เชื่อว่าหลายคนที่ชื่นชอบดูการประกวดนางงาม ในรอบชุดราตรี หรือ Evening Gown น่าจะเป็นอีกหนึ่งรอบที่หลายคนเฝ้ารอดูไม่น้อย “โอ๊ต กูตูร์” ( OAT COUTURE ) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไทย ผู้อยู่เบื้องหลังชุดราตรีที่ผู้เข้าประกวดนางงามหลายต่อหลายคนให้ความไว้วางใจ
ไม่ว่าจะเป็น “ปรภัสสร ดิศย์ดำรง” ในการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2014, “ปวีณา ซิงห์” เมื่อครั้งประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018, “อแมนด้า ชาลิสา ออบดัม” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020, “นิต้า มานิตา ดวงคำ ฟาร์เมอร์” นางสาวไทย 2022, “ไฮดี้ อแมนด้า เจนเซ่น” ในการประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 และล่าสุดกับสาวงามอย่าง “เรเน่ เรนิตา เวโรนิก้า ปากาโน” ในการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 ล้วนแล้วแต่เป็นชุดที่มาจากฝีมือของโอ๊ต กูตูร์ทั้งสิ้น
FEED ได้พูดคุยกับ “โอ๊ต-กานต์ กาฬภักดี” ไดเรกเตอร์ของห้องเสื้อ OAT COUTURE ผู้รังสรรค์ชุดราตรีให้นางงามหลายๆ คนได้สวมใส่ขึ้นประกวด ถึงเส้นทางการทำชุดราตรีเพื่อนางงาม และกลายเป็นแบรนด์ที่แฟนนางงามเฝ้ารอจะได้เห็นชุดในทุกปี
สวัสดีครับ โอ๊ตนะครับ กานต์ กาฬภักดี ตอนนี้ก็เป็นไดเรกเตอร์ของห้องเสื้อ โอ๊ต กูตูร์ ครับผม
จุดเริ่มต้นเส้นทางการทำมาทำชุดราตรีให้นางงาม
โอ๊ต : จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เราเป็นสไตลิสต์อยู่ในวงการบันเทิง ทำเกี่ยวกับโฆษณา พวกถ่ายแบบ แล้ว “พี่เต๋า ทีวีพูล” ได้มาปรึกษาว่าจะส่งนางงามท่านหนึ่ง คือ “น้องปลา ปรภัสสร” ลงมิสแกรนด์ไทยแลนด์ตอนปี 2014 เราได้โจทย์มาว่าอยากได้ชุดราตรีให้นางงาม แล้วเดิมทีเราเรียนโดยตรงมาจากแพทเทิร์นและแฟชั่นดีไซเนอร์ ก็เลยได้มาเริ่มทำชุดนางงามให้กับนางงามผู้เข้าประกวดตั้งแต่ตอนนั้นครับ
เมื่อถามถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดราตรีของ โอ๊ต กูตูร์ ส่วนใหญ่มาจากไหน โอ๊ตกล่าวว่าส่วนใหญ่จะเริ่มจากการพูดคุยกับนางงามก่อน ว่าอยากได้คอนเซ็ปต์อะไร สีไหน แล้วถึงจะเป็นขั้นตอนการออกแบบเพื่อให้ชุดเข้ากับตัวนางงามมากที่สุด โดยสิ่งที่ทางร้านเน้นและให้ความสำคัญมากที่สุดเลยก็คือ ชุดต้องเข้ากับคาแรกเตอร์ของนางงาม
ดีไซเนอร์บางท่านอาจจะมีแรงบันดาลใจที่สร้างมาจากตัวเองได้เลย แต่ว่าตัวเราจะไม่เก่งขนาดนั้น ของเราเริ่มแรกจะต้องดูก่อนว่าเราจะทำชุดให้ใคร เสร็จปุ๊บจะต้องมีการพูดคุยกับตัวนางงาม การทำชุดราตรีเพื่อประกวดนางงาม มันไม่เหมือนกับการทำชุดราตรีเพื่อไปร่วมงาน หรือเพื่อสวมใส่ในโอกาสพิเศษ มันจะค่อนข้างแตกต่าง เพราะการประกวดส่วนใหญ่เวทีจะเป็นระดับนานาชาติหรือระดับประเทศ มันก็จะมีความคาดหวังว่าชุดราตรีอันนี้ จะไปส่งเสริมอะไรในตัวของผู้เข้าประกวด จะมีส่วนช่วยนางงามยังไง ตัวโอ๊ตเองแรงบันดาลใจจะมาจากการพูดคุยกันก่อนมากกว่า ว่าตัวนางงามอยากได้อะไร วางคาแรกเตอร์ไว้แบบไหน แล้วเราก็เอาการที่เคยเป็นสไตลิสต์มาก่อนมาหาสไตล์ต่อว่ามันจะต้องไปในทิศทางไหน เราจะไปเสริมเขาตรงไหนหรือจะไปอำพรางจุดที่ควรจะต้องอำพรางตรงไหน
คาแรกเตอร์สำคัญที่สุด หลายๆ คนเคยชื่นชมว่าชุดราตรีของโอ๊ต กูตูร์ ก็เหมือนๆ คนอื่นแหละ แต่จะมีอยู่อย่างหนึ่งคือมันเป็นจิตวิญญาณของคนใส่ ซึ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องยากสำหรับเรานะ เราคิดว่ามันเป็นเหมือนศิลปะชั้นสูง ที่จุดประสงค์ของเราคือต้องการให้ผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดของเราเดินออกมาแล้วไม่ต้องมีข้อความอะไรบอกเลยว่า ฉันเป็นคนแบบไหน ฉันจะสื่ออะไร อยากให้มันผ่านตัวชุดออกมาเลย อันนี้คือจุดเด่นของชุดที่เราทำให้น้องๆ นางงามแต่ละคนใส่ ผู้หญิงคนนั้นจะมีจิตวิญญาณอยู่ในชุด อันนี้ต้องยกความดีความชอบตอนเป็นสไตลิสต์ แล้วเอามันมาประยุกต์ใช้ครับ ส่วนระยะเวลาในการทำชุด ถ้าจะเอาระยะเวลาแบบที่ต้องใช้งานฝีมือ ก็จะใช้เวลาขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 1 เดือนครึ่ง หมายถึงว่าทำชุดนั้นชุดเดียวเลยนะครับ โดยทีมงานทั้งหมด
ชุดราตรีชุดแรกที่ทำ และชุดที่แจ้งเกิดชื่อของโอ๊ต กูตูร์ ให้เป็นที่รู้จัก
โอ๊ต : ถ้าเป็นชุดแรกที่มีคนเริ่มรู้จักเรา คือ “น้องปลา ปรภัสสร” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2014 หลังจากนั้นก็มาทำให้ น้องวีณา มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 จากการแนะนำของ “พี่โจ้ Surface” ตอนนั้นก็เริ่มมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น แต่ถ้าชุดที่ทำให้เรามีชื่อเสียงมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคือชุดของ “อแมนด้า ชุดสีแดง Anatomy Dress” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2020 บังเอิญว่าปีนั้นมันมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าชุดเราสวยมากจนคนรู้จักเยอะ แต่ปีนั้นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เป็นปีที่มีแต่ตัวเต็ง รวมกลับมาประกวด ไม่ว่าจะเป็น “น้องพรฟ้า-ปุณิกา กุลสุนทรรัตน์”, “น้องวีณา-ปวีณา ซิงค์”, “น้องแพรว-แพรววนิต เรืองทอง” แล้วเราได้โอกาสทำให้ “น้องอแมนด้า ชาลิสา ออบดัม” ที่เป็นอีกหนึ่งตัวเต็ง พอเราทำชุดออกมาแล้วบังเอิญว่ามันเข้ากับคาแรคเตอร์ของน้อง และเขาสามารถทำตามความฝันเขาได้โดยการได้เป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ คนก็เลยรู้จักเราผ่านเขาที่ใส่ชุดที่เป็นผลงานของเรา
บอกก่อนว่าจริงๆ แล้วจะไม่ได้ทำให้อแมนด้า ตอนนั้นเรามีโจทย์ที่จะต้องทำให้นางงามอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวเต็งเหมือนกัน แต่ว่าด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เราไม่ได้ร่วมงานกัน เราเองเราทำชุดราตรีเพื่อนางงามเป็นงานอดิเรก เป็นงานที่ชอบ เป็นสิ่งที่อยากทำเป็นงานศิลปะ ไม่ได้ทำเพื่อเป็นอาชีพหลัก เรื่องของเรื่องปีนั้น (2020) มีการประกวดหา Best Designer ซึ่งพอใครได้เขาก็จะเอาไปหา Best Evening Gown เพื่อส่งไปที่มิสยูนิเวิร์สใหญ่ เราก็เลยรู้สึกว่ามันท้าทายนะ บวกกับอยากทำพอดี ก็เลยมานั่งหาว่าเราจะทำให้ใครดี คราวนี้เราได้ยินเขาพูดกันว่าจะมี “ทารีน่า โบเทส” ลงประกวด เราก็เลยโทรไปถามทีมภูเก็ตว่าน้องทารีน่าจะลงไหม ทีมตอบกลับมาว่าทารีน่ายังไม่ลง แต่ว่ามีอแมนด้า ออบดัม นะ สนใจไหมที่จะทำ ก็เลยได้ทำอแมนด้า ออบดัมครับ
พอเราได้ทำอแมนด้า มันก็จะมีความกดดันมากกว่าปกติ เพราะว่าอย่างที่บอกมันเป็นปีที่ซูเปอร์สตาร์มารวมกัน แล้วไหนจะดีไซเนอร์ที่ตั้งใจมาเจอกัน อย่าง “พี่อัน Unkuniya” , “พี่บิ๊ก Valentier” , “พี่เอส Privé” ทุกคนเก่งหมดเลย แล้วพอเรารู้ว่าโจทย์เป็นอย่างนี้มันเลยยิ่งกดดันมาก ก็เลยตั้งใจมากกับชุดนี้ บวกกับว่าอแมนด้าเขาประกวดมาหลายเวทีแล้ว แล้วเวทีนี้เป็นเวทีทิ้งท้ายของเขาเพราะอายุใกล้เคียงกับลิมิตการประกวด เราเลยยิ่งรู้สึกว่าจะพลาดไม่ได้กับเรื่องชุด ก็เลยตั้งใจมากๆ
แล้วพอถึงวันจริงที่อแมนด้าเดินออกมาในชุดสีแดง Anatomy Dress วินาทีนั้นคือเราขึ้นสเตตัสในเฟซบุ๊กเลยว่า อุ้ย สะใจมาก ตอนเห็นชุดตัวเอง แล้วโชคดีที่บังเอิญว่าชุดมันไปถูกจริตกับแฟนนางงาม กับผู้คนที่มองเห็น เขาพูดถึงชุดเนื่องด้วยชุดสวย ไม่ได้ชุดนี้สวยโดดเด่นมาจากคนที่ได้มงกุฎใส่ มันก็เลยรู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราก็ใช้ได้นะ ในการวางเกม การดีไซน์ชุดขึ้นมา อันนี้แหละครับเป็นความรู้สึกที่เห็นตอนที่เขาเดินออกมา ส่วนเหตุผลที่เลือกสีแดง เพราะเป็นมติที่ความเห็นตรงกันหมดทั้งตัวทีมพี่เลี้ยงและตัวอแมนด้าเอง โจทย์ต่อมาคือเราจะทำสีแดงยังไงให้ไม่เป็นแดงทั่วไป ก็เลยเกิดเป็นการไล่สีของอนาโตมีของคนขึ้นมา
ความท้าทายการทำชุดราตรีเพื่อนางงาม
โอ๊ต : ความท้าทาย ความยากมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ทุกชุดทุกงานมันมีความยากแตกต่างกัน คาแรกเตอร์นางงามก็แตกต่างกัน ความยากต่อมาคือแล้วเราจะทำยังไงให้ไม่เป็นภาพซ้ำกับคนที่เราเคยทำมา นี่คือความยากที่แท้จริง อีกอย่างก็คือเทคนิคมันจะต้องมีอะไรว้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องหนีจากของเดิมประมาณ 80% อันนี้คือความยากครับ
ฝันที่เกินฝัน จากชุดในรอบ “MUT” สู่เวทีแม่ “MU”
ความภูมิใจในฐานะห้องเสื้อเล็กๆ
“ชุด Andaman Dress” สีน้ำเงินลายทะเล มันเป็นเวทีที่ใหญ่และเกินฝันมากนะ ของดีไซเนอร์ที่เราเคยนั่งดูอยู่ตอนที่ประกวดมิสยูนิเวิร์สปีเก่าๆ เพราะฝีมือระดับประเทศทั้งนั้น ทั้ง พี่เอส Privé , พี่บิ๊ก Valentier, พี่อัน Unkuniya แต่ละท่านเนี่ยเก่งมากๆ เกินฝันครับแล้วไม่คิดด้วยว่าจะเป็นเรา เพราะว่าแต่ละท่านที่เคยผ่านเวทีมา ก็จะเป็นแบรนด์ดังๆ ทั้งนั้นเลย “พี่หมู ASAVA” ซึ่งเรามองพี่หมูเป็นแบบอย่างมาก “พี่โจ้ Surface” , “Amore” มีหลายแบรนด์ เรารู้สึกว่าชุดเหล่านี้เป็นการตั้งตารอของเราในสมัยที่เรายังเด็ก ยังเรียนแฟชั่นดีไซเนอร์อยู่ ว่าปีนี้ตัวแทนไทยจะใส่ชุดไหน มีแรงบันดาลใจมาจากอะไร แล้วทุกๆ ปีอาจจะมีคนชื่นชอบบ้าง ไม่ชื่นชอบบ้าง
แต่ในสายตาของเรา เรามีความรู้สึกว่ามันเป็นมุมมอง ความสวยของคนเรามันไม่เหมือนกัน แต่อย่างโอ๊ตมองโอ้โหแต่ละท่านเก่งๆ ทั้งนั้นเลย มีความคิดมีแนวทางที่ชัดเจนมาก พอถึงตัวเราขึ้นมา ที่เราจะได้เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการเป็นดีไซเนอร์ที่ทำชุดไปขึ้นเวทีโลกระดับนี้ก็รู้สึกเป็นเกียรติมาก ก็ร้องไห้ตอนที่เห็นแมนด้าเดินออกมา มันกดดันหลายๆ อย่าง แต่ก็เป็นการร้องไห้แบบแฮปปี้
เอกลักษณ์ความเป็น “โอ๊ต กูตูร์”
โอ๊ต : จุดเด่นของโอ๊ต กูตูร์ คืองานปัก งานฝีมือ โชคดีที่เรามีทีมงานทุกฝ่ายดี ไม่ว่าจะเป็นช่างเย็บ ช่างปัก หรือว่าผู้ช่วยดีไซเนอร์ ช่างเทคนิค จะไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ใจเย็นและยินดีที่จะแก้ไข และการเล่นสี เรายอมรับว่าการเล่นสีของเราก็ค่อนข้างชัดเจนครับ เคยมีแฟนคลับของนางงามพูดว่า ถ้าเขารู้ว่าชุดโอ๊ต กูตูร์ ใครจะใส่ มันเหมือนเป็นการเฝ้ารอว่าจะทำอะไรมานำเสนอให้น้องๆ ดีไซเนอร์ได้เป็นแรงบันดาลใจได้บ้าง
บัดเจ็ตในการทำชุดแต่ละชุด
โอ๊ต : สำหรับบัดเจ็ตเนี่ย บอกตามตรงเลยว่าแทบจะไม่ได้คิดเป็นเม็ดเงิน เพราะอย่างที่บอกเราทำมันเป็นงานอดิเรก เราไม่ได้ทำแล้วคนนี้ๆ ต้องมาจ่าย เป็นการทำที่คุยกันแล้วเราแฮปปี้ ยินดีจะทำ เขาก็ต้องยินดีให้เราทำด้วย แต่ว่าเคยมานั่งคิดดูเล่นๆเหมือนกัน ว่าแต่ละชุดต้นทุนวัตถุดิบเท่าไร ส่วนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่น เฉพาะต้นทุนวัตถุดิบนะครับ ไม่รวมค่าแรง บางชุดก็อาจจะสูงกว่านี้ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบด้วยว่าจะใช้อะไรทำ ส่วนชุดที่ประกวดจบแล้วก็จะกลับมาอยู่ที่นี่ที่ร้านเราเหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอกว่าเราทำเพราะอยากทำจริงๆ กลับมานี่ก็เอาไว้ดูเป็นเหมือนงานศิลปะครับ
ธุรกิจชุดราตรีกับเวที “นางงาม” ความยืนยาวและการแข่งขัน ในมุมมองของ “โอ๊ต กูตูร์“
โอ๊ต : จากมุมมองของโอ๊ตนะครับ โอ๊ตทำชุดแต่งงานเป็นอาชีพหลัก แต่ชุดนางงามเนี่ยเราจะบอกอยู่เสมอว่าเราไม่ได้รับตัดทุกคน ในขณะเดียวกันที่เราบอกว่าเราไม่ได้รับทำ ก็จะมีคนมาให้เราทำแบบยินดีจะจ่ายเงินเยอะมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเกือบๆ 50% เลยนะ เพราะว่าเขาอาจจะเชื่อในคนไทย ในงานฝีมือคนไทยด้วย ถ้าถามว่ามองว่าธุรกิจนี้จะไปได้ไกลไหม ส่วนตัวคิดว่าน่าจะไปได้ดีมาก เพราะว่าอย่างเช่นห้องเสื้อที่รู้จักกันที่ทำเป็นชุดราตรีอย่างเดียว เขาก็มีลูกค้าเยอะมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ คือคนไทยเก่งมากในเรื่องงานฝีมือ
การแข่งขันในวงการนี้ โอ๊ตอาจจะโชคดีที่เจอคนรอบข้างไม่มีนอกมีใน ไม่แข่งขันกัน การแข่งขันมุมมองของโอ๊ต น่าจะเป็นเรื่องการหาคาแรกเตอร์ หาสไตล์ยังไงให้มันตอบโจทย์เจ้าของเวทีนั้นๆ ถ้าใครหาได้เร็วแล้วก็ปรับปรุงตัวเองให้เร็ว ให้เข้ากับบริบทของเวที ก็จะถึงเส้นชัยก่อน
คุณค่าและความสำเร็จของ “โอ๊ต กูตูร์” ในวันนี้
โอ๊ต : ในมุมมองของโอ๊ตคือความพึงพอใจและความสุข พออยู่ในช่วงหนึ่งที่เราสามารถเลือกได้ว่าอันนี้เราจะทำเป็นงานอดิเรก อันนี้เราจะทำเพื่อความสุข พอมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่เราทำได้ มุมมองของเราคือมันให้ความสุข ช่างที่ร้านก็แฮปปี้เวลาที่น้องนางงามมาฟิตติ้งแล้วใส่สวย ซึ่งมันใกล้เคียงกับอาชีพหลักของเราคือทำชุดแต่งงาน นางงามก็เป็นโอกาสพิเศษของชีวิตเขา มันได้ฟีลลิงเหมือนกันเลย เลยมองว่าอันนี้มันให้ความสุขกับเราได้
ความสำเร็จของโอ๊ต กูตูร์ ถ้าถามว่า ณ วันนี้สำเร็จแล้วหรือยัง ไม่ทราบแต่พอใจแล้ว พอใจในที่นี้หมายความว่า เราสามารถพยุงร้านผ่านวิกฤตต่างๆ มาได้โดยที่ไม่ต้องให้พนักงานเราออกไปพักผ่อนก่อน คือเราผ่านเรื่องร้ายๆ มาเนอะ ไม่ว่าจะเป็นโควิดเอย หรืออะไรต่างๆ นานา ความสำเร็จตรงนี้ คือการที่เราทำผลงานออกมาแล้วมีลูกค้าชื่นชมเรา มีนางงาม แฟนนางงาม ยังชื่นชมและยินดีต้อนรับเราเวลาที่เราจะนำเสนองาน
โอเคบางคนอาจจะมองว่าเราอาจจะต้องไปอยู่ในแฟชั่นวีคต่างๆ หรืออาจจะต้องมียอดขายหรือมีช็อปใหญ่ๆ อันนั้นก็เป็นอีกความสำเร็จนึง คือความสำเร็จของคนเราจะไม่เท่ากันเนอะ แต่สำหรับของพี่โอ๊ต พี่โอ๊ตอยู่ได้โดยที่แฮปปี้แบบนี้ ไม่ต้องมานั่งเครียดว่าเราจะต้องหาทางไหนมาทางไหน หรือเราจะต้องไปดิ้นรนหาลูกค้ามาจากทางไหน อันนี้คือความสำเร็จ เพราะตอนนี้ลูกค้าก็เอ็นดูเรา แฟนนางงามก็เอ็นดูเรา ช่างก็ยังอยู่แฮปปี้ สบาย อันนี้คือความภูมิใจและถือว่าเป็นความสำเร็จครับ
ตอนนี้โอ๊ตก็อย่างที่บอกนะครับโอ๊ตเป็นไดเรกเตอร์ของห้องเสื้อโอ๊ต กูตูร์ อยู่ หลักๆ เราทำชุดแต่งงานเฉพาะเจ้าสาวนะครับ ไม่มีชุดเจ้าบ่าว ก็ฝากผลงานด้วย แล้วก็ฝากผลงานอีกด้านหนึ่งก็คือชุดเพื่อนางงามนะครับ เราก็ยังยินดีที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดว่ามีนางงามยังเอ็นดูร้านเราอยู่ ยังให้โอกาสร้านเราอยู่ มีผู้ใหญ่ใจดีที่ให้โอกาสเราอยู่ เราก็จะทำงานศิลปะอันนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงก็ฝากผลงานด้วยนะครับจะตั้งใจทำให้เต็มที่ ถ้าเกิดว่ามีข้อติชมหรือว่าอยากจะเสนอแนะอะไรให้เรา ก็สามารถแจ้งได้นะครับ ยังไงก็ถือว่าช่วยเหลือกันเพื่อให้มาตรฐานนางงามไทยก้าวไปสู่ในระดับสากลนะครับผม