“ครั้งแรกที่ได้มาประกวดนางสาวไทยวันแรกเลย ทางกองฯ ก็ติมาว่าหนูเหมือนนางงามเดินสายมากเลย มันจะตรงกับบริบทเวทีไหม จุดนี้นี่แหละค่ะที่มันเหมือนเป็นไฟในตัวหนูให้หนูอยากจะพัฒนาตัวเอง และอยากจะเข้าไปยืนท็อป 5 นางสาวไทยให้ได้”
ความในใจของ “ฟ้า กนกพร พยุงวงษ์” เจ้าของตำแหน่งรองอันดับ 3 ในการประกวดนางสาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2566 ในวันที่เดินทางมาคุยกับ FEED พร้อมเปิดใจถึงเส้นทางตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาประกวดนางสาวไทย จนถึงวันนี้ที่เธอสามารถเข้ามาอยู่ในท็อป 5 ได้อย่างภาคภูมิใจ
“นางสาวไทย” เวทีแห่งความใฝ่ฝัน
ฟ้า กนกพร : เป็นเวทีในฝันจุดสูงสุดในชีวิตเลย ว่าถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตของการประกวดแล้วฉันจะต้องแขวนส้นสูง ขอให้มาจบที่นางสาวไทย หรือว่าต้องมาสักครั้งหนึ่งเพราะว่ามันเป็นเวทีที่หนูรู้สึกว่านี่แหละเวทีของหนู นี่แหละมันตรงกับเรามากๆ
ตัวฟ้าเองเคยประกวดหลายเวทีมากๆ แล้วฟ้ารู้สึกว่าเวทีที่ฟ้าไปมาแต่ละเวที มันยังไม่ตอบโจทย์สำหรับตัวฟ้า แล้วก็มีความใฝ่ฝันว่าสักครั้งหนึ่งเราต้องมายืนบนเวทีนางสาวไทย ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม ต้องมาประกวดสักครั้งหนึ่งให้เราได้รู้ว่าที่นี่เหมาะสำหรับเราจริงๆ ไหม เพราะว่าส่วนตัวฟ้าคิดว่าฟ้าเป็นคนเรียบร้อยคนนึงเลยค่ะ (ยิ้ม) ซึ่งมันตรงกับบริบทเวทีมากๆ ฟ้าก็เลยอยากจะมา บวกกับตัวฟ้าเองได้เรียนการจัดการมรดกวัฒนธรรมมาด้วย ซึ่งปีนี้ทางนางสาวไทยได้จัดคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับด้านวัฒนธรรมจาก Local สู่เลอค่า ฟ้าก็เลยตัดสินใจมาประกวดในปีนี้
ฟ้า กนกพร : ตอนแรกที่ตัดสินใจมา ฟ้ารู้ว่าเวลาฟ้าคาดหวังอะไรสักอย่างฟ้าจะกดดันตัวเองมากๆ การตัดสินใจมาประกวดครั้งนี้ ฟ้าก็เลยแค่ตั้งเป้าว่าเราต้องทำให้เต็มที่มากที่สุดแล้วก็เอาชนะใจตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะฟ้ารู้สึกว่าการที่ฟ้าได้มายืนบนเวทีนางสาวไทยแค่นี้ก็ภาคภูมิใจที่สุดแล้วสำหรับพ่อกับแม่ แล้วก็รวมไปถึงทีมพี่เลี้ยงเรา แต่ว่าการที่ก้าวมาถึงท็อป 5 อันนี้ฟ้าคิดว่ามันคือกำไรชีวิตมากๆ แล้วฟ้าก็รู้สึกว่าสิ่งที่ฟ้าได้ทำมาตลอด 1 เดือน มันไม่ทรยศฟ้าเลย
ฟ้าพกความมั่นใจมาเต็มร้อยแล้วก็พร้อมที่จะปรับตัวทุกๆ วัน เพราะวันแรกที่ได้มานางสาวไทย กองก็ติมาเรื่องเหมือนนางงามเดินสายมากเลย มันจะตรงกับบริบทเวทีไหม ซึ่งหนูก็รู้สึกว่านี่แหละหนูได้พิสูจน์ให้กับกองเห็นแล้ว มันก็เลยเป็นไฟในตัวให้หนู ตอนแรกก็รู้สึกว่าได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกองนางสาวไทยมันก็ดีแล้ว แต่พอกองบอกว่าเธอมีภาพจำแบบนี้นะ เธอต้องปรับบุคลิกภาพนะ หนูก็เลยรู้สึกว่ามันยิ่งเป็นไฟในตัวหนูที่ทำให้หนูอยากจะพัฒนาตัวเอง อยากจะเข้าไปยืนท็อป 5 อยากจะทำให้ทุกคนว่าหนูนี่แหละค่ะพร้อมที่จะมาอยู่ในท็อป 5 นางสาวไทย
เปลี่ยนภาพจำนางงามเดินสาย มาสู่ นางสาวไทย
ฟ้า กนกพร : หนูพยายามจะถามพี่เลี้ยงกองทุกวัน ว่าวันนี้การแต่งหน้าหนูเป็นยังไง โอเคไหม เพราะว่าหลายๆ ลุคที่หนูได้ผ่านมา เราก็ไม่รู้ว่าลุคไหนที่มันตรงกับบริบทเวทีมากที่สุด หนูก็พยายามเปลี่ยนในทุกๆ วัน หนูรู้สึกว่าวันแรกที่หนูเข้ามาก็อีกลุคนึง วันห้องดำก็อีกลุคนึง วันที่เปิดตัวก็อีกลุคนึง จนมาถึงวันพรีลิมกับไฟนอลก็ออกมาเป็นอีกลุคนึง ซึ่งรู้สึกว่าเราได้หาลุคของเราจนเจอ แล้วก็ปรับบุคลิกภาพของเราจนมาอยู่ในจุดนี้ได้ เพราะบางคนอาจจะคิดว่านางงามเดินสาย เดินต๊ะต่อนยอนหรือเปล่า เดินช้าหรือเปล่า แต่หนูได้พิสูจน์แล้วว่า การเป็นนางงามไม่ใช่แค่ว่าภาพจำจะอยู่แบบนั้นตลอดไป แต่การเป็นนางงามคือเราจะทำยังไงให้เราพร้อมที่จะปรับตัวอยู่ในทุกๆ เวที เพราะว่าเราไม่ได้ประกวดเวทีเดียวแล้วจบ แต่เราต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เหมาะกับบริบทเวทีที่เราตัดสินใจไปลงในแต่ละเวทีด้วยค่ะ
มาด้วยแพชชั่น ที่มีความกดดันซ่อนอยู่
ฟ้า กนกพร : ตอนแรกมาไม่ได้กดดันเลยเพราะว่าอยากจะมาสนุก แต่พอเราได้รับฟีดแบคเรื่องของการต้องปรับหน้า ปรับการเดินการพูดให้มันดีขึ้น มันก็เริ่มรู้สึกว่าฉันจะทำยังไงให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน แต่ว่าจะไม่เก็บตรงนั้นมานอยด์ พอวันที่ประกาศผลเราได้ท็อป 5 ฟ้ารู้สึกชนะใจตัวเองมากๆ ที่เราได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดัน และทำให้เราได้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ในวันที่เราได้ขึ้นพรีลิมกับไฟนอล รู้สึกดีใจมากๆ ที่สามารถปรับตัวแล้วก็เอาชนะใจตัวเองได้ค่ะ
ท็อป 5 ความสำเร็จที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว
ฟ้า กนกพร : หนูดีใจมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าก่อนหน้านั้นเราไม่ใช่ตัวเต็งที่จะติดโพลท็อป 5 แล้วก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องได้ที่หนึ่ง แต่เรารู้สึกว่าทำยังไงก็ได้ให้เราได้ไปเดินรอบชุดว่ายน้ำ ให้ได้ ไปเดินรอบชุดราตรี ให้เข้ารอบลึกที่สุด ให้ทุกคนได้เห็นว่าเรานี่แหละพร้อมใช้ เราไม่ได้มีภาพเดียว เราสามารถเปลี่ยนไปได้ทุกลุค ชุดว่ายน้ำฉันก็เผ็ด ชุดราตรีฉันก็หวาน ให้เห็นว่าเราพร้อมใช้ในหลากหลายด้านจริงๆ ค่ะ
สิ่งหนึ่งที่ฟ้าก้าวเข้ามาสู่เวทีนางสาวไทย ฟ้าไม่ได้มองว่าฉันมาประกวดแล้วมันจบไป แต่ฟ้ามองว่าฉันมาประกวดแล้วก็อยากจะเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนทุกคนได้ด้วยค่ะ
อยากจะขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่คอยซัพพอร์ตมาตลอด เพราะรู้สึกว่าถ้าไม่มีท่านก็คงไม่ได้มาถึงจุดนี้ บางทีไปประกวดมันก็มีสมหวังมีผิดหวัง แต่ก็มีพ่อกับแม่นี่แหละค่ะคอยให้กำลังใจ แล้วก็คอยให้การสนับสนุน รวมไปถึงทีมพี่เลี้ยง ที่คอยเทรนไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม การเดิน ทุกๆ อย่างไม่ว่าเราจะผิดหรือถูก เขาก็จะคอยสอนเราตลอด แล้วก็อยากจะขอบคุณ CP นั่นก็คือท่านนายกอุ๊ ที่ให้การสนับสนุนรวมไปถึงผลักดันในทุกๆ ด้าน แล้วก็ซัพพอร์ตเป็นอย่างดีค่ะก็อยากจะขอบคุณทุกคนมากๆ แล้วก็ขอบคุณแม่ปุ้ยแล้วก็ทีม TPNG มากๆ นะคะที่เล็งเห็นศักยภาพในตัวฟ้า เลือกให้ฟ้าได้มาเป็นท็อป 5 นางสาวไทยค่ะ