จากสถานการณ์ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และสุขภาพประชาชน ทำให้หลายโรงเรียนต้องประกาศหยุดเรียน และหลายคนเกิดการเจ็บป่วยที่มาจากฝุ่น ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
เชื่อมโยงกับ ปัจจุบันที่ประชากรโลกกำลังเสพติดน้ำตาลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยข้อมูลระบุว่ามีการบริโภคน้ำตาลทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4 เท่าในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนว่าของหวานๆ ที่เติมเข้าสู่ร่างกายนั้นจะช่วยให้พลังงานที่กระปรี้กระเร่าแก่เรา แต่อันที่จริงแล้วพวกมันมีแต่ “แคลอรี่ที่ว่างเปล่า”

เพราะน้ำตาลที่เราบริโภคนั้นเป็นน้ำตาลที่ขาดสารอาหาร เช่น วิตามิน หรือ ไฟเบอร์ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมหาศาล จนเกิดเป็นโรคอ้วนที่เป็นกันทั่วโลก ด้วยสาเหตุนี้ทำให้องค์กรด้านสุขภาพทั่วโลกต่างรณรงค์ให้ผู้คน ‘กินหวานน้อย’ กันมากขึ้น
ซึ่งการลดการบริโภคน้ำตาลนอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นอีกด้วย เนื่องจากน้ำตาลเหล่านั้นต้องใช้พื้นที่มหาศาลในการปลูก ที่ทำให้ระบบนิเวศเสียหาย สัตว์สูญเสียที่อยู่อาศัย และทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง อีกทั้งยังสร้างมลพิษจากปุ๋ยและโรงงานผลิตน้ำตาลจำนวนมาก
เนื่องจาก “การเผาอ้อย” เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศหลักที่พบได้ทั่วไป เป็นสาเหตุ ก่อให้เกิดสารมลพิษทางอากาศ ได้แก่ ก๊าซต่างๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ เช่น คาร์บอน มอนนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์สารอินทรีย์ระเหย รวมทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM-10) เถ้าควัน และเขม่า

ซึ่งล้วนแต่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของ ประชาชน หรือปัญหาเหตุรำคาญในชุมชนใกล้เคียงแล้ว ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เพิ่ม ก๊าซคาร์บอนไดออไซด์ และก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ที่ทำให้เกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงของอากาศ อันทำให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อนตามมาในที่สุด นอกจากนี้ผลกระทบ จากการเผาอ้อยที่เห็นได้ชัดเจน คือ เขม่าควันที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนปลายและสะสมในถุงลมปอด ทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
ดังนั้นการโฟกัสที่ต้นเหตุจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะ “ยิ่งการบริโภคน้ำตาลมากขึ้นเท่าไหร่ กำลังการผลิตน้ำตาลก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น”
และเพื่อเป็นการทานหวานอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกรับประทาน “หญ้าหวาน” จึงเป็นอีกทางออกของ “สายหวานรักษ์โลก” เพราะกระบวนการผลิตหญ้าหวาน ปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์น้อยกว่า “น้ำตาลทราย” 29%, น้อยกว่าน้ำตาลหัวบีท 55% และน้อยกว่าน้ำเชื่อมข้าวโพด 79% เมื่อเทียบการผลิตหญ้าหวานกับกับอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลทราย มีการประเมินพบว่า การใช้หญ้าหวานแทนน้ำตาลทราย อาจลดการใช้ที่ดินการเกษตร และการใช้น้ำในวงจรอุตสาหกรรมได้มากกว่า

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสารให้ความหวานจาก “หญ้าหวาน” จะมีประโยชน์มากมายแค่ไหน แต่เราก็ควรเลือกบริโภคอย่างพอดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ในเรื่องการลดระดับน้ำตาลในเลือด และไม่ก่อให้เกิดผลเสียอื่นๆ ตามมา




อุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลถือว่าเป็นอุตสาหกรรมใหญ่เกี่ยวพันกับชีวิต ความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อม การพิจารณาเรื่องของการเผาอ้อย จึงควรพิจารณาทุกรูปแบบทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และการตลาด การรณรงค์เพื่อลดปริมาณการเผาอ้อยต้องใช้เวลาและให้ความรู้ที่ถูกต้อง และต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ต้องมีการร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร