BECKHAM เป็นสารคดีที่ผลิตโดย Netflix มีทั้งหมด 4 ตอนหรือ 4 ep แต่ละตอนยาวประมาณ 70 นาที โดยทั้งหมดนั้นบอกเล่าเรื่องราว ชีวิตของ เดวิด เบ็คแฮม ตั้งแต่วัยเด็ก เติบโต กระทั่งประสบความสำเร็จในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ไปจนถึงการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เดวิด เบ็คแฮม คือไอคอนแห่งยุคสมัย 1990 ความเก่งกาจในการเล่นฟุตบอลอาจถกเถียงกันได้ แต่หากนับกันที่ชื่อเสียง ความโด่งดัง ความเป็นเซเล็ป ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งอยู่ในสปอตไลต์ของสื่อมวลชนทั่วโลกในแต่ละช่วงเวลา (โดยที่ยังไม่ต้องมีโซเชียลมีเดีย) เขาคือเบอร์ต้นๆ ของโลกใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ว่าไปแล้ว เรื่องราวชีวิตของ เดวิด เบ็คแฮม นั้นถูกนำมาเล่า ผลิตซ้ำ ไปแล้วแทบจะทุกรูปแบบ กระนั้นก็ต้องออกตัวชื่นชมทีมผู้ผลิตที่ Netflix เลือกสรรมาให้ดูแลโปรเจ็กต์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟิชเชอร์ สตีเวนส์ (Fisher Stevens) ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ที่ยังอุตส่าห์เรียบเรียงเรื่องราวออกมาได้อย่างสนุก น่าสนใจ มีรสชาติจัดจ้าน แม้บางประเด็นอาจไม่ขุดลงลึกหรือขยี้กันให้สิ้นสงสัยไปเลยก็ตาม
อย่างไรก็ตามต้องเรียนตามความเป็นจริงเสียก่อนว่า สำหรับผู้เขียนแล้ว มี bias ส่วนตัวพอสมควรเนื่องจากเป็นแฟนผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาตั้งแต่ยุค 1980 มีความชื่นชอบในตัว เดวิด เบ็คแฮม มาตั้งแต่เห็นเขาก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นแกนหลักในรุ่นที่เรียกกันว่า Class of 92 ได้อิ่มเอมกับความสำเร็จของเขาและทีมยูไนเต็ด ในทศวรรษที่รุ่งเรืองสูงสุด (ได้ 3 แชมป์ถ้วยสำคัญในปี 1997)
และแม้เมื่อ เดวิด เบ็คแฮม สิ้นสุดความสัมพันธ์กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก้าวออกจากโรงละครแห่งความฝัน ไปเดินตามเส้นทางที่เขาเลือกเอง (สเปน, อเมริกา, อิตาลี) ผู้เขียนก็ยังติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหว และปรารถนาที่จะเห็นเขาใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม มีความสุข
สารคดีเปิดมาในภาพแรกๆ ให้ผู้ชมเซอร์ไพรส์ประมาณหนึ่งกับ เดวิด เบ็คแฮม ในวันนี้ที่ชีวิตดูจะลงตัว เข้าที่เข้าทาง แต่ก็ยังคงดูดี มีเสน่ห์ พูดคุยสนทนาแบบสบายๆ
ตอนแรกหรือ ep แรกให้น้ำหนักกับเส้นทางความเป็นนักฟุตบอล เราจะได้เห็นเจ้าหนูเบ็คแฮม เติบโตขึ้นมาในครอบครัวธรรมดาแต่พ่อของเขาคลั่งไคล้ทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชีวิตจึงมีเป้าหมายตั้งแต่ต้นว่า จะโตไปเป็นนักเตะของยูไนเต็ดให้ได้
แน่นอนว่า การทำประตูด้วยลูกยิงไกลครึ่งสนามใส่ทีมวิมเบอดัน คือภาพจำแห่งการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของเขา ก่อนที่จะเดินชนความสำเร็จ ได้รับการยอมรับจากเพื่อนนักเตะรุ่นเดียวกัน จาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้ปลุกปั้น ประกอบสร้าง เบ็คแฮม ขึ้นมาบนวิถีที่เขาเชื่อ
เมื่อฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม บวกเข้ากับต้นทุนทางด้านหน้าตา บุคลิกภาพ แล้วยังได้ตัวคูณจากแฟนสาว วิคตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวจากวง Spice Girl ที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เดวิด เบ็คแฮม จะกลายเป็นต้นแบบ ในวัฒนธรรมป็อบ ที่สร้างความน่าอิจฉามากเท่าๆ กับสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก
ความยอดเยี่ยมของสารคดีเรื่องนี้ในความเห็นของผู้เขียนอีกด้านหนึ่งก็คือ เล่าเรื่องที่เราคิดว่ารู้ หรืออาจจะเลือนๆ ไปแล้ว ให้กลับมาสว่างกระจ่างชัดอีกครั้งหนึ่ง โดยมีข้อเท็จจริง คำพูดมากมาย จากบุคคลต่างๆ ช่วยให้เรา เข้าใจ เดวิด แบ็คแคม และคนอื่นๆ รอบตัวเขามากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น เจ้านาย,คนรัก,ครอบครัว
ในระหว่างติดตามเรื่องราวในประเด็นต่างๆ เราได้ทบทวนวัฏจักรขึ้นลงตามวงจรชีวิต ปัง-พัง ครั้งแล้วครั้งเล่า จากซีโร่ สู่ ฮีโร่ เกิด รุ่ง ร่วง พลิกฟื้น… ของเดวิด เบ็คแฮม ไม่ว่าจะในสถานะของผู้เล่นที่เก่งและมีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(ขณะเดียวกันก็เป็นเด็กดื้อ ถืออภิสิทธิ์ที่งัดข้อกับ Boss อย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่หยุดหย่อน)
หรือช่วงตกต่ำถึงขีดสุดในฟุตบอลโลก ฟรองซ์ 1998 ซึ่งเบ็คแฮม ในฐานะผู้เล่นทีมชาติอังกฤษ ตัวเต็งแชมป์ในทัวร์นาเมนต์นั้น เสียใบแดง(โง่ๆ) ให้แก่ ดีเอโก้ ซิมิโอเน่ ถูกไล่ออก ท้ายที่สุด อังกฤษแพ้ ตกรอบ และ เบ็คแฮม คือจำเลยที่คนอังกฤษ(อาจรวมถึงแฟนบอลทีมชาติอังกฤษทั่วโลก) รุมประณาม
จนไม่น่าเชื่อว่า เขาต้องอดทนขนาดไหน ถึงสามารถรับมือและผ่านช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดและเลวร้ายนั้น ต่อสู้ด้วยการฝึกฝน พิสูจน์ตัวเอง จนพลักกลับมาเป็นฮีโร่ ผู้ยิงฟรีคิกในนาทีชี้ชะตา พาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบฟุตบอลโลก 2002
อีกจุดหนึ่งที่ชื่นชอบคือการวางสคริปต์ ให้น้ำหนักกับคู่ขัดแย้งในแต่ละกรณี (เบ็คแฮม-เซอร์ อเล็กซ์, เบ็คแฮม-ฟาบิโอ คาเปลโล, เบ็คแฮม-วิคตอเรีย อดัมส์ ฯลฯ) แบบพอดีๆ อย่างน้อยช่วยให้เราได้รู้ข้อมูล ความคิด และเข้าใจเหตุผลของทั้ง 2 ฝ่ายได้ดียิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับการตัดสินใจของเบ็คแฮม ในแต่ละช่วงวิกฤตของชีวิต ฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามในการเข้าร่วมทีม เรอัล มาดริด ในยุครวมดาว “กาลาติกอส” , การตัดสินใจย้ายไปเล่นใน เมเจอร์ ซ็อกเกอร์ลีก ในอเมริกา, ความพยายามที่จะย้ายกลับมาเล่นกับสโมสรในยุโรป (เอซี มิลาน, ปารีส แซงก์แยกแมง)
แต่แง่มุมที่ผมประทับใจที่สุดกลับเป็นเรื่องราวของเขา กับ วิคตอเรีย และครอบครัว ความพยายามประคับประคองชีวิตคู่ท่ามกลางมรสุมทุกๆ ด้านที่รุมเร้าเข้ามา การตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับเบ็คแฮม ผู้ซึ่งฟุตบอลคือชีวิตและจิตวิญญาณของเขา ขณะเดียวกับ ครอบครัว ลูก-เมีย ก็เป็นที่ที่เขารัก หวงแหนและพยายามปกป้องมากที่สุด
เมื่อการเล่าเรื่องบิลด์อารมณ์มาขนาดนี้ มันยิ่งทำให้ซีนสำคัญในวันประกาศเลิกเล่นฟุตบอลของแบ็คแฮม กระทบใจผู้ชมได้ดีเลยทีเดียว
สุดท้าย นอกเหนือไปจากคุณภาพในการเล่าเรื่อง การเรียงลำดับ การเลือกใช้บทสัมภาษณ์ หรือบรรยากาศอันเปี่ยมอารมณ์ของผู้คนในแต่ละสถานการณ์แล้ว ความขยันในการค้น-รวบรวมฟุตเทจข่าวจากแหล่งต่างๆ ก็ช่วยทำให้ภาพยนตร์สารคดี BECKHAM มีคุณค่าและความสมบูรณ์มากขึ้น
มั่นใจว่า ถ้าเป็นติ่งหรือแฟนของ เบ็คแฮม และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูแล้วจะฟิน ดูแล้วจะใจฟู รวมถึงนับถือผู้ชายที่ชื่อ BECKHAM มากขึ้นแน่นอน