FEED ผู้ผลิตคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ภายใต้เครือมติชน จัดงานใหญ่แห่งปี “FEED RETRO Music •Talk • Food • Book • Trip #90sไม่นานมานี้ ภายใต้ธีม #90sไม่นานมานี้ ตั้งแต่วันที่ 24-26 พฤศจิกายนนี้
บรรยากาศวันสุดท้าย (26 พ.ย.66) เวลา 16.00 น. พบกับกิจกรรม Talk ในสวน ร่วมพูดคุยกับไอคอนิกแห่งยุค 90s “ทราย อินทิรา เจริญปุระ” ผู้มีประสบการณ์ที่หลากหลายในวงการบันเทิงไทย ตลอด 3 ทศวรรษ ในหัวข้อ “อุตสาหกรรมบันเทิง หนัง ละคร ในยุค 90”
เส้นทางการเป็นนักแสดงละคร ?
ทราย : ในยุคนั้นนักแสดงเด็กจะเด็กไปเลย และอีกทีก็จะโตๆ ไปเลย 18-19 ปี วัย 13-14 ไม่ค่อยมีในวงการ แล้วก็ส่วนใหญ่มาจากโมเดลลิ่งพ่อไม่เคยพาไปทำงาน แต่ถ้าพ่อถ่ายหนังต้องไปอยู่แล้ว ในวงการรับรู้ว่าพ่อมีลูกอีกเจน ช่วงนั้นพ่อถ่ายละครเอ็กแซ็กท์ ทางเอ็กแซ็กท์มีโปรเจกต์อยากได้นักแสดงที่เป็นลูกในวัยจริงๆ ต้องปั้นนักแสดงใหม่ หนึ่งคือโดนข่มขืน ยุคนั้นยังมีเซ็นเซอร์ พอพ่อไปกองถ่าย ทีมงานก็มาแบบให้ลูกมาแคสต์สิ พ่อก็ไม่ปฏิเสธ พ่อไม่อยากให้ลูกเข้าวงการ อยากให้ไปเรียนมากกว่า ตอนนั้นเด็กมาก อีกอย่างที่พ่อกังวลเราไม่มีแววการแสดงเลย เราไม่อะไรกับใครทั้งสิ้น แล้วพ่อมาพูดว่าไปแล้วเสียเวลา แต่เวลาพ่อไปกองถ่ายพ่อจะมาเล่าให้ฟัง ว่ามีคนชวนไปแคสต์แต่พ่อปฏิเสธไปให้แล้ว เราก็แบบแค่ลองไม่ใช่ว่าจะได้เล่น สุดท้ายไปแคสต์และได้แสดง จำได้ว่าคิวแรกๆ ที่ไปถ่าย พี่นก สินจัย พูดว่ายินดีต้อนรับนะลูก จากนี้หนูจะไม่ได้สดใสอีกแล้ว คือพี่นกเล่นอะไรโหดๆ แล้วจะต้องได้เล่นดราม่าอะไรหนักๆ ตลอดเวลา เพราะคนจำไปแล้ว ซึ่งทรายก็เดินไปเส้นทางนั้นแล้ว แล้วทุกครั้งที่คิดว่าหนักแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่หนักกว่า
จากละครสู่ภาพยนตร์
ทราย : ช่วงนั้นหนังไทยมันซบเซามากๆ เป็นช่วงตัดสินชะตากรรมของทรายอยู่เหมือนกัน คือเราเข้ามาตอน 13-14 ปี แล้วก็ไม่ได้มาในบทสดใส หน้าตาก็ไม่ใช่ไทป์ที่นิยมของในยุค มันจะมีช่วงนึงที่เขาฮิตช่วงลูกครึ่งฝรั่ง มันไม่มีบทอะไรให้เล่น ถ้าอยากได้บทวัยรุ่นน่ารัก เขาสามารถไปหาคนอื่นได้ วันนึงแคสติ้งโทรมาอยากให้ทรายมาแคสหนังนางนาค ตอนนั้นเขาแคสนางนาคเยอะมากๆ เราก็มีภาพจำว่าแม่นาคที่เราเคยดูคือจะสวยๆ เป็นผู้หญิงที่เต็มสาวแล้ว สวยเลย คือมันต้องตัดผมสั้นมาก แล้วตอนนั้นไปมหาลัยแล้วไม่มีเพื่อนคุยด้วย เพราะทุกคนไม่มั่นใจว่าเป็นบ้าหรือเปล่า หรืออะไร หรือยังไง คือยุคนี้เห็นผู้หญิงตัดผมสั้นมันไม่แปลก แต่ในยุคนั้นไม่ใช่แบบนั้น
ในมุมนักแสดงคิดว่าปัจจัยที่ทำให้นางนากประสบความสำเร็จคืออะไร
ทราย : มันใหม่มากในตอนนั้น คืออย่างที่บอกก่อนหน้าที่เป็นเวอร์ชันที่เราเล่นคือ 20 กว่าครั้ง มันทันคนทุกรุ่น มันดักคนมาแล้วทุกรุ่น ตอนเด็กๆ ทรายยังไปดูหนังกลางแปลงหน้าวัดกับตายาย ทรายยังทันดู ทุกคนมีภาพจำในแบบของตัวเอง แล้วอยู่ๆ มันก็มาเป็นอันนี้ ซึ่งมันแปลกมากๆ มันน่าจะเป็นรสชาติที่ใหม่จริงๆ อย่างผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกว่ามันจริง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า ทรายว่าอย่างหนึ่งหนังผีที่มันน่ากลัว มันจะน่ากลัวแล้วก็แล้วกัน เราก็จะได้ไปบอกต่อเพื่อนว่ามึงมันแว๊อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอมันเป็นโมเมนต์ที่ซึ้ง มันจะอยู่ในใจเหมือนกันนะ พวกซีนร่ำลา หรือว่าอะไรหลายๆ อย่าง คือล่าสุดทรายไปดูสัปเหร่อ เราก็ซาบซึ้งมันดีนะทีมไทบ้านเขาเก่งจัง แล้วก็เพิ่งมาได้รู้เบื้องหลังว่าคุณปรีชา ที่แต่งเพลงยื้อ เพลงประกอบสัปเหร่อ เขาเอาไอเดียมาจากฉากร่ำลาของนางนาก กับพ่อมาก ในนางนาคเวอร์ชันนี้ ซึ่งมันส่งผลอะไรบางอย่างที่ติดอยู่ในใจคนเหมือนกัน ความซาบซึ้งความรู้สึกว่าความรักมันเอาชนะอะไรอย่างนี้ได้ ทรายว่าลึกๆ มันอยู่ในใจพวกเราแหละเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องพิเศษ
ภาพจำ “ทราย เจริญปุระ” ในฐานะนางนาก
ทราย : มันเป็นการขยับอะไรบางอย่างทั้งอาชีพของตัวเองด้วยค่ะ แล้วก็ละครพีเรียดอยู่ๆ มันก็เยอะขึ้น เป็นโมเมนต์ที่ทรายรอคอยมากนี้เวลาของคนหน้าไทยอย่างเรามาถึงแล้ว มาแล้วเว้ย พีเรียดมาดิ ลูกครึ่งหลบ แล้วอีกอย่างนึงคือเราโตเป็นสาวพอที่จะเล่นเป็นนางเอกในวัยสาวได้ ไม่ว่าจะเป็นดราม่าหรืออะไรก็ตาม คนก็จะรู้แล้วว่าเราเล่นหนังได้แน่ๆ เป็นใบเบิกทางเลยแหละ คือช่วงนั้นละครช่อง 7 มันเป็นละครที่ถ่ายไปออนแอร์ไป เพราะฉะนั้นเราจะไม่เคยได้ดูอะไรเลยว่าเราเล่นอะไรไปบ้าง รู้อีกทีคือละครจบแล้ว เพราะว่าวันนี้ถ่ายจบ คืนนี้ก็ได้ดูแล้วเป็นแบบนั้น จริงๆ ก็เป็นเอกลักษณ์นึงของยุค 90 ของช่อง 7 คือถ่ายไปออนไป
เสน่ห์ของหนังผีไทยคืออะไร
ทราย : ผีไทยน่ากลัวนะ ทรายว่าคนไทยเป็นคนที่มีจินตนาการมากๆ ไม่เฉพาะผู้สร้างนะคะ คนดูด้วย คนดูจะรี่ตาถูกทุกครั้งเวลาผีจะออก น่าจะเป็นลักษณะร่วมของความเอเชียที่ผีมันมีความเฉพาะตัวมากๆ คือฝรั่งก็ยังซื้อไปรีเมค ลักษณะร่วมทำให้คนเข้าใจไม่ยากเก็ทได้ไม่ยากแล้วก็อย่างที่บอกว่า จินตนาการในเรื่องของการหลอกลวงตัวเองของพวกเรามันไม่แพ้ใคร คืออันนี้ผู้สร้างหนังผีชาวไทยชนะเลิศมาก ทรายเคยเล่นซีรีส์ที่เป็นเรื่องผีตอนนั้นเหมือนจะมีทุนจีนเข้ามาร่วมสร้าง แต่ว่าชาวจีนก็จะไม่เข้าใจว่าผีบรรพบุรุษคือของเขาแก็ปมันหายไปช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม บทก็ต้องแก้ไปว่าคำสาป แต่ว่าเราคนไทยเข้าใจคำว่าคำสาปบรรพบุรุษเราเข้าใจ ผีปู่ ย่า สร้างศาลกันอะไรอย่างนี้ แต่ว่าชาวจีนจะไม่เก็ท มันเลยมีความต่างตรงนี้อยู่ค่ะความเชื่อมโยงอะไรอย่างนี้อยู่เหมือนกัน
พาร์ทของการเป็นนักร้อง
ทราย : มันเหมือนเป็นการกดสูตรของยุคนั้น ถ้าเล่นหนังต้องออกเทป ใครๆ ก็ออกเทปตอนนั้นอ่ะ อย่างทุกวันนี้ทรายเจอพี่เอ็ม สุรศักดิ์ ก็ยังขำกันอยู่ พวกเรานี่นะออกเทป ชอบไม่ชอบ มันเป็นอีกเรื่องนึงไปเลย มันเหมือนทำแล้วต้องทำให้ครบ เหมือนต้องติ๊กถูกให้ครบทุกช่อง เขาไปช่วงไล่ๆ กับทาทา คือทาทา ประกวดมาก่อนแล้วมันก็เป็นเหมือนว่าอายุ 14 ร้องเพลงรักคนจะเชื่อเหรอมันเด็กมาก แต่จะไปร้องเพลงเด็กก็ไม่ได้ แล้วตอนนั้นทรายก็ไม่ได้ขายพลังเสียงคือไม่ได้ร้องเพลงได้ดีขนาดทาทา ซึ่งอันนั้นเขาก็ร้องเพลงดีมาก เราทำไม่ได้ไม่มีทางสู้ได้ แล้วก็ไม่มีความพยายามต้องบอกแบบนี้ เรารู้ว่ามันไม่ใช่แนวของเรา พอออกมาเป็นเนื้อเพลงแบบนี้ใสใส น่ารัก ทรายก็แบบพี่มันก็เด็กไปคือหนูก็เด็กแหละ แต่หนูก็ไม่ได้เด็กขนาดจะไม่รู้ว่าผู้ชายมาส่งทุกวันมันต้องการอะไร เขาก็แบบเราเด็กอย่างนี้ถูกแล้ว เราก็แบบได้เหรอ สุดท้ายก็ออกมาก็ยังเป็นที่ล้อเลียนในหมู่เพื่อนฝูงว่าแบบอันนี้จุดด่างในชีวิตทราย เพราะไม่เข้ากับนิสัยเลย ทรายชอบการเป็นนักแสดงมากกว่า มันสตอรี่แบบเยอะมากทำอัลบั้มแรกใช่ไหม เหนื่อยใจเหลือเกิน เวลาไป 7 สีคอนเสิร์ตก็ไม่อยากร้อง ไปซ้อมเต้นก็ไม่อยากเต้น มันไม่สนุกเหมือนเวลาไปกอง แล้วก็บอกเขาว่าไม่ชอบ แล้วก็เลยยกเลิกสัญญากับแกรมมี่ จะเป็นชาวร็อคคือถ้าได้เป็นชาวร็อคต้องโตกว่านี้ อย่างน้อยก็พูดตรงไปตรงมามากขึ้น ก็ไปทำเพลงกับ ONPA อัลบั้มนั้นก็จะมีพ่อมด ก็บอกแล้วว่าทำเพลงร็อคได้ แกรมมี่ก็เรียกกลับมาอีกรอบนึง พออัลบั้มที่สามทำแล้วก็ได้รางวัลศิลปินร็อคหญิงยอดเยี่ยม
ซีรีส์วาย ผ่านมุมมองนักแสดงในยุค 90
ทราย : บทบาทของอัตลักษณ์ที่ไม่ตรงเพศในยุคนั้นมันจะถูกจำกัด ถ้าไม่เป็นตัวร้าย ก็เป็นตัวฮา มันจะไม่มีเส้นความเป็นมนุษย์ เป็นชีวิตอะไรจริงจังกับพวกเขา แต่ว่ายุคนี้ความลื่นไหลหรือความ Open มันมาก แล้วก็เขามีลักษณะในการเวลาทำงานก็จะมีลักษณะเฉพาะ มีจังหวะเฉพาะบางอย่าง มีจังหวะเฉพาะบางอย่างปกติเราเล่น สมมติเล่นเป็นลูกเราจะไปกอดไปหอมไปจับหัวก็ปกติ แต่อันนี้ไม่ได้อันนี้อย่าเพิ่งโดนตัว พี่ทรายอย่าเพิ่งโดนตัวน้องเราจะเก็บการโดนตัวน้องไว้ขยี้ในอีกอีพีต่อไป คือเขามีกราฟของเขาจริงๆ ซึ่งเปิดโลกมากๆ เหมือนกัน ทรายชอบมาก สนุก แล้วก็วิธีการทำงานหรือว่าวิธีสื่อสารของคนในกองคือตอนที่คนในกอง ส่วนใหญ่ 80-90 เปอร์เซ็นต์ คือเด็กกว่าเราหมด ทั้งที่เราก็เพิ่ง 40 ต้นเอง แต่เขาก็เด็กกว่าเรากันหมดแล้วมันคนละอย่างกับตอนเด็กๆ ที่ทรายไปแล้วทุกคนโตกว่าเราหมดเลย
ยุค 90 ส่งผลให้เราเป็นยังไงบ้างในวันนี้
ทราย : แน่นอนว่าในยุคของเราที่เราทำงานมันไม่มีคำว่า work life balance ทุกที่ไปทำงาน ไม่ทำก็ไม่ทำ คือมันมีแค่นี้ แล้วเราจะค่อนข้างมีความยืดหยุ่นพอสมควรถ้าพูดถึงงาน ถ้าจะมองในแง่ดีก็คือเป็นคนยืดหยุ่น ใน Gen ของเราทุกวันนี้ยังเป็น Gen ที่ถือว่าเป็นเดอะแบกอยู่ คือเรายังมีความงามให้คิดถึง จนมาในยุคนี้ที่รู้สึกว่าเราเป็นเดอะแบก เพราะว่าเรามันได้ความยืดหยุ่นในการทำงานมาตั้งแต่ตอนเด็ก แต่ในแง่ไม่ดีก็คือว่าน้องจะรู้สึกว่าพี่ทำได้ไงงาน 16 ชั่วโมง มันก็เป็นจุดแข็งว่าเราสามารถเกลี่ยพลังงานในช่วงของการทำงานได้ดีกว่าน้องๆ เพราะว่ายืดหยุ่นมาเยอะ เราทำการเกลี่ยยืดแล้วยืดอีกๆ ในเมื่อเป็นงานที่เรารัก เราก็จะไม่ค่อยรู้สึกเฮิร์ดกับมันมาก