เมื่อ “นักแสดง Y ไทย” ดังไกลทั่วเอเชีย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่กระแสนิยม “ซีรีส์ Y” และ “นักแสดง Y” ภายในบ้านเราจะพุ่งขึ้นสูงอย่างน่าจับตา
แต่แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งในปัจจุบัน ยังผลักดันให้ภาวะโด่งดังเป็นพลุแตกดังกล่าวแพร่กระจายข้ามพรมแดนรัฐชาติไปยังประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคอาเซียนและจีน ซึ่งถือเป็น “ตลาดต่างแดนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด” สำหรับ “อุตสาหกรรม Y ไทย”
ส่งผลให้บรรดา “นักแสดง Y ไทย” ต้องเดินทางไปจัดกิจกรรมแฟนมีตติ้งเพื่อพบปะกับ “สาว Y” และผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ถึงต่างประเทศ ตัวอย่างความสำเร็จในกรณีเช่นนี้นั้นมีอยู่มากมาย เช่น
6 นักแสดงนำจากซีรีส์เรื่อง “Cutie Pie Series : นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ” ที่พากันบินลัดฟ้าไปจัดแฟนมีตติ้งไกลถึงประเทศเกาหลีใต้ เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แถมยังได้รับความสนใจจากสื่อท้องถิ่นอย่างล้นหลาม
ทางด้าน “กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงศ์” ที่เคยจับคู่กับ “มิว-ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์” ในผลงานดัง “TharnType The Series” ก็จัดงานแฟนมีตติ้งเดี่ยวของตัวเองเป็นครั้งแรก พร้อมเดินสายไปพบปะแฟนๆ ทั่วเอเชีย
เริ่มจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางไปยังนครโฮจิมินห์, โซล, มะนิลา และอีกหลายเมืองใหญ่ทั่วเอเชีย แล้วมาปิดท้ายกิจกรรมที่กรุงเทพฯ ช่วงปลายปี
หรือกรณีล่าสุด 16 นักแสดงจากซีรีส์มาแรงแห่งปีอย่าง “KinnPorsche The Series รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก” ผลงานของค่าย Be On Cloud ก็ประกาศจัดแฟนมีตติ้ง โดยตั้งต้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม แล้วจะเริ่มปักหมุดทั่วเอเชียในตลอดเดือนตุลาคม จากมะนิลา, สิงคโปร์, โซล, นครโฮจิมินห์ และไทเป
(จนนำไปสู่ปรากฏการณ์ห้างสยามพารากอนแตกเมื่อวันที่ 11 กันยายน เพราะเหล่าแฟนคลับได้ไปร่วมกิจกรรม “KinnPorsche Send Off” เพื่อร่วมส่งเหล่านักแสดงคนโปรดออกตระเวนเวิลด์ทัวร์เฟส 1)
ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าดาราจาก “KinnPorsche” ยังมีตารางทัวร์ในแถบยุโรป อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ (ซึ่งจะมีการประกาศวันเวลาและสถานที่แบบชัดๆ ในไม่ช้านี้)
นี่นับเป็นพรมแดนที่ “นักแสดง Y ไทย” ไม่เคยเข้าไปจัดกิจกรรมพบปะแฟนๆ อย่างเป็นทางการมาก่อน และคำกล่าวที่ว่าประเทศไทยเป็นเสมือน “เมืองหลวงซีรีส์ Y” ของโลก ก็ดูจะไม่ใช่วาทะคุยโตโอ้อวดที่เกินจริงอีกต่อไป
สู่ “โลกใบใหม่” ที่ไม่เคยไปมาก่อน
หนึ่งในพรมแดนใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมบันเทิงไทยมากนัก ทั้งๆ ที่หลายคนมองว่าบ้านเรากับบ้านเขามี “วัฒนธรรมพ้องกัน” หลายอย่าง ก็คือทวีปอเมริกาใต้ (ลาตินอเมริกา)
ทว่า “อุตสาหกรรมซีรีส์ Y” ของไทย กลับสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่พรมแดนดังกล่าวได้อย่างน่าทึ่ง
ดังที่ “ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์” ผู้กำกับที่ขับเน้นความสำคัญของประเด็นความหลากหลายทางเพศมาโดยตลอด และเพิ่งเริ่มเข้ามาทำ “ซีรีส์ Y” เล่าให้ FEED ฟังว่า มีแฟนคลับจากบราซิล รวมถึงกลุ่มคนที่ใช้ภาษาสเปน มาติดตามผลงานของเธอผ่านทางโซเชียลมีเดีย
เช่นเดียวกับ “สถาพร พานิชรักษาพงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GMMTV ผู้ผลิต “ซีรีส์ Y” รายสำคัญ ที่บอกกับเราว่า สื่อบันเทิงประเภทนี้มีศักยภาพในการเดินทางไปหากลุ่มแฟนคลับจากประเทศที่ทีมงานคิดไม่ถึง เช่น บราซิล และ เม็กซิโก
“ถึงขนาดสถานทูตไทย ณ กรุงเม็กซิโก ได้ติดต่อเรามาเพื่อนำ ไบร์ท วชิรวิชญ์ และ วิน เมธวิน ไปไลฟ์พบปะผู้ชมชาวเม็กซิโก”
ปรากฏการณ์หนึ่งที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้อย่างเห็นภาพ ก็คือ ความสัมพันธ์อันน่าเหลือเชื่อระหว่างบทเพลงของวง “สครับบ์” กับเหล่าผู้บริโภค “ซีรีส์ Y ไทย” จากลาตินอเมริกา
“สครับบ์” เป็นวงดูโอ้แนวอินดี้-บริตป๊อป ที่ออกอัลบั้มชุดแรกใน พ.ศ.2543 (หรือ 22 ปีก่อน) โดยวงดนตรีวงนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายในหมู่วัยรุ่นไทยหรือ “เด็กแนว” ที่ชื่นชอบ “เพลงอินดี้” ในช่วงครึ่งหลังทศวรรษ 2540
อย่างไรก็ดี แฟนเพลงดั้งเดิมของ “สครับบ์” ซึ่งส่วนใหญ่กลายเป็นคนวัย 30 อัพในปัจจุบัน คงเกิดอาการงุนงงจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก ถ้าพวกเขาคลิกเข้าไปฟังเพลงฮิตๆ ของวงโปรดผ่านเว็บไซต์ยูทูบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เพราะไม่เพียงแค่ยอดวิวของ “คลิปเพลงสครับบ์” จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเท่านั้น แต่ ผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาคอมเมนต์ต่อท้ายคลิปและเพิ่งทำความรู้จักกับ “เพลงอินดี้ไทยเมื่อราวสองทศวรรษก่อน” ได้ไม่นาน ยังเป็นคนอเมริกาใต้ที่ใช้ภาษาสเปนในการสื่อสาร!
สื่อกลางที่เชื่อมโยง “บทเพลงของสครับบ์” เข้ากับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ ที่อุตสาหกรรมบันเทิงไทยไม่ค่อยได้ทำความรู้จักคุ้นเคย ก็คือ “ซีรีส์ Y” เรื่อง “เพราะเราคู่กัน” (2gether) นำแสดงโดย “ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารี” และ “วิน เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร” และใช้เพลงดังของ “วงสครับบ์” มาเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราว ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากคนดูในภูมิภาคลาตินอเมริกา
(ยิ่งกว่านั้น ถ้าใครลองคลิกเข้าไปชม “เพราะเราคู่กัน” ทางยูทูบ ก็จะพบว่ามีคนเข้ามาแปลซับไตเติลให้แก่ซีรีส์เรื่องนี้ เป็นภาษาต่างๆ มากถึง 30-40 ภาษา ซึ่งบ่งชี้ถึงความโด่งดังในระดับนานาชาติของ “ซีรีส์ Y ไทย” ได้เป็นอย่างดี)
จาก “ข้ามพรมแดน” สู่ “ข้ามกาลเวลา”
นอกจากปรากฏการณ์ว่าด้วย “เพราะเราคู่กัน” “สครับบ์” และคนดูต่างชาติจากทวีปที่ห่างไกล จะช่วยพิสูจน์ให้เห็น “พลังในการก้าวข้ามพรมแดน” ของ “อุตสาหกรรม Y ไทย”
พร้อมๆ กันนั้น ปรากฏการณ์ข้างต้นยังบ่งชี้ถึงศักยภาพในการ “เดินทางข้ามกาลเวลา” เมื่อ “เพลงไทยจากสองทศวรรษที่แล้ว” ซึ่งปรากฏใน “ซีรีส์ Y ร่วมสมัย” กลายเป็นที่ชื่นชอบของ “ผู้บริโภคต่างชาติในห้วงเวลาปัจจุบัน”
ด้วยเหตุนี้ “วัฒนธรรม Y” จึงอาจไม่ได้มีความแปลกแยกจาก “คนเจนเอ็กซ์-คนเจนวาย” หรือ “ผู้บริโภคยุค 80-90” อย่างที่บางฝ่ายชอบทึกทักและเหมารวม นี่นำมาสู่กรณีศึกษาสุดท้ายของบทความชิ้นนี้
ปลายทศวรรษ 2520 ที่หน่วยงานแห่งหนึ่งของบริษัทการบินไทย
พนักงานวัย 30 กว่าๆ ชื่อ “พนเทพ สุวรรณะบุณย์” ซึ่งเคยมีประสบการณ์เล่นดนตรีอาชีพมาก่อน และรับแต่งเพลง-โปรดิวซ์ดนตรีเป็นงานพาร์ตไทม์ในขณะนั้น (ยุคสมัยที่อุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยยังไม่ได้ลงหลักปักฐานมั่นคง) ได้ตัดสินใจยื่นเทปคาสเซตม้วนหนึ่งที่บรรจุทำนองดนตรีเปล่าๆ ซึ่งเขาแต่งขึ้น ให้พนักงานรุ่นน้องชื่อ “ธนา ชัยวรภัทร์”
จากคำบอกเล่าของพนเทพในงานคอนเสิร์ตใหญ่ “รักนิรันดร์” เมื่อปี 2558 ธนาไม่ใช่คนที่เคยเล่นดนตรีหรือมีทักษะเรื่องการแต่งเพลงมาก่อน ทว่า พนเทพ เห็นว่าเพื่อนรุ่นน้องรายนี้ชอบวาดการ์ตูนและเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆ ในเวลาว่าง เขาจึงเชิญชวนให้ธนาหาโอกาสฟังทำนองเพลงในม้วนเทป แล้วทดลองเขียน “ความเรียง” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากท่วงทำนองดังกล่าว เพื่อพนเทพจะนำเอาความเรียงชิ้นนั้นไปดัดแปลงเป็นเนื้อร้องอีกที
เวลาผ่านไปไม่นาน ธนาก็นำ “คำร้องฉบับสมบูรณ์แบบ” ที่เขาเขียนขึ้นจากการฟังทำนองเพลงในเทปมาส่งคืนให้พนเทพ ซึ่งนับเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของผู้แต่งทำนองมากๆ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากทำนองเพลงของพนเทพและคำร้องของธนา คือ เพลง “เพียงแค่ใจเรารักกัน” ซึ่งกลายเป็นผลงานเปิดตัวสร้างชื่อของ “วิยะดา โกมารกุล ณ นคร” ใน พ.ศ.2529
ขณะที่ พนเทพ และ ธนา ก็จะกลายเป็นบุคลากรเบื้องหลังมือวางอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมเพลงป๊อปไทยในตลอด 1-2 ทศวรรษถัดมา
ตัดข้ามมาที่ปี 2563 “พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร” และ “บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” สอง “นักแสดง Y” ที่โด่งดังที่สุดคู่หนึ่งของประเทศไทย ได้ขึ้นเวที “FANTOPIA 2020” ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี
หนึ่งในบทเพลงที่พวกเขาเลือกมาขับร้องคู่กันจนเป็นที่ประทับใจของแฟนๆ ไม่ว่าจะคนไทยและคนต่างชาติต่างภาษา ก็คือ “เพียงแค่ใจเรารักกัน” ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์ของคนหนุ่มอีกคู่หนึ่งจากเมื่อกว่าสามทศวรรษก่อน