล้กัน และผลงาน TharnType The Series ซีซั่น 2 ที่มาฉุดกระแสทำให้ทั้งคู่ได้รับความสนใจจากแฟนซีรีส์ Y เพิ่มมากขึ้นไปอีก รวมทั้งผลงานซีรีส์ Y เรื่องล่าสุด Remember Me
วันนี้ทีมงาน FEED จะขอพาทุกคนไปรู้จักกับทุกแง่มุมลึกๆ ของทั้ง จา-พชร สวนศรี และ เฟริสท์-ฉลองรัฐ นอบสำโรง งานนี้เรานัดแนะ 2 หนุ่มกันที่ Director Lounge โรงภาพยนตร์ Emprive Cineclub
ชีวิตของตัวเองตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
จา : ตอนนี้หาอะไรเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ครับ แทบจะกลับมาเหมือนเดิมครับ
เฟริสท์ : ความรู้สึกตอนนี้ก็รู้สึกเบาตัวขึ้น ก่อนหน้านี้ก็จะมีเรื่องเรียนมี Thesis ที่ต้องทำงานไปด้วยแล้วก็ต้องกังวลเรื่อง Thesis ด้วย ต้องส่งงาน Update ทุกอาทิตย์ ทำชิ้นงานด้วย จะยุ่งๆ หน่อย รู้สึกว่าค่อนข้างรัดตัว เหนื่อยหน่อย แต่ตอนนี้รู้สึกเบาตัวขึ้น เหลือรูปเล่มนิดหน่อยก็จะจบแล้ว ได้ทำงานเต็มที่มากขึ้นรู้สึกดีครับ รู้สึกดี
คือชีวิตวุ่นวายกับการเรียนว่างั้น ?
เฟริสท์ : ใช่ครับ คือจริงๆ จะบอกว่าวุ่นวายไหมก็ไม่ค่อยวุ่นวาย แต่ว่าเหมือนพอเป็นชิ้นงานค่อยๆ ประดิษฐ์ประดอยมันขึ้นมาก็เลยแบบมะรุมมะตุ้มกับเรื่องงานกับเรื่องการเรียนครับผม
ชีวิตมีความสุขกับอะไรมากที่สุดตอนนี้?
เฟริสท์ : ความสุขอันดับแรก คือ ชอบทำงาน พอเวลารู้ว่าทำงานปุ๊บผมรู้สึกดีมากเลย อยากรีบนอนจะได้ตื่นพรุ่งนี้ไปทำงาน แต่ว่าอย่างที่ 2 ที่ให้ผมมีความสุข ตอนนี้ติดของเล่นชิ้นหนึ่งอยู่ อันนี้หลายๆ คนน่าจะรู้แล้ว พี่รู้จักเฮลิคอปเตอร์บังคับไหม ผมมาซื้อลำใหญ่มาก ลำขนาดนี้ใหญ่มากจริงๆ เขาเรียกว่าไซส์ 500 มันยาวแล้วมันใหญ่มาก ก็ซื้อมาแล้วแบบเมื่อก่อนเป็นคนแอบชอบพวกเครื่องบินเป็นปีกกับเฮลิคอปเตอร์ใบพัดครับ อยากได้แต่เด็กแต่ไม่มีโอกาสได้เล่นได้ซื้อ พอตอนนี้เริ่มทำตามความฝันไปซื้อมาแต่ก็ยังไม่กล้าเล่นเพราะว่าแรงมาก ไม่มีที่เล่น ได้แต่นั่งดูก็มีความสุขแล้ว ผมกลับไปแล้วก็นั่งหมุนๆ ไป ก็มีความสุข
จา : ชีวิตที่มีความสุขของผม ผมเริ่มต้นแต่ละวันที่ต่างกันมากกว่า ความสุขแต่ละวันก็ต่างกัน บางทีมีความสุขกับครอบครัว บางทีมีความสุขในการเจอแบบคนรู้จัก เจอเพื่อนอะไรอย่างนี้ครับ ผมว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทายเหมือนกัน เวลาที่เจอแต่ละวันที่มีความสุขต่างกัน ก็บอกไม่ได้ว่าอันไหนมีความสุขที่สุดน่ะครับ
ย้อนกลับไปวัยเด็กของทั้งคู่เป็นยังไงบ้าง?
จา : วัยเด็กของผม ทุกวันเด็กจะไปสนามบินดอนเมือง ดูเครื่องบิน F16 โตขึ้นมาก็จะเป็นเกี่ยวกับกีฬา ดนตรี เตะบอลบ้าง เล่นกีตาร์บ้าง มีวงดนตรีกับเพื่อนบ้าง พอโตขึ้นมาหน่อยอีก ก็จะเป็นอีกแบบเริ่มทำงานแล้ว ตอนเด็กมันก็เป็นอะไรที่สนุกขึ้นมาเรื่อยๆ ครับ
เฟริสท์ : พอนึกถึงคำถามนี้ก็รู้สึกตัวเอง 24 แล้วเหรอ เร็วมาก รู้สึกย้อนกลับไปคือ เมื่อก่อนไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ไม่ต้องคิดว่าพรุ่งนี้ทำอะไร เราทำงานอะไร เรียนต้องมีความผิดชอบขนาดนี้ รู้สึกว่าตอนเด็กสบายกว่านี้ ตอนนั้นน่ะตอนที่ยังเด็กอยู่ ผมเล่นแบด เป็นนักกีฬา สิ่งที่รับผิดชอบมากที่สุด คือการตื่นขึ้นมาวิ่ง วิ่งทุกเช้าตอนตี 5 แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมชีวิตเด็กคนนึงต้องขนาดนี้เลย เหนื่อยขนาดนี้ พอโตขึ้นมารู้เลยว่าจริงๆ ตรงนั้นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก รู้สึกว่าอยากกลับไปเป็นเด็ก อยากกลับไปแบบซ้อมกีฬาทุกวัน ตื่นมาสมองมีแต่กีฬา อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งครับผม แต่ถ้าตอนนี้ก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ครับ
ชีวิตวัยเด็กของเราถูกคาดหวังไหม?
เฟริสท์ : พ่อแม่ไม่ได้คาดหวังอะไร เขาอยากให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ผมเป็นพี่คนโตสุด มีพี่น้อง 3 คน ผู้ชายหมดทั้ง 3 คน แต่เขาจะพูดตลอดว่าไม่ต้องเครียดเรื่องการเรียน เรื่องกีฬาไม่ต้องเครียด ให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำ แต่ตอนนั้นน่ะด้วยความเป็นเด็ก เรารู้สึกว่าพอเวลามันเหนื่อยมากๆ หรือเวลาไปแข่งแบดแล้วแพ้ก็คือความเครียดที่สุดแล้ว เครียดมาก
ชีวิตถูกขีดกรอบไหม?
เฟริสท์ : ไม่ขีดกรอบ แต่เขาจะชี้ให้ว่าไปเล่นกีฬามั้ย เขาจะถาม แต่สุดท้ายถึงเราบอกว่าไม่ เขาก็จะให้เล่น เหมือนเขาอยากให้ได้เจอทางสักทางหนึ่งก่อน เพราะก็ไม่รู้จะไปทางไหน เราเป็นเด็กเขาจะจิ้มให้ก่อน แต่ว่าไม่ได้ฟิกว่าโตมาต้องเก่งเป็นอันดับ 1 หรือว่าโตมาจะต้องทำให้พ่อแม่ภูมิใจมากๆ เขาไม่ได้หวังตรงนั้น เขาหวังว่าให้เราใช้ชีวิตมีความสุขพอ ส่วนที่เหลือจะให้คนอื่นจะมีความสุข จะให้คนในครอบครัว ให้เพื่อนให้ใคร อันนี้เป็นของเราแล้วเราเป็นคนเลือกแล้ว
จา : ผมรู้สึกขอบคุณที่บ้าน รู้สึกว่าเขาให้ทำอะไรแบบตามเส้นทางผม แล้วบอกว่าอยากทำอะไรตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว จบ ม.6 เขายังไม่รู้เลย ผมติดมหา’ ลัยอะไร แต่พอเขารู้ เขาก็รู้สึกว่าเออก็ดีใจ แต่ไม่เคยกำหนดว่าต้องเรียนที่ไหน เขาให้เรามีเส้นทางตัวเอง เป็นอะไรที่ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่ก็ต้องมีกรอบกันบ้าง เราป็นผู้ชายด้วย ก็จะมีห่วงเรื่องเป็นอันตรายเมื่อก่อนอาจมีบ้าง เช่น การกลับบ้านดึก แต่พอโตขึ้นก็เข้าใจมากขึ้นครับ
ตัวตนที่แท้จริงของจากับเฟริสท์เป็นยังไง
จา : ถ้าเป็นที่รู้จักตัวเอง ผมเป็นคนที่อาจจะเป็นคนที่ ชอบทำกิจกรรมตลอด บางวันก็อาจจะชอบอยู่ที่บ้าน แต่ว่าถ้าทำให้มีความสุขกันจริงๆ คือการออกไปเจอเพื่อน เจอกับสิ่งใหม่ๆ ให้ได้ทำ ได้ท้าทายอย่างนี้
เฟริสท์ : ผมรู้สึกว่าบางทีก็ไม่ได้รู้ตัวว่าเราเป็นคนแบบไหน พอมีเพื่อน มีสังคม บางทีได้รู้ตัวเองจากเพื่อนๆ คนรอบตัว หรือบางอย่างที่ ทำผิดไปอย่างนี้ บางทีก็รู้ตัว ไม่รู้ตัวบ้าง จะมีคนคอยเตือนว่าแบบนี้ทำแบบนี้ไม่ดี มันทำให้รู้ว่าสิ่งนี้ คือตัวเราอยากให้ไปทิศทางไหนก็เลือกได้ ขอบคุณทุกคนที่ทำให้รู้ว่า ตัวเองเป็นคนยังไง
เส้นทางเข้าสู่วงการของแต่ละคนเป็นมายังไง?
จา : ผม เริ่มจากเรียนอยู่ แล้วพี่รหัสเป็นคนหน้าตาดี มีผู้จัดการเหมือนกัน ทีนี้ก็ไปงานจบพี่รหัส ผู้จัดการเขามาเจอผม เลยถามว่าอยากลองไหม ก็เป็นตอนที่เรียนอยู่ด้วยแล้วก็เรียนหนัก แต่รู้สึกว่าอยากเจอหลายๆ ทาง จะได้รู้ว่าชอบตรงไหนแล้วไปให้สุดทาง เลยลองทำดูแล้วก็ได้ไปแคสติง แล้วก็ได้เล่นซีรีส์ TharnType The Series ซีซั่น 2 เป็นเรื่องแรกเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการบันเทิงมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
เฟริสท์ : ชีวิตผมค่อนข้างไม่มีทิศทาง ว่าจะไปจุดไหน ก่อนหน้านี้คือเป็นนักกีฬา ก่อนเล่นแบดก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำมาก่อน แล้วก็เลิก พอเลิกพ่อแม่ก็งั้นมาเล่นแบด แล้วจริงๆ ไม่ได้ชอบตั้งแต่แรก เกิดจากการบังคับเพราะยังเด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่ง เหมือนเข้ารอบลึก รายการหนึ่ง รู้สึกเป็นอาชีพได้นะ เหมือนมันเป็นกำลังใจ รู้สึกว่าอยากกลับเป็นนักกีฬาอาชีพ อยากหาเงินจากเป็นนักกีฬาอาชีพ เลยพูดกับพ่อแม่
คุยกันว่าถ้าจะเป็นนักกีฬาอาชีพก็เข้ามาอยู่กรุงเทพ จะมีโอกาสมากขึ้น ก็เลยมาเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพ มาเป็นนักกีฬาที่กรุงเทพ ไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาทำการแสดง แต่ว่าด้วยความเป็นเด็กต่างจังหวัดจะรู้สึกว่า สิ่งแรกที่ผมจะมาก็คือสยามพารากอน มาเดินทุกอาทิตย์เลย ไม่รู้เดินมาทำไม รู้สึกว่าเป็นเด็กสยาม
เดินมาเจอกับแมวมอง เข้ามาทักว่า น้องๆ มาแคสให้พี่หน่อย เมื่อก็ไม่รู้ว่าแคสคืออะไร การไปแคสงานคือ การทำงานวงการบันเทิงคืออะไร ก็ไม่เคยสนใจ รู้แค่ว่ามีละครมีหนังแค่นี้ เหมือนตรงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามาในวงการ เริ่มแคสโฆษณามากขึ้น แคสโฆษณาเยอะกว่าจะได้ ท้อมาก รวมกันเลยทั้งซ้อมแบดทั้งเรียนทั้งบันเทิงเหนื่อยมาก แต่รู้สึกว่ายังเลือกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนเอาหมด ไปเรื่อยๆ เริ่มได้บ้างแต่ก็ยังไม่ได้เยอะมาก เริ่มมีโอกาสเพิ่มเข้ามาหามากขึ้น เป็นซีรีส์ เป็นหนังอย่างนี้
สมัยเด็กๆ มีความฝันในวงการบันเทิงมาก่อน?
เฟริสท์ : คือไม่เคยนึก ตอนนั้นมุ่งมั่นกีฬามากว่าเราอาจจะเป็นนักแบดอาชีพได้ ทุกวันผมดู YouTube ดูแต่แบด ไปแข่งต่างประเทศก็ถ่ายคลิปตัวเองเก็บไว้แล้วก็มานั่งศึกษาดูทุกวัน สมองแทบจะไม่มีทางอื่นเลย เรื่องเรียนยังน้อยกว่าเลย ไม่ได้มีความฝันเลยว่าอยากเป็นนักแสดง
จา : เป็นความฝันมั๊ย อืม…ผมว่าก่อนหน้านั้นยังไม่มี เป็นอย่างที่ผมบอกว่าอยากลองทำอะไรใหม่ๆ พอได้เข้ามาลองทำก็ศึกษาจากการดูหนัง จนทำให้รู้สึกว่าอยากมีเป้าหมายตรงนั้นเหมือนกัน
เคยมีคำถามกับตัวเองมั้ยว่าทำไมถึงเข้ามาวงการนี้
เฟริสท์ : เป็นคำถามที่น่าสนใจเหมือนกัน ผมคิดว่าเป็นจังหวะชีวิต เป็นจังหวะของมัน ผมก็ไม่ได้มุ่งกับทางแสดงตั้งแต่แรก เหมือนจังหวะที่จะเจอพอดี ปุ๊บเจอ ได้ลองทำใหม่ๆ พอลองแล้วรู้แล้วว่า ถ้าแบบนี้ชอบ ชอบจริงๆ เราเต็มที่กับมันเหมือนแบด เลยกลายเป็นเหมือนเริ่ม เหมือนตัวต่อที่ถูกวาง แล้วถูกต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเราอยากต่อเป็นรูปแล้ว เริ่มมีฝันแล้วครับ
จา : ผมก็มีกลับไปมองว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ไง แต่ส่วนใหญ่จะคิดแบบ… มองไปข้างหน้า จะทำวันต่อไปอย่างไรให้เป็นอย่างที่ต้องการมากกว่า
เส้นทางอุปสรรคกว่าเป็นจา-เฟิร์ส เจออะไรมาบ้าง?
จา : จะมีอุปสรรคแบบที่ทุกคนก็เจอ เช่น โควิด ส่วนอุปสรรคอื่นๆ หลายๆ อย่างที่เข้ามาผมมองว่าก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยทำให้โตขึ้น รู้สึกว่าถ้ามาเจอเรื่องนี้ รับมือได้อยู่แล้ว
เคยเจออุปสรรคเรื่องการแคสงาน?
จา : เคยเป็น แต่ก็รู้สึกว่า แสดงว่าอาจมีจุดผิดพลาดแล้วกลับมาดูตัวเองว่าผิดพลาดตรงไหนก็แก้ไข
เฟริสท์ : ผมเป็นคนที่ค่อนข้าง sensitive เรื่องความผิดหวัง เป็นคนที่ช่างหวัง ถ้ามีความหวังก็หวังกับมันทุกครั้ง ตั้งแต่แคสครั้งแรก จนตอนนี้เริ่มได้แสดงแล้วก็ยังคาดหวัง เมื่อก่อนผมแคสบ่อยมาก ตอนเรียนมัธยม ถึงขนาดตอนกลางวันว่างปุ๊บออกไปแคสงาน บางทีอาทิตย์หนึ่ง ผมแคส 4 วัน 4 งาน วันละงาน แล้วก็หวังทุกงานว่าแคสขนาดนี้ต้องได้สักงาน พยายามเต็มที่ทุกงาน แต่ก็ผิดหวังหลายๆ งาน ผมรู้สึกว่าผมทำเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่เป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เราต้องยอมรับการตัดสินใจ ก็ฮีลตัวเอง พอได้รับคำบอกว่าปล่อยคิวนะ (คือแคสไม่ผ่าน) คำนี้ผมโดนบ่อยมาก ใจมันไปแล้ว รู้สึกไม่อยากไปแคสแล้ว
บางทีผมเหนื่อยมาก ก็ได้แต่คิดว่าถ้าเราอยากทำต่อ วันนี้เสียใจเถอะไม่เป็นไร เราเข้านอนพรุ่งนี้ก็ตื่นแล้ว วันใหม่ทุกคนเริ่มใหม่ เริ่มกับตัวเองไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร
ช่วงที่รู้สึกว่าอยากจะพอ ผมจะกลับมามองตัวเองว่าพยายามขนาดนี้แล้ว อดทนร้องไห้มากี่รอบแล้ว อีกหน่อยจะเป็นอะไร แล้วพอไปต่อปุ๊บก็ขับเคลื่อนเรื่อยๆ
เวลาเจออุปสรรคหลายๆ อย่างท้อไหม?
เฟริสท์ : ผม sensitive เรื่องความผิดหวัง ผิดหวังปุ๊บท้อ ไม่กล้าคุยกับใคร เวลาบอกใคร กลัวทำคนอื่น Down ผมเป็นคน Down ง่าย บางทีก็แบบ คุมไม่ได้ก็ต้องปล่อย เจ็บใจนะรู้สึก ไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่ในเมื่อเลือกบันเทิง และตัดกีฬาออก เพราะว่าตั้งใจเป็นนักแสดง อย่างน้อยทำอะไรได้ทำ พร้อมที่สุดก็พอ โอกาสมาเมื่อไหร่ก็หวังว่าจะเป็นวันของเรา ทุกวันนี้ผมพยายามศึกษาให้เต็มที่ให้มากที่สุด
จา : ผมไม่ค่อยครับ ผมจะประเมินตัวเองว่าเข้ามาในวงการนี้ เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายมาก ความรู้เรื่องการแสดงน้อยมาก แต่สิ่งที่เจอ คือ เราเรียนรู้ว่ามีอุปสรรคเข้ามา แต่มันคือสิ่งที่ไม่รู้ ถ้ารู้ก็ปรับแก้ไขได้ ผมมองว่าคือการท้าทายหรือเรียนรู้ที่แบบเป็นอะไรที่เป็นสีสันชีวิต ถ้ามี Passion กันมันแล้วทำมันต่อเรียนรู้กับมันไปเรื่อยๆ
คิดว่าถ้าไม่ได้อยู่วงการบันเทิง จะมีโอกาสได้มาเจอกันไหม?
เฟริสท์ : ผมว่าน่าจะยาก เพราะคนละสายเลย จาไปทางนักบิน ผมเรียนสถาปัตย์ฯ ฉีกคนละทางเลย แต่ก็ดีที่ได้ทำงานร่วมกัน อย่างที่บอกก็สีสันชีวิตสักครั้งหนึ่งในชีวิตได้ทำงานร่วมกันได้เรียนรู้กันครับ
เจอกันครั้งแรก?
เฟริสท์ : ผมเคยตอบไปหลายๆ ครั้งว่าเขาตัวใหญ่ดี นั่นก็เป็นภาพแรกที่เห็น พอมีคนถามบ่อยๆ กลับมาคิด อ่อ ที่ผมรู้สึกครั้งแรกคือ ผมไม่ได้คิดอะไรเลย หมายถึง ไม่รู้เลยว่าจะเจอเขา แค่รู้สึกตอนนั้นว่าทำให้ดีที่สุดพอ เล่นกับใครก็ได้ ถ้าเล่นกับเขาสบายใจ ผมจะอ่านบทแล้วไม่ให้เขารู้สึกว่าเขาต้องแบก หรือว่าเขาต้องแบบทำไมเล่นยากจัง ก็ไม่อยากถ่วงใคร รู้สึกได้ว่าตอนนั้นอยากทำเต็มที่ รู้สึกว่าเล่นกับเขาแล้วสบายใจมาก
จา : ตอนแรกที่แคสก็ตื่นเต้น อยากรู้ว่าเล่นกับใคร พอเจอเขาภาพแรกก็หล่อ มาลองเล่นกันแล้ว รู้สึกว่าเออคนนี้โปรดี ก็ถือว่าเป็น first impression ที่ดีครับ
คิดไหมว่าจะมีกระแสคู่จิ้น?
จา : ไม่ได้มองว่าจะต้องมีแฟนคลับเข้ามา แต่พอมีเข้ามารู้สึกว่า ขอบคุณเขาที่เข้ามา เขาเป็นคนที่เติมเต็มใน passion ของผมกับหลายๆ อย่าง เรียกว่าไม่ได้คาดหวัง แต่สิ่งที่เราได้รับเกินความคาดหวังไว้เยอะครับ
เฟริสท์ : ผมเหมือนจาเลย จริงๆ รู้สึกขอบคุณ อันดับแรก รู้สึกผมคาดหวังให้ตัวเองดีขึ้น ได้ผลงานดีๆ อย่างที่จาบอก พอทำในสิ่งนี้เหมือนเป็นผลพลอยได้ (ที่มีแฟนคลับเข้ามา) ขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ กำลังใจที่สนับสนุน จา-เฟิร์ส ทำให้เติมเต็มใจเหมือนกัน
อย่างที่บอก ความรู้สึกคือการขอบคุณมากกว่า
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เคมีสองคนเข้ากันได้มากที่สุด?
เฟริสท์ : น่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติบางอย่างที่ผมก็ ไม่รู้เหมือนกัน ว่าให้ต้องแสดงหน้าแบบนี้หรือต้องทำท่าทางแบบไหนให้ดูเข้ากับเขา ผมทำให้ดีที่สุด พอเล่นแล้วสบายใจ เลยอาจจะกลายเป็นเพราะธรรมชาติบางอย่างพอดีเป๊ะ เลยเข้ากันได้ดีครับ
จา : ผมคิดว่าขนาดตัวมั้งครับ เห็นแฟนคลับชอบบอก ขนาดตัวของเราต่างกัน น่ารักดี
พัฒนาความสัมพันธ์ยังไงถึงมาสนิทกันได้?
เฟริสท์ : เริ่มจากคน 2 คนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน จากการเวิร์กช็อป ทำให้รู้จักมากขึ้น เป็นเพื่อนกัน กล้าแสดงด้วยกัน ยิ่งทำให้เริ่มรู้จักกัน ยิ่งสนิทมากขึ้น บางมีคุยกันมาก ปรับความเข้าใจมากขึ้นในบางอย่างในบางเรื่อง ทำให้รู้ว่าธรรมชาติเขาเป็นคนยังไง ธรรมชาติผมเป็นยังไง ปรับได้แค่ไหน ตรงกลางคืออะไร แล้วใครเป็นแบบไหน เหมือนเป็นการเรียนรู้บางอย่างที่โอเค เข้าใจกันได้ ทำให้เรียนรู้กัน
ไลฟ์สไตล์ของทั้งคู่ อะไรที่มันเข้ากันได้มากที่สุด
เฟริสท์ : เป็นเรื่องของเวลา ส่วนใหญ่ที่ต่างกันเป็นเรื่องกิจกรรมต่างๆ ของเขาแนวเอ็กซ์ตรีม แต่เขาก็มีบางอย่างที่ ปลูกต้นไม้ มีความอ่อนโยน ผมไม่เน้นอะไรที่กระโชกโฮกฮาก ถึงจะเป็นนักกีฬาแต่ในจิตใจ คือ ไม่รู้สึกว่าอยากไปปีนเขา รู้สึกแค่อยากอยู่ที่สงบ อยากตื่นเช้ามาแบบเห็นแสงสว่างหรือ แบบเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก คิดว่าที่เข้ากันได้ บางเรื่องทำให้เข้ากันได้
จา : ผมคิดว่าน่าจะเป็นการทำงานมากกว่า แบบตั้งใจทำงานเหมือนกัน มีเป้าหมายเดียวกัน ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยกัน
ข้อดีข้อด้อยของแต่ละฝ่าย?
เฟริสท์ : ผมบอกก่อนก็ได้ เอาเป็นถ้าถามว่าข้อด้อยอ่ะ คือผมคิดว่าทุกคนน่ะมีหมด แต่ว่าทุกคนปรับเปลี่ยนตลอด ทุกคนมีข้อด้อยตลอด มีข้อดีตลอด แต่ข้อดีของเขาคือ เป็นคนที่ตั้งใจและเป็นคนที่มุ่งมั่นในสิ่งที่เขาโฟกัสเอาไว้ ช่วงนี้มุ่งมั่นสิ่งนี้นะ เขาชอบสิ่งนี้เขาจะสนใจมากแล้วจะมีความรู้กับสิ่งนี้มาก จนผมรู้สึกว่า เฮ้ยจริงๆ เขาตั้งใจในสิ่งนี้ คือ ถ้าผมเป็นแบบเขาได้ในเรื่องของความตั้งใจจะดีมากเลย เพราะผมเป็นคนตั้งใจแต่ผมรู้ไม่ลึกพอ ตรงนี้เลยเป็นข้อดีของเขา
จา : ข้อดีของเขาน่าจะเป็นการตั้งใจทำงาน อย่างที่บอกว่าพอมีเป้าหมายเดียวกันมันตั้งใจเหมือนกันมันทำให้งานไปถึงฝั่งได้ไวขึ้น มันเหมือนช่วยกันพายเรือครับ
เฟริสท์ มีข้อด้อยไหม?
จา : ผมก็ไม่ค่อยมองหรอก แม้แต่คนทั่วไป ก็ไม่ได้มองข้อด้อย แต่ดึงแต่จุดดีมาครับ
ไม่มีเรื่องขี้งอนอะไรอย่างนี้บ้างเหรอ?
จา: ผมว่าเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้เป็นการคิดข้อดีข้อด้อยแต่เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับการสิ่งที่ต้องเจอ
เคยคิดไหมว่าวันนึงจะมาเป็นนักแสดงซีรีส์ Y
เฟริสท์ : อันนี้ไม่เคยมีในหัวเลย วันๆ ดูแต่แบด วงการบันเทิงอาจไม่ได้ข้องสักเท่าไหร่ พอวันหนึ่งได้มีบทบาทเพิ่มมากขึ้นก็ต้องไปเรียนรู้ให้มากขึ้นว่าซีรีส์ Y คืออะไร เป็นซีรีย์แบบไหนแล้วต่างจากซีรีส์ ปกติแบบไหน ก็เลยได้รู้จักจากตรงที่ได้มีโอกาสมาทำงานตรงจุดนี้ครับผม
จา : ผมแทบจะไม่เคยคิดเลยครับ พอได้มาลองทำ เกิดขึ้นจากการที่ไม่รู้อะไรเลย พอได้ทำได้รู้ อยากเรียกว่าตั้งสมมติฐานกับเพื่อนที่แบบเป็นเหมือนกัน ไปศึกษาเขาเหมือนทุกครั้งที่เล่นซีรีส์ เหมือนศึกษาไลฟ์สไตล์ มายด์เซ็ต คนนั้นว่าเป็นยังไง ทำให้เมื่อก่อนเวลารณรงค์อะไรจะไม่กล้าเลย เพราะไม่รู้เรื่อง พอตอนนี้ได้เข้าไป เข้าใจว่าเพื่อนเป็นยังไงตัวตนจริงๆ LGBTQ คืออะไร ทำให้กล้าออกเสียงมากขึ้นแทนเพื่อนปกป้องเพื่อน
ได้เรียนรู้อะไรจากการเป็น นักแสดงซีรีส์ Y
เฟริสท์ : จริงๆ อย่างที่จาบอก ได้เรียนรู้มากขึ้น เมื่อก่อนไม่รู้จักคำว่า Pride Month คืออะไร อันนี้พูดตรงๆ เพราะอันนี้ผมเข้ามาในวงการ Y ได้ประมาณ 2 ปี ได้เรียนรู้และได้รู้จักมากขึ้นว่า เป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง LGBTQ เหมือนทำให้ได้เรียนรู้มากขึ้นว่าคืออะไร ควรรณรงค์ไปทิศทางแบบนี้ โลกนี้เป็น หรือว่าเป็น เหมือนอย่างจาบอก สามารถพูดได้เต็มปากหรือว่ารณรงค์อย่างเต็มปาก โดยที่มีความรู้มากขึ้นและไม่ใช่แบบที่ไม่รู้และก็แชร์ตามคนอื่น
จา : ผมได้หลายๆ อย่าง เข้าใจโลกมากขึ้นว่าแบบ โลกนี้ไม่มีกรอบ การเป็นตัวเองคือเป็นตัวเอง คือจริงๆ คำว่า LGBTQ บางทีก็ไม่จำเป็นเลย แล้วแต่คุณจะเป็นว่าคุณจะเป็นอะไร อยู่ด้วยกันในสังคมให้เกียรติกันแค่นี้ผมว่าคุณจะเป็นอะไรก็ได้แล้วครับ
ความรู้สึกกับซีรีส์ที่ทำงานมาเป็นยังไง
จา : ตอนแรกอาจยังไม่เข้าใจในมุมอารมณ์ตัวละครว่าจะรู้สึกยังไง พอได้อ่านบทมากขึ้น ได้ลองศึกษาวิธีคิด ทำไมถึงเป็นแบบนี้ พอได้แสดงก็เข้าใจมากขึ้น ทำไมถึงทำอย่างนี้ รู้สึกยังไง บางคนอาจเป็นซึมเศร้าเรื่องบางอย่าง ก็รู้แล้วมาจากอะไร ทำไมเขาถึงต้องแบกรับความกดดันในจุดนี้
เฟริสท์: หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว รู้สึกว่าคือ คือความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างที่จาบอก ความรักไม่มีกรอบ ยิ่งสมัยนี้รณรงค์ว่าความรักมันไม่มีกรอบ รณรงค์เรื่องเพศ ความเท่าเทียมกัน รู้สึกว่าคือความรักอย่างหนึ่ง รักใครก็ได้ ขนาดสุนัขแมวเราก็รักเขาในรูปแบบหนึ่งไม่ผิด จะรักอะไรก็ได้ คนอีกคนนึงก็มีความรู้สึกของคนที่มีให้กัน รู้สึกว่าสวยงามเวลามีคนที่รักและคนที่รักเรา คือความสุข ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ก็รู้สึกว่าคือความรักในรูปแบบหนึ่ง
ความเห็นในมุมของนักแสดงบ้าง ทำไมคนถึงชอบซีรีส์ Y
เฟริสท์ : ทำไมถึงชอบเหรอครับ ผมว่าประเด็นนี้น่ารักตรงที่ว่า คนรักกันน่ะ น่ารักนะ ไม่ว่าใครก็ตามลองเดินในสวนสาธารณะ เห็นใครเดินอยู่ด้วยกันหรือนั่งด้วยกัน เขาแบบมีความรัก แบบดูน่ารักจัง เหมือนเติมฟีลในความรู้สึก มันฟู บางทีรู้สึกดีไปกับเขา ในมุมนักแสดงคือ ความน่ารักของอีกหนึ่งบทบาทหนึ่งที่ได้รับมา
จา : อธิบายยากมาก เป็นความรู้สึกจริงๆ ว่า อยากที่บอกคือ เคมีครับ ที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมดูคู่นี้น่ารัก แต่รู้สึกว่าอยากดูต่อ ไม่มีเหตุผลเลยแต่อย่างที่บอกคือ คู่นี้ดูน่ารัก
ซีรีส์ Y มีส่วนทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง?
เฟริสท์ : เอาจริงๆ พูดตรงๆ มี เพราะซีรีส์ Y เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ตัวนึงที่ทำให้ผมได้ก้าวมาอีกหนึ่งขั้นเล็กๆ เป็นอีกหนึ่งขั้นเล็กๆ ของความฝัน การเป็นนักแสดงที่ดีขึ้น เหมือนเปลี่ยนชีวิตจากคนที่แคสบ่อยๆ เหนื่อยและท้อมาก เมื่อก่อนคือสิ่งที่เครียดที่สุดในการอยู่ในวงการบันเทิง ตอนนั้นคือการแคส ทำยังไงให้ตัวเองออกมาจากการปล่อยคิวๆ แต่พอเริ่มมีซีรีส์ Y เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นเหมือนตอนนี้สิ่งที่เครียดที่สุดคือ จะแสดงให้ดีขึ้นในซีนต่อๆ ไป หรือในบทที่ได้ทำงานยังไงให้ดีขึ้นครับผม จริงๆ เปลี่ยนเยอะเหมือนกัน เปลี่ยนความคิดทำให้โตขึ้นด้วยอย่างที่บอกได้เรียนรู้เรื่องของ LGBTเพิ่มขึ้นมากขึ้น
จา : จามี 2 อย่างครับ อย่างแรกเลยซีรีส์ Y ทำให้ผมชอบการแสดงมากขึ้น มีเป้าหมายมากขึ้น เหมือนเป็นตัวเติมไฟให้รู้สึกว่าอยากไปต่อกับการแสดงอะไร อีกอย่างคือขอบคุณแฟนคลับเพราะว่าแฟนคลับหลายๆ คนเติมเต็มมากไม่ว่าจะในแง่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยชาวต่างชาติเป็นกำลังใจที่ดีครับ
ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานที่ผ่านมา
เฟริสท์ : ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนเก็บตัว แต่ก็รู้สึกว่าอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น พอมาเล่นซีรีส์ กลายเป็นว่าชอบเจอผู้คน เหมือนอยากรู้จักคนอื่นมากขึ้นนี้ก็เป็นอะไรที่แปลกดี ตกใจตัวเองว่าจริงๆ แล้วเป็นแบบนี้
จา : ผมเยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องการทำงาน เรื่องความเข้าใจ คือ ทำงานทุกคนได้เรียนรู้ การแสดงต้องทำยังไง การมาตรงต่อเวลา ป็นสิ่งต้องทำอยู่แล้ว แต่เรื่องความรู้สึก เมื่อก่อนผมโดดเดี่ยวมากไปแคส ผมไปแคสคนเดียว นั่งรถไปคนเดียว รู้สึกคนเดียว รู้ว่าทุกอย่างคนเดียว เดี๋ยวนี้มีหลายๆ อย่าง เริ่มมีคนมาบอกสู้ๆ หรือพี่ผู้จัดการ จะบอกไม่เป็นไร ทำวันนี้ให้ดีแค่นั้นพอ ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะหางานดี ๆ เพิ่มให้นะ
ตอนนี้ไม่ใช่ผมยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว ตอนนี้มีหลายๆ คนที่เขายินดีแล้วหวังดี แค่รู้สึกว่าความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยได้รับขนาดนี้ ไม่เคยรู้ว่าถ้าวันหนึ่งจะมีคนที่รักขนาดนี้ ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ ความคาดหวังของผมเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่ความฝันตัวเอง เหมือนอยากตอบแทนหลายๆ คนที่หวังดี โดยที่เขาไม่ต้องการอะไรเลย แค่อยากให้ผมประสบความสำเร็จและดีขึ้น
ตอนนี้สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว ทุกวันนี้ที่คิดคือ มีงาน เป็นนักแสดงที่ดี ได้แสดงอย่างสมบทบาทและแสดงออกมาให้คนที่เชียร์ผมอยู่ ภูมิใจว่าเขาเป็นแฟนคลับของคนนี้นะ ผมอยากอยากมีสักวันหนึ่งที่ทุกคนภูมิใจว่าเป็นแฟนคลับคนๆ นี้ อยากให้เขาพูดได้เลย ก็เป็นความฝันอีกอย่างเหมือนกัน ที่ทำให้ทุกคนภูมิใจ
มีจุดไหนอยากพัฒนาการแสดงบ้าง ?
เฟริสท์ : เยอะเลยครับ เหมือนตอนผมเล่นกีฬา รู้สึกว่าตรงนี้ลูกนี้ชำนาญแล้วตีดีแล้ว ยิ่งโตมากขึ้น มองกลับไปตรงนี้พลาดนะ เหมือนตอนแสดงไม่ว่าจะเรื่องไหน ที่ถ่ายไปแล้วรู้สึกว่าทำพลาด ผมกับจาก็รู้สึกว่าแบบที่จาบอก พลาดแล้วกลับมาแก้ใหม่ หลายๆ อย่างที่รู้สึกว่าอยากพัฒนาตลอดก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ก้าวแล้วก็มองลงมา มองลงมาตลอด
จา : ผมรู้สึกว่าอีกหลายๆ อย่างเลยครับ วงการบันเทิงมีอะไรที่หลากหลายมาก ไม่ว่า เดินแบบ เล่นหนัง เล่นละคร สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเล็กๆ แค่หาสิ่งท้าทายใหม่เรื่อยๆ เติม passion ตัวเองไปเรื่อยๆ อันนี้บางทีคิดว่าไปต่อได้แล้วก็อยากเดินไปต่อ ก็มีอะไรอีกเยอะ สิ่งที่เราเรียนรู้คือ ต้องรอเติมน้ำในแก้วตัวเองตลอดเวลา
เคยอินกับบทจนออกมาไม่ได้ไหม?
เฟริสท์ : อันนี้คนในกองก็รู้บ้างครับเป็นซีนร้องไห้ ร้องเหมือนจะเสียเขาแล้วพอดีคิวนั้นเป็นคิวแรกของเรื่องพอดี แล้วคุณยายเสีย แต่ตอนเช้าซีนน่ารักกุ๊กกิ๊ก ตอนบ่ายซีนดราม่า ก็ต้องเก็บไว้ตั้งแต่เช้าจนเย็น ทุกอย่างเหมือนแบบที่อั้นอยู่ข้างในออกมาเลย อาจจะถูกหรือไม่ถูก ในเรื่องของการแสดงก็ตาม แต่ทำให้วันนั้นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าผมแทบจะดึงตัวละคร ตัวเองไม่ได้ พี่ผู้กำกับฯ สั่งคัตแล้ว ผมก็ขอเดินออกไปข้างนอก แบบเสียใจหลายนาทีคือรู้สึกแย่ พยายามดึงออกแต่กลายเป็นเชื่อมกับชีวิตจริง เป็นครั้งแรกที่ ส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย แล้วซีนต่อไปก็ต้องแยกเรื่องส่วนตัวให้ได้ แล้วก็ขอบคุณเพื่อนๆ ที่อยู่ในกองที่ปลอบ ไม่เป็นไร ค่อยๆ หายใจลึกๆ ก็จะเป็นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกติดเลย แล้วก็จำไว้ตลอดว่าจะพยายามว่า คัตคือจบ
จา : ผมว่ามีทั้ง 2 อย่าง มีทั้งยากและง่าย ความยากคือเป็นทัศคติที่เราไม่รู้จักมาก่อนต้องไปเรียนรู้ ความง่ายคือ คนรอบตัวช่วยหมด ผู้กำกับ ผู้เขียนบท แม้แต่เพื่อนๆ บางทีไม่ได้เป็นแบบที่ผู้กำกับคิดอย่างเดียว เป็นได้หลากหลายรูปแบบ ผมจะถาม มีคนรอบตัวช่วย หรือว่าผู้กำกับเขียนบทเองเขาจะเป็นมุมมองอีกแบบ ความง่ายคือ ทุกคนรอบตัวช่วย
ประสบการณ์ในการเล่นฉาก NC ของเราเป็นยังไงบ้าง?
เฟริสท์ : ประสบการณ์การเข้าบท NC รู้สึกเป็นอะไรที่แปลกใหม่ เพราะอยู่กับโฆษณาตลอด กินน้ำ กินบะหมี่ เล่นคอม รู้แค่นั้น พอเข้าฉากจริงๆ แปลกใจไม่เคยเจอ รู้สึกเซอร์ไพรส์นะ เมื่อเป็นนักแสดงต้องทำได้ทุกอย่าง เชื่อว่าผู้กำกับหรือว่าคนเขียนบท คิดมาดีแล้ว เซฟเราแล้ว คิดว่าเท่านี้คือ โอเคแล้ว ถ้าไม่รู้แค่ถาม อย่างที่จาบอกคือคนรอบตัวช่วยหมด พี่ผู้กำกับฯ พี่แอ็กติงโค้ช ไกด์ให้ตลอด ก็ได้เรียนรู้แล้วแค่กล้าที่จะทำพอ เขินเหมือนกัน คนเยอะมาก แต่ก็ต้องแสดงเพราะว่าเป็นนักแสดง
จา : ตอนแรกรู้สึกตกใจ ขนาดนี้เหรอ (หัวเราะ) แต่พอทำความเข้าใจก็ชิน อย่างที่บอกว่ามันไปเพ่งสมาธิตรงที่เราต้องเป็นตัวละครมากกว่า ความคิดก็จะลดลง แล้วไปให้สมาธิกับตัวละคร การบล็อกกิ้งมากขึ้นเพราะว่า NC ก็ไม่ได้เล่นตามธรรมชาติแบบ 100% บล็อกกิ้งก็เยอะในการรับมุมกล้อง
เป้าหมายในอนาคต ต่อไปที่จะก้าวเดินในฐานะนักแสดง?
เฟริสท์ : เป้าหมายผมค่อนข้างชัดเจน อยากเป็นนักแสดงที่เล่นเรื่องไหนก็ได้ แล้วเรียนรู้กับมันอ ผมยากเจอทุกบท ทุกรูปแบบ อยากเจอมากๆ ถ้ามีโอกาสอยากรับไว้หมด ผมรู้สึกว่าผมก้าวมาทั้ง 2 ขาแล้ว ไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อนที่เข้ามาครึ่งเดียว ผมชัดเจนกับเรื่องการแสดง ไม่ว่าบทอะไรก็อยากที่จะเล่น อยากประสบความสำเร็จ อยากมีชื่อเสียง อยากทำให้แฟนๆ ที่คอยให้กำลังใจหรือพี่ผู้จัดการ หรือคนรอบตัว ภูมิใจว่า เฟริสท์ทำได้นะเว้ย เนี่ยคือ ฉันตามคนนี้อยู่นะ ทุกคนภูมิใจแล้วก็อยากให้ทุกคนได้เสพในสิ่งที่ผมแสดง อยากให้ทุกคนพูดให้ดีจริง ฉากนี้อินมากทำได้ขนาดนี้ วันนึงผมอยากได้ฟีลนั้น แล้วก็อยากให้คนอื่นได้รู้สึกเหมือนกันครับ
จา : เป้าหมาย อยากได้รางวัลสักหนึ่งรางวัลเกี่ยวกับการแสดง แล้วก็นอกนั้นก็ทำงานของเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไปเรื่อยๆ ครับ การมีเป้าหมายที่วางไว้เป็นระยะๆ มันทำให้เราตัดสินใจได้มากขึ้น เวลามีเป้าหมายอันไหนที่ควรทำหรือไม่ควรทำอะไร
ผลงาน Remember Me ความรักเขียนด้วยความรัก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร?
เฟริสท์ : ตัวผมเป็น “กัน” เรา 2 เขียนจดหมายหากันตั้งแต่มัธยม เรื่องราวเกี่ยวกับการสื่อสารครับ ตั้งแต่เป็นการสื่อสารแบบย้อนตั้งใจเขียนจดหมาย MSN BB Line ทุกอย่างค่อยๆ เล่าเรื่อง แล้วตัวละครก็เติบโตกับการสื่อสารนั้นๆ เหมือนกับฝั่งนี้คือจดหมาย ฝั่งนี้ใช้ไลน์ เหมือนยุคสมัยกำลังเปลี่ยนผ่านไปทางนี้ใช่ไหม ทางนี้ทางจดหมายรู้สึกว่าสนิทแล้วก็ให้ใจกันมาก รู้สึกว่าผูกพันมาก แต่ติดต่อกันยากมาก กว่าจะรู้เรื่องแ ต่รู้สึกผูกพันกันมากแต่พอมาทาง LINE ติดต่อกันง่ายมาก แค่ส่งปุ๊บแล้วก็รู้เลยคุยกันได้ แต่ว่าทำให้ความสัมพันธ์ของคนดูห่างเหิน ในเรื่องของความสัมพันธ์ที่เคยสนิทสนมกลายเป็นความรักที่ห่างเหินเพราะเทคโนโลยี
รับบทเป็นใครในเรื่อง?
จา : ผมรับบทเป็นกอล์ฟครับ
คาแรกเตอร์ในเรื่อง?
จา : กอล์ฟ คาแรกเตอร์ จะเป็นคนที่คิดบวก จ๋าๆ คือ มีความคิดบวกเพราะว่าพ่อแม่ก็เป็นคนที่เรียกว่าปล่อยให้ลูกตัดสินใจเอง ก็จะเป็นคนที่ติดเพื่อนเข้าใจเพื่อน แต่พอโตมาก็จะมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป วิธีการทำงานความจริงจังมากขึ้น พูดเยอะเดี๋ยวสปอยล์ (หัวเราะ) บอกแค่นี้ก่อนว่าเป็นคนที่จริงๆ แล้วคิดบวก
เฟริสท์: คาแรกเตอร์ของ “กัน” เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง อาจจะเกิดจากคนรอบตัวที่ทำให้ตัวเองไม่มั่นใจ เข้ามากระทบตั้งแต่เด็กทำให้ตัวเองไม่มีความมั่นใจ แต่พอวันหนึ่งเจอ “กอล์ฟ” ผ่านทางจดหมายก็เริ่มอยากพัฒนาตัวเองให้ดีมากขึ้น เป็นยังไงต่อต้องไปรอดูจริงๆ
เป็นซีรีส์โรแมนติก?
เฟริสท์ : โรแมนติกผสมดราม่า มีครบทุกอย่าง ให้ทุกคนได้รู้สึกกับความเป็นตัวละคร ความเป็นมนุษย์มากขึ้น
ถ้ามีอะไรอยากจะพูดกับตัวเองตอนนี้?
เฟริสท์ : ขอบคุณสำหรับคำถามนะครับ ก็อยากจะบอกว่าสู้ต่อไป ทำได้ มั่นใจ ทุกคนรอบตัวเป็นกำลังใจให้ไม่ต้องท้อสู้ๆ
จา : ขอบคุณตัวเองครับที่มีวินัยทุกๆ วันประมาณนี้ ผมมีรูทีนเป็นของตัวเองครับ ผมรู้สึกว่าในการที่ผมทำรูทีนในแต่ละวันสำเร็จน่ะ มันคือผมขอบคุณตัวเองแล้ว
ให้ฝากผลงาน?
เฟริสท์ : Remember Me ซีรีส์ ออนแอร์ วันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. 65 ทางช่อง อัมรินทร์ทีวี เวลา 22.30 น. และดูย้อนหลัง 23.30 น. ทาง 3 พลัส แล้วก็หนัง แมนชั่น 244 เป็นหนังร่วมทุน เวียดนาม-ไทย
จา : ก็ฝากด้วยนะครับ Remember Me ออน 9 ตุลาคมนี้ แล้วก็อยากให้ทุกคนได้ดู หลายๆ คนที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาจะคิดถึงมาก ไม่ว่าจะเป็นจดหมายดีๆ ไลน์ หรือว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พ่อแม่จีบกันยังไง กลับไปดูให้ความรู้สึกบางอย่าง เวลาย้อนกลับไปมีความสำคัญมากเหมือนกันนะ ก็ฝากด้วยนะครับ Remember Me ครับ
หากใครคิดถึงหรือ อยากเจอ 2 หนุ่มคู่นี้ ไปพบกันได้ที่งาน FEED Y CAPITAL เมืองหลวงซีรีส์วาย
ในวันเสาร์ที่ 24 กันยายน 2565 นี้ ที่ SIAM SQUARE ลานจอดรถที่ 3 (SEE FAH) เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป