ในแวดวงนักแสดงซีรีส์ Y ถ้าพูดถึงกระแสคู่จิ้นที่ยังฮอตฮิต และพุ่งไม่หยุด จะขาด เอิร์ท พิรพัฒน์ วัฒนเศรษสิริ และ มิกซ์ สหภาพ วงศ์ราษฎร์ ไปไม่ได้ นับตั้งแต่เปิดตัวมาเป็นคู่จิ้นในซีรีส์เรื่อง นิทานพันดาว ความฮอตฮิตของ 2 หนุ่ม ก็เป็นที่พูดถึงมาตลอด ล่าสุดทั้งคู่กลับมามีผลงานซีรีส์ร่วมกันอีกครั้ง ในเรื่อง “Moonlight Chicken พระจันทร์มันไก่”
FEED ได้จับเข่าคุยกับทั้งสองคน ถึงเส้นทางชีวิต และอนาคตที่วาดฝันไว้ รวมทั้งผลงานซีรีส์เรื่องดังกล่าว
ความรู้สึกที่นำพาชีวิตเข้ามาสู่วงการบันเทิง
เอิร์ท : รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองที่ได้มาทำงานในวงการครับ ได้มาเจอมิกซ์ ได้มาเจอทุกๆ คน ที่อยู่กับเรา แล้วรู้สึกว่าเขาให้ความรักกับเรามาก เรารู้สึกว่าเราภูมิใจที่มีเขาอยู่
มิกซ์ : คล้ายๆ พี่เอิร์ธ คือเราเริ่มมาจากนักศึกษาสัตวแพทย์คนหนึ่ง แล้ววันหนึ่งเราก็เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง มันเหมือนเป็นการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเข้ามาอีกอาชีพหนึ่ง แล้วก็ดีใจที่ได้เจอกับทุกคน เราได้เจอแฟนๆ ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก เราก็ดีใจที่เราได้เจอกับทุกคนครับ ขอบคุณมาก ที่ทุกคนให้ความรักกับเรา
พอใจกับตัวเองขนาดไหน
เอิร์ท : ตอนนี้ (ทำท่าคิด) ถามว่าพอใจไหม ตอบตรงๆ เลยว่ายังไม่พอใจ ผมอยากทำผลงานในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ หนัง ละคร ร้องเพลง ให้มันเขาเรียกว่าอะไร เรียกว่า…
มิกซ์ : คือมันไม่ได้ครบทุกอย่างใช่ปะ
เอิร์ท : อะใช่ มีให้มากขึ้น แล้วก็โชว์ศักยภาพของตัวเองให้คนอื่นได้เห็นมากขึ้นครับ
มิกซ์ : ของมิกซ์จริงๆ ก็แอบคล้ายพี่เอิร์ธคือไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เราไม่ภูมิใจนะ แต่ผมรู้สึกว่ามันยังมีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่ได้ทำ ผมอยากเล่นละครเวที ผมอยากเล่นหนัง ผมอยากเล่นละคร เราอาจจะยังไม่ได้ทำ เรายังมีอีกหลายอย่าง บทบาทพิธีกรอย่างนี้ที่เรายังไม่ได้ทำครอบคลุมทุกอย่าง ถ้ามีโอกาสหรือว่าเรามีความสามารถถึง แล้วคนเห็นโอกาสของเรา เห็นถึงศักยภาพของเรา ก็จะดีใจครับ แล้วก็อยากจะทำมันให้ครบ
ตอนนี้เราประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง
มิกซ์ : ประสบความสำเร็จหรือยัง ตอนนี้นะของมิกซ์ มิกซ์ว่ามิกซ์ประสบความสำเร็จแล้วครับ รู้สึกว่าเราได้เติมเต็มในสิ่งที่เราอยากจะทำ เราได้เติมเต็มในสิ่งที่เราคาดหวังไว้ จริงๆ แล้วมันเป็นความฝันเล็กๆ นะ ตอนเด็กๆ ว่าวันหนึ่งเราอยากจะเล่นละครสักเรื่องหนึ่ง แล้ววันนี้มันมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็พอใจแล้ว คือแบบว่าตอนที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ แม่ผมเคยพูดว่าเนี่ยดูละครแล้วเขาอยากเห็นลูกไปเล่น แล้ววันหนึ่งพอเราได้ทำมันก็แบบแม่ได้เห็นแล้ว ก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้ว
เอิร์ท : ถ้าสำหรับผม ผมคิดว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือเป็นความคาดหวังของตัวเอง ที่เราอยากจะทำโปรเจกต์อื่นต่อ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของร้องเพลง อย่างที่มิกซ์บอก ละครเวที เป็นละครที่เป็นละครจริงๆ ก็รู้สึกว่า อยากจะก้าวไปถึงตรงนั้นให้ได้ แล้วก็จะทำให้ดีที่สุดอันนี้คือความคาดหวังของตัวเองมากกว่า
อุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิต
เอิร์ท : อุปสรรคใหญ่ที่สุดหรือครับ ตัวเองนี่แหละครับ เพราะว่าผมเป็นคนที่ทำอะไรแล้วมันตั้งใจมากๆ ไอ้ความตั้งใจตรงนี้ มันส่งผลต่อเวลาเราแสดงละคร มันจะดูไม่สบายตัวในการเล่น เพราะว่าความตั้งใจของเรามากเกินไป ผมว่าเราต้องผ่อนคลายตัวเองให้มากกว่านี้ อันนี้แหละผมรู้สึกว่าคืออุปสรรคของผมคือตัวเอง
กดดันตัวเอง คาดหวังตัวเองว่าตัวเองต้องเพอร์เฟค ตัวเองต้องเล่นให้ดี ต้องร้องให้ดี ต้องโชว์ให้ดีอะไรแบบนี้ แล้วพอมันไม่ถึงจุดที่ตัวเองคาดหวัง มันก็จะกลับไปคิดที่บ้านว่าทำไมเราถึงไม่ทำแบบนั้นนะ ทำไมเราไม่ทำแบบนู้น ก็พยายามฝึกฝนตัวเอง ให้ตัวเองมีครบทุกด้าน ในฐานะที่เป็นนักแสดง ศิลปิน ในชีวิตเราที่ไม่คิดว่าจะมาเป็นนักแสดง เราก็อยากทำให้มันเต็มที่ พอเรากดดันตัวเอง คาดหวังตัวเองมากเกินไป สิ่งที่โชว์ออกไปให้คนอื่นเห็นมันเลยดูไม่สบายตัว อันนี้คือสิ่งที่ผมกำลังจะพยายามให้มันดีขึ้นอยู่
มิกซ์ : ของผมมันคือความไม่มั่นใจมากกว่า คือจริงๆ แล้วผมเป็นตัวของตัวเองมากๆ เป็นคนที่รู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเองแบบจริงๆ แล้วก็ไม่สามารถนำเสนอเป็นนั่นนู่นนี่ได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมไม่สามารถแก้ได้คือความไม่มั่นใจของตัวเอง ผมเป็นคนที่ถ้าผมไม่มั่นใจอะไรผมจะตัวสั่น ผมจะมือเย็น แล้วผมก็จะแบบนิ่ง อันนี้คือสิ่งที่ผมเป็นทุกครั้งเวลาที่ผมเจออะไรยากๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายละครครั้งแรก วันแรก คิวแรก มันแข็งมันเล่นไม่ได้ มันกดดัน มันไม่มั่นใจในตัวเอง นั่นแหละ จริงๆ เวลาขึ้นคอนเสิร์ต ก็ตัวเย็นทำอะไรไม่ถูก อีเวนต์ครั้งแรก หรือว่าเป็นพิธีกร พอได้ลองทำ ครั้งแรกมันเลยไม่มั่นใจ แต่ครั้งต่อไป เรารู้สึกว่าเราเคยผ่านมาแล้ว แต่ว่าเราก็พยายามที่จะทำให้มันดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วความไม่มั่นใจมันอยู่ในใจเราลึกๆ แหละ แล้วเราก็หวังว่าวันหนึ่งเราจะผ่านมันไปให้ได้ เราจะข้ามพ้นอุปสรรคนี้ไปให้ได้ครับ
ก้าวต่อไปของ เอิร์ท – มิกซ์
เอิร์ท : อันนี้ยังไม่รู้เลยครับ
มิกซ์ : จริง (หัวเราะ) อันนี้คิดไม่ออกอะ พูดตรงๆ
เอิร์ท : ผมรู้สึกว่าการที่เราได้รับโปรเจกต์ ทุกๆ อย่างที่เราได้รับมา เราทำเต็มที่ทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นร้อง เต้น โชว์ หรือว่าเล่นละคร ซีรีส์อะไรแบบนี้ เราทำเต็มที่กับมันทุกอย่าง เราไม่ได้คำนึงถึงว่ามีโปรเจกต์ต่อๆ ไปหรือเปล่า เราแค่โฟกัสตรงหน้าก่อนให้มันดีที่สุดก่อน แล้วเราค่อยมาต่อยอดทีหลัง ค่อยเป็นผลพลอยได้มากกว่าครับ ก็เลยไม่ได้คิดถึงว่าสเต็ปต่อไปต้องเป็นอย่างไร อันนี้ยังไม่ได้คิดถึง อยากให้ผลงานมันเป็นที่พูดถึง แล้วก็เป็นที่จดจำมากกว่า
มิกซ์ : ของผมจริงๆ แล้วคือ ด้วยวัยทำงานของเรามันยังเด็กอยู่ แล้วเราเพิ่งเข้ามาในวงการไม่นาน จริงๆ แล้วทุกวันนี้สเต็ปของผมคือตั้งใจทำงาน ทำงานทุกอย่าง แต่ถ้าถามว่าสเต็ปต่อไปเป็นอย่างไร ผมรู้สึกว่ามันคือการบาลานซ์ระหว่างชีวิตประจำวันกับการทำงานนะ ซึ่งตอนนี้ผมยอมรับว่าผมให้กับงานมากกว่า เรายังไม่ได้ดูแลตัวเองมากขนาดนั้น แต่ว่าถ้าวันหนึ่งเราได้มองไปอีกสเต็ปหนึ่ง เราได้ทำงานในจุดที่เรารู้สึกว่าเราเติมเต็มมัน แล้วเราก็พอใจกับมัน เราก็คงจะหาจุดที่เราจะเติมเต็มกับชีวิตของตัวเราให้มากขึ้นมากกว่า
ภาพสัตวแพทย์ยังคงมีอยู่ไหม
มิกซ์ : มันยังไม่ได้ลบไป แต่ว่าตอนนี้มันมีสองภาพเลยอะ เอ้ย มันมีสามภาพคือเป็นคุณหมอก่อน อย่างที่สองก็คือเป็นนักแสดงต่อไป แต่ว่าอาจจะเป็นบทบาทอื่น อยากลองเล่นอะไรอย่างอื่นบ้างนะ ตัวร้ายหรืออะไรแบบนี้ ที่มันเป็นอีกแบบหนึ่ง อย่างที่ 3 อยากทำธุรกิจ ผมมีธุรกิจที่ผมอยากทำมากๆ คือร้านอาหาร ผมเป็นคนชอบกินอาหาร แล้วผมก็อยากทำร้านอาหารมากๆ แต่ว่าเรายังได้แต่คิด สเต็ปต่อไปเราอาจจะทำก็ได้ครับ
ชีวิตท่ามกลางสปอร์ตไลท์
มิกซ์ : พอเราอยู่ตรงกลางแสงทำให้เราคิดมากขึ้น คนที่เขามองลงมามันมีทุกช่วงวัยเลย ถ้าเด็กมองมาที่เรา เราก็ไม่กล้าทำ เขาเรียกว่าอะไรเราก็ต้องคิดทุกอย่าง ทำทุกอย่างให้มันรอบคอบมากขึ้น บางครั้งเราอาจจะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าบางคนเขาอาจจะคิดก็ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องคิดให้มันรอบคอบ เราต้องคิดเผื่อคนอื่นไม่ใช่แค่ในมุมมองเรา พอโตขึ้นมันเรียนรู้อะไรมากขึ้น ในอดีตเราเป็นเด็กบางครั้งเราก็ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง พอตอนนี้เรามองกลับไป เราเรียนรู้แล้วเราก็จะไม่ทำมันอีก จริงๆ แล้วแฟนคลับทุกคนก็เป็นเหมือนคนที่สอนเราเสมอ เราไปเช็คฟีดแบคตลอดเลยนะ ตอนเราอยู่ตรงกลางแสง เราอยากรู้ว่าบางครั้งเราทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า เราก็ไปดู ไปเรียนรู้ถ้าเกิดมันผิด เราก็ไม่กลับไปทำอีก มันคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันได้มาจากที่ผมเป็นคนในสปอร์ตไลท์ มันเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้อย่างที่พี่เอิร์ธบอก มันทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น และใจดีกับคนอื่นมากขึ้น
เอิร์ธ : สิ่งที่ผมได้หลักๆ เลยคือการที่เราทำงานในสปอร์ตไลท์มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งผมเคยได้ยินคำนี้ว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ขายความเป็นส่วนตัวไปแล้ว แต่ไม่ได้ขายจิตวิญญาณ ผมชอบคำนี้มาก ผมรู้สึกว่าอะไรก็แล้วเราต้องมีข้อแลกเปลี่ยน เราอยู่ในสปอร์ตไลท์เราต้องขายความเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าไม่อยากขายคือจิตวิญญาณตัวเอง เพราะว่าผมรู้สึกว่าผมตัดสินใจมาเป็นนักแสดง เล่นละคร ร้องเพลง สิ่งแรกเลยผมไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง
จาก “นิทานพันดาว” สู่ “พระจันทร์มันไก่” กับผู้กำกับคู่บุญ
เอิร์ธ : พี่ออฟ (นพณัช ชัยวิมล) เป็นผู้กำกับที่มีลายเซ็นต์ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง เพลงที่ใช้ในซีรีส์ แล้วก็เนื้อเรื่องที่ค่อนข้างมีเลเยอร์ มากกว่า 1 มากกว่า 2 จะมี 3 4 5 เป็นแบบบันไดขึ้นไปอะไรแบบนี้ ผมรู้สึกว่าอันนี้คือเสน่ห์ของพี่ออฟ ผมรู้สึกว่าเขาจะทำซีรีส์ที่ไม่ค่อยเหมือนใคร สมมติถ้าเป็นซีรีส์ Y เขาจะทำค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ขยับความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความขัดแย้งมากมายในตัวละครในเรื่องนั่นคือลายเซ็นของพี่ออฟ ตัวผมเองเคยกลัวพี่ออฟตอนนิทานพันดาว ไม่คุยกับพี่ออฟเลยเพราะว่าผมกลัวจะโดนว่า เพราะเรารู้สึกว่าพี่ออฟหน้าเครียดแล้ว เราทำไม่ดีหรือเปล่า พอเวลาคัทซีนเสร็จผมนั่งกับที่เลย ไม่ได้เข้าไปหาพี่ออฟผมกลัวเขาไปพักนึงเลย จนมีครั้งนึงที่เขาส่งข้อความมาว่าในพาร์ทของการทำงานเขาก็เป็นผู้กำกับ แต่นอกเหนือการทำงานเขาก็ยังเป็นพี่เราตลอดเวลา คำนี้ผมร้องไห้ออกมาเลย รู้สึกว่ามันปลดล็อคเราอะไรหลายๆ อย่างในช่วงนั้น เราเครียดด้วยและกดดันกับบทนี้มากบวกกับที่เราคิดว่าเราทำได้ไม่ดี พอเจอคำนี้ไปแล้วรู้สึกว่าเขาก็คือพี่ชายของเรา ที่เขาคอยสนับสนุนเราทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัวเรื่องของงาน เขาไม่มีท่าทีที่จะโกรธเราเลย ผมรู้สึกว่าเขาเป็นผู้กำกับที่สมบูรณ์แบบมาก
มิกซ์ : คล้ายๆ พี่เอิร์ธแหละ ผมรู้สึกว่าพี่ออฟเหมือนไม่ใช่แค่คนที่เราเคารพในฐานะผู้กำกับคนหนึ่งในชีวิตเรา เขาเป็นคนที่สอนหลายๆ อย่างในชีวิต เป็นคนสอนให้ผมเข้ามาในวงการบันเทิง เป็นคนสอนให้ผมได้รู้ว่าละครเป็นอย่างไร การแสดงเป็นอย่างไร เป็นคนที่ให้โอกาสในชีวิตผมเยอะมาก และเบื้องหลังของชีวิตเวลาเรามีเรื่องทุกข์ใจอะไร คนแรกที่เราหัดไปเจอก็คือพี่อ๊อฟ แล้วทุกครั้งที่มีปัญหาเราหันไปคุยกับเขาคนแรก แล้วเขาจะให้คำตอบที่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้แบบ แค่มองแค่มุมเรา มันมองถึงมุมคนอื่นด้วย เขาเป็นคนที่ทำให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น แล้วผมก็ดีใจมากที่ครั้งนี้ผมได้กลับมาทำงานกับเขา เราไม่รู้หรอกว่าครั้งนึงในชีวิตเราจะได้ทำงานกับผู้กำกับคนเดิมอีกกี่ครั้ง แล้วผมรู้สึกว่าครั้งนี้ขอบคุณพี่อ๊อฟที่เลือกผมและพี่เอิร์ธมาเล่นในเรื่องนี้
บทบาทของตัวละครในเรื่อง “Moonlight Chicken พระจันทร์มันไก่” เป็นอย่างไร
เอิร์ท : ผมรับบทเป็นลุงจิมที่ขายข้าวมันไก่ที่อยู่ในชุมชนนอกเมือง ค่อนข้างที่จะชนบทนิดนึงครับ แล้วเป็นคนที่ใจดี แต่เป็นคนที่ปิดกั้นตัวเองในเรื่องของความรัก ในขณะเดียวกันก็มีคนที่พร้อมจะให้ความรักเขาตลอดเวลา แต่ว่าเขาก็ปิดกั้นตลอด
มิกซ์ : ของผมรับบทเป็นเหวิน เป็นคนเข้าไปที่ร้านลุงจิม แล้วก็มีวันไนท์สแตนด์เกิดขึ้น แต่ว่าจริงๆ แล้วมันมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ของวันไนท์สแตนด์นั้น ว่าเรามีความสัมพันธ์กับอีกคนอยู่หรือเปล่า มันมีความคาราคาซังกันอยู่หรือเปล่า แล้ววันนึงผมอยากเริ่มใหม่กับลุงจิม ในตอนที่ผมยังคาราคาซังกับอะไรหลายๆ อย่างอยู่ มันเป็นเรื่องของคนที่อยากหาความรัก หาบ้านให้ตัวเองในมุมของผมนะ มันคือคนที่อยากหาบ้านที่เป็นความสุขของตัวเอง แล้ววันหนึ่งผมไปเจอเขามันเริ่มจากวันไนท์สแตนด์แล้วมันพัฒนาต่อไป ก็อยากให้ทุกคนติดตามดูว่าความสัมพันธ์ของผม ที่มันเริ่มจากวันไนท์สแตนด์มันเป็นอย่างไร ในพาร์ทผมนะ
เอิร์ท : เสน่ห์ของเรื่องนี้ผมรู้สึกว่าตัวละครแต่ละคน เขามีที่มาที่ไปกันหมด แล้วก็เล่าเรื่องแต่ละคนได้ชัดเจน น่าสนใจ เสน่ห์ของเขาคือคนกลางคืน คนในหมู่บ้าน คนในละแวกแถวๆ ร้านลุงจิม มันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ที่เราสามารถเห็นได้ตามคนข้างๆ หรือว่าคนรอบตัวเรา มันเกิดขึ้นจริงมากๆ ผมว่าเรื่องนี้ทุกคนน่าจะเข้าถึงได้ง่ายครับ น่าสนใจ
บรรยากาศการทำงานในกองถ่าย
เอิร์ท : ดีครับ ดีมากเลยครับ พูดถึงโฟร์ทกับเจมมีไนน์ก่อน น้องเป็นนักแสดงหน้าใหม่ เป็นนักแสดงที่เข้าใหม่ เขามีของมาก สายตา อินเนอร์เขามาเต็ม บางทีเป็นนักแสดงเด็กๆ เขาจะมีประหม่า กับการเล่นกับรุ่นพี่แต่ว่าอันนี้เขาไม่มีเลย เขาสามารถต่อบทฉับๆ ได้เลย อารมณ์มาเต็ม ผมว่านับถือใจน้องโฟร์ทจริงๆ ส่วนเจมมีไนน์ต้องรับบทผู้พิการทางการได้ยินแบบนี้ เขาก็ต้องไปเรียนภาษามือเพิ่ม ซึ่งผมว่ามันยากนะ การที่จะสมมติคิดเป็นคำแล้วก็ใช้มือไปด้วย ต้องใช้ความจำมาก ผมรู้สึกว่าเจมมีไนน์เขาเคารพในคนพิการในการได้ยิน เขาเคารพมาก เขาเข้าใจจริงๆ และอยากนำเสนอว่าคนพิการทางการได้ยินรู้สึกอย่างไร แล้วก็ต้องการความรักอย่างไร
มิกซ์ : โฟร์ทควรเป็นเด็กที่เป็นนักแสดงจริงๆ แววตาเขานักแสดงมาก แววตาเขามีความดื้อ ความใส และสื่อสารอารมณ์ได้ดีมาก จริงๆ แล้ว ผมได้เข้าซีนกับเขาน้อยมาก แต่ว่าพอผมได้ไปดูที่เขาเล่นกับพี่เอิร์ท หรือว่าจริงๆ แล้วซีนที่เล่นกับผมอะ เขาส่งมาดีมากเลยนะ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่สองของเขา พอในทุกพาร์ทคนที่มันมีของมันชัดมากเลย ส่วนเจมีไนน์ ความยากของตัวละครคือมันท้าทายนะ คนพูดปกติ พูดได้มาก่อนแล้ว คนที่ได้ยินทุกอย่างปกติ แต่ว่าวันหนึ่งเขาป่วยกลายเป็นผู้พิการทางการได้ยิน ความยากของมันคือการที่จะสื่อสารออกมา การสื่อสารที่ต้องใช้ภาษามือ มันยากมากที่จะแสดงทุกอย่างโดยไม่มีเสียง จากการใช้เสียงมาตลอดชีวิต มันเป็นบทที่ผมอยากเล่นมากเลยนะ จริงๆ นะ อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร มันคงจะยากมาก แล้วเขาทำออกมาได้ดีมากๆ ก็ต้องให้จริงๆ ส่วนเฟิร์ส ข้าวตัง จริงๆ แล้วผมเจอเขามาตั้งแต่นิทานพันดาวแล้ว ผมรู้ว่าความสามารถเขามันคือเบอร์ต้น เล่นเก่งจริงๆ นะ ข้าวตัง ต้องให้ แต่ว่าคนที่ผมเซอร์ไพรส์ คือเฟิร์ส ผมไม่เคยทำงานด้วย แต่ว่าผมเป็นเพื่อนเฟิร์ส แล้ววันหนึ่งได้ทำงานกันจริงๆ เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก เป็นคนที่มีความอ่อนไหว และที่สำคัญคือสองคนนี้เป็นเพื่อนที่ผมรักมาก ผมดีใจมากที่วันหนึ่งผมได้ทำงานกับเขา แล้วก็การทำงานครั้งนี้มันแฮปปี้มาก ทุกคนตั้งใจมาก รวมถึงมาร์ควิวด้วยนะ ทุกคนตั้งใจกับมันจริงๆ ขอบคุณที่ทำให้ผลงานเรื่องนี้มันออกมา ผมดีใจมากที่ผมได้มีส่วนร่วมส่วนหนึ่งในเรื่องนี้ครับ
วันไนท์สแตนด์ และฉาก NC
มิกซ์ : เปิดเรื่องมาใช่
เอิร์ท : อย่างแรกเลยคือมันเริ่มต้นด้วยวันไนท์สแตนด์ มันก็เลยไม่ผิดไม่แปลกที่จะเปิดด้วยเลิฟซีน เพราะว่าเลิฟซีนมันทำให้ตัวละครของเหวินกับลุงจิม มันมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะลึกซึ้ง แต่ว่าด้วยความลึกซึ้งมันมีความขัดแย้งอะไรบางอย่างที่ทำให้ 2 คนนี้ สามารถหรือไม่สามารถเดินไปต่อได้
มิกซ์ : ผมรู้สึกว่ามันเป็นการเสนอมุมมองอีกมุมมองหนึ่ง เป็นความรักอีกรูปแบบบหนึ่งที่มันเริ่มมาจากวันไนท์สแตนด์ คือปกติแล้วความรักที่เราเจอส่วนมากแล้วกันก็คือการเริ่มมาจากจีบ คุยกัน คบกัน อันนี้มันก็เป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จะผ่านการมีเซ็กส์ก่อน แล้วมันทำให้เราไปเรียนรู้ด้านอื่นของกัน เลยไปรับรู้ถึงความสัมพันธ์ ความรู้สึก ความเข้าใจกันมากกว่า
มิกซ์ : ผมไม่เขินเลยนะจริงๆ แล้ว
เอิร์ท : พยักหน้า เหมือนเราเล่นกันมาหลายเรื่องแล้ว ก็เลยแบบจะจูบก็จูบจริงๆ แล้วพี่ออฟอยากให้มีซีนกัดหู แล้วนอกนั้นเราก็เล่นโซโล่เองเลย อยากได้อะไรพี่ออฟก็คือให้เล่นเอง
เอิร์ท : เขาจะแพนกล้องตามเอง
มิกซ์ : เราอยากเล่นอะไร เราอยากทำอะไร อยากทำนั่นทำนี่ ทำไปเลย แล้วเดี๋ยวเขาแพนกล้องตามเอง
ร้านข้าวมันไก่จะพาไปเจอกับอะไร
เอิร์ท : พาไปเจอกับอะไร ผมรู้สึกว่าร้านข้าวมันไก่ของคุณจิมจะพาไปเจอสีสันของคนกลางคืน ความสุข ความเศร้า ความโศก ความยินดี ความไม่ยินดี ตัวละครทุกตัวมันมีที่มาที่ไป มันอยู่กันเป็นครอบครัว แต่เป็นครอบครัวที่ห่างๆ กัน แล้วพอมาเจอกันด้วยความคนละ Gen พอมาเจอกัน Topic คนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าสิ่งที่น่าสนใจคือนี่แหละหัวข้อที่จะเอามาคุยกัน ความสัมพันธ์ที่มันไม่ลงรอยกัน มันเลยทำให้เรื่องน่าสนใจ
มิกซ์ : มันทำให้เราเจอกับข้าวมันไก่ในรูปแบบต่างๆ แต่ละคนคือข้าวมันไก่คนละรสเลย อันนี้ข้าวมันไก่แบบใส่พริกเยอะ อีกอันหนึ่งก็ใส่ขิงเยอะ อีกอันหนึ่งมาแบบจืดๆ แต่ก็หวานกลมกล่อมครับ
สามารถติดตาม Moonlight Chicken พระจันทร์มันไก่ ได้ทาง Disney+ Hotstar ทุกวันพุธ – พฤหัส เวลา 6 โมงเย็น