ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือ “เอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็กทริค คัพ 2022” เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเป็นเกมนัดสำคัญของ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย เจ้าของแชมป์รายการนี้สูงสุด 6 สมัย ภายใต้การคุมทัพของ มาโน่ โพลกิ้ง กุนซือวัย 46 ปี ที่เตรียมนำลูกทีมบุกถิ่น “เสือเหลือง” มาเลเซีย ที่บูกิต จาลิล เตะนัดแรก วันที่ 7 มกราคม 2566 และนัดที่ 2 แข่งวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่สนามกีฬา ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต โดยทั้ง 2 นัด ถ่ายทอดสดทางช่อง MCOT HD30 และ T-Sports 7 เวลา 19.30 น.
คู่นี้เคยเจอกันมาทั้งหมด 113 นัด ปรากฏว่า มาเลเซีย ทำผลงานได้ดีกว่า ชนะ 43 นัด ส่วน ไทย ชนะ 35 นัด และเสมอกัน 35 นัด แต่ถ้าหากนับเฉพาะผลงานที่พบกัน 6 นัดหลังสุด ก็ยังเป็นมาเลเซียที่ดูจะเหนือกว่าอยู่พอสมควร เพราะพวกเขาไม่เคยแพ้ไทยเป็นเวลานานกว่า 9 ปีมาแล้ว แบ่งเป็นชนะ 4 นัด และเสมอกัน 2 นัด
ย้อนดูสถิติ 6 นัดหลังสุด มาเลเซีย vs ไทย
20 ธ.ค. 2014
อาเซียนคัพ รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2
มาเลเซีย ชนะ ไทย 3-2
1 ธ.ค. 2018
อาเซียนคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก
มาเลเซีย เสมอ ไทย 0-0
5 ธ.ค. 2018
อาเซียนคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2
ไทย เสมอ มาเลเซีย 2-2
14 พ.ย. 2019
ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย
มาเลเซีย ชนะ ไทย 2-1
15 มิ.ย. 2021
ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย
ไทย แพ้ มาเลเซีย 0-1
22 ก.ย. 2022
ฟุตบอลคิงส์คัพ 2022
ไทย เสมอ มาเลเซีย 1-1 (มาเลเซีย ชนะจุดโทษ 5-3)
ชัยชนะเหนือมาเลเซียครั้งสุดท้ายของทีมชาติไทย ต้องย้อนไปในยุคของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตเฮดโค้ชผู้สร้างปรากฏการณ์บอลไทยฟีเวอร์ ซึ่งเจ้าตัวเคยนำทัพช้างศึกเอาชนะเสือเหลือง 2-0 ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2014 รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก ที่ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม
นัดนั้นไทยได้ 2 ประตูจาก ชาริล ชัปปุยส์ และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ส่วนเกมนัดที่ 2 ไทยบุกไปแพ้มาเลเซีย 2-3 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม แต่รวมผล 2 นัด ไทยชนะมาเลเซีย 4-3 ทำให้ช้างศึกคว้าแชมป์อาเซียนเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี
หลายคนอาจมองว่าการไปเล่นที่บูกิต จาลิล เปรียบเสมือนอาถรรพ์ของทีมชาติไทย เพราะเป็นสนามที่ทีมชาติไทยไม่สามารถบุกมาเก็บชัยชนะได้เลยตลอดหลายปี โดยสนามแห่งนี้ถือเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในโลกอันดับที่ 8 สามารถจุแฟนบอลได้ทั้งหมด 87,411 คน (แต่เกมระหว่าง มาเลเซีย พบกับ ไทย จะมีแฟนบอลเข้าชมได้เพียง 59,000 คน เนื่องจากสนามมีการติดตั้งเวทีคอนเสิร์ต)
บูกิต จาลิล สร้างเสร็จเมื่อปี 1998 ปัจจุบันมีอายุ 24 ปี และเคยเป็นสนามที่ใช้ในการแข่งขันรายการสำคัญมากมายทั้งในระดับโลก และในทวีปเอเชีย ส่วนประเด็นที่แฟนบอลไทยตั้งคำถามกันมากมายเกี่ยวกับเรื่องหญ้าในสนาม ซึ่งเป็นหญ้าใบใหญ่ ทำให้นักเตะไทยเล่นยาก มีรายงานว่า มาเลเซีย มีแผนที่จะเปลี่ยนหญ้าในสนามให้เป็นหญ้าแบบเดียวกันกับสนามฟุตบอลระดับสากลในเร็วๆ นี้
ซิโก้ กุนซือคนสุดท้ายที่สามารถนำทีมชาติไทยชนะมาเลเซีย 2-0 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อปี 2014 ยอมรับว่า การบุกไปเอาชนะมาเลเซียที่บูกิต จาลิล ถือว่าเป็นอะไรที่ยาก แต่ถ้านักเตะมีประสบการณ์ สู้ด้วยระบบการเล่น ก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์ รับรองว่าตื่นเต้นแน่ เพราะต้องเจอกับแฟนบอลมาเลเซียเรือนแสนคน และส่งเสียงดังมาก ถ้าเราเล่นด้วยแท็กติกที่วางไว้ เชื่อว่าก็เอาอยู่ และเชื่อมั่นในแท็กติกของมาโน่ โพลกิ้ง
มาโน่ โพลกิ้ง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย กล่าวว่า เราได้เตรียมแผนที่จะเจอกับมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สถิติก็สามารถเปลี่ยนแปลง หรือถูกทำลายได้เสมอ เรามีเป้าหมายชัดเจน ว่าเราจะไปเพื่อเก็บสกอร์เกมแรกที่ดี เพื่อให้เรากลับมาได้เปรียบก่อน และการเจอกันในครั้งนี้จะแตกต่างจากคิงส์คัพ
ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีมชาติไทย เปิดใจว่า ไม่ค่อยมองเรื่องสถิติเท่าไร มันอยู่ที่ตัวเราและนักเตะทุกคนว่าจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน ไม่ได้เกี่ยวกับสถิติหรืออาถรรพ์ เป้าหมายคือทำให้ดีที่สุด เราก็หวังไปเก็บชัยชนะ ถ้าเราชนะเกมแรก และชนะเกมนอกบ้านได้ ก็จะทำให้นัดที่ 2 ในบ้านเล่นได้ง่ายขึ้น แต่เราก็จะไม่ประมาทมาเลเซีย
“ผมไม่ได้อวดเก่ง หรือทีมชาติไทยอวดเก่ง แต่ผมเชื่อว่าทีมชุดนี้ก็มีดี และสามารถเอาชนะพวกเขาได้ เพราะก่อนหน้านี้ไปให้สัมภาษณ์ว่าเจอใครก็ได้ ทุกทีมต้องหลบไทย คนก็คิดว่าผมอวดเก่ง แต่ผมมั่นใจในทีมของผม”
นับเป็นเวลานานกว่า 37 ปีมาแล้ว ที่ทีมชาติไทยไม่สามารถบุกไปเอาชนะมาเลเซีย โดยครั้งล่าสุดที่ทำได้ต้องย้อนไปไกลถึงปี 1986 ในศึกเมอร์เดก้า คัพ ซึ่งนัดนั้นไทยชนะมาเลเซีย 2-0
ไทยไม่เคยบุกชนะมาเลเซียเป็นเพราะอาถรรพ์จริงหรือไม่?
“โค้ชตุ้ม” รังสิวุฒิ ชโลปถัมภ์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย อดีตผู้ฝึกสอนทีมอาร์มี่ ยูไนเต็ด, บีอีซี เทโร เอฟซี และผู้บรรยายฟุตบอลชื่อดัง แสดงทรรศนะว่า เป็นเพราะรูปแบบหรือวิธีการเล่น ต้องยอมรับว่าไทยมีการเปลี่ยนระบบไปเยอะ เปลี่ยนโค้ชจากซิโก้จนมาถึงยุคมาโน่ โพลกิ้ง และอยู่ที่ฝีมือของโค้ชมากกว่าเรื่องอาถรรพ์
“เกมที่เราพบกับกัมพูชา เราจะเห็นว่ากัมพูชาเป็นฟุตบอลสมัยใหม่ กล้าเลี้ยงบอลกินตัว ส่วนไทยเป็นบอลโบราณ ไม่ใช่บอลสมัยใหม่ เน้นการเปิดบอล ขึ้นบอลที่คนคนเดียว เช่น เน้นให้ ธีราทร บุญมาทัน เป็นคนโยนบอลเข้าไปลุ้นประตู เหมือนสมัยก่อนที่เราเน้นให้ ดัสกร ทองเหลา เป็นคนพักบอล ขึ้นบอล ไม่มีบอลทะลุทะลวง หรือทำชิ่ง 1-2″
“ซิโก้ เป็นโค้ชที่เข้าใจในสรีระของคนไทย เน้นบอลทำชิ่ง 1-2 ใช้ความคล่องตัวของผู้เล่น ส่วนในปัจจุบันอาจพูดได้ว่าแฟนบอลไม่ค่อยปลื้มกับวิธีการเล่นเท่าไร เพราะเล่นไม่ไหลลื่น เป็นบอลที่ทุกคนต้องคอยเอาใจช่วยตลอดเวลา เกมกับมาเลเซียผมมองว่า 50:50 การที่มาเลเซียมีสถิติที่ดีกว่าไทยเป็นแรงบันดาลใจ และสร้างความมุ่งมั่นในการเล่นมากกว่าเดิม”
ขณะที่ คมกฤช นภาลัย หรือ อ๋อ วังโอ่ง อดีตผู้สื่อข่าวกีฬา นสพ.คมชัดลึก และผู้คร่ำหวอดในวงการฟุตบอลไทย บอกว่า ไม่ใช่เรื่องอาถรรพ์อะไร กีฬาคือกีฬา สถิติต่างๆ มีไว้ให้ทำลาย อาถรรพ์รอวันหมดไป เหมือนกับที่เรารอวันที่ไทยจะบุกชนะมาเลเซียได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพร้อม แท็กติก และข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในสนาม
ด้าน “เนม” รัชนิพงศ์ วรศะริน ผู้บรรยายฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ช่อง MCOT HD30 มองว่า มีหลายครั้งที่ทีมชาติไทยออกไปเยือนและต้องเจอกับทีมที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน เรามักจะชนะคู่แข่งได้ยากกว่าปกติ หรือไม่ได้ผลการแข่งขันที่ดีกลับมา ด้วยสาเหตุจากสภาพสนามที่ไม่คุ้นเคย บรรยากาศการเชียร์ หรือนักเตะแบกรับความกดดันได้ไม่ดีพอ
“มาเลเซียลงเล่นที่บูกิต จาลิล และพวกเขามีสถิติที่ดีกว่าไทย ทำให้นักเตะมีความมั่นใจ มีจิตใจฮึกเหิม เพราะคำว่าไทยยังไม่เคยชนะพวกเขาได้เลย ดังนั้นมาเลเซียก็ต้องการให้สถิติมันคงอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องสภาพจิตใจของผู้ถือครองสถิติมากกว่า“
“เชื่อว่าอาถรรพ์คงไม่เกี่ยว สถิติต่างๆ ทำให้มาเลเซียมีความมั่นใจก่อนลงสนาม และนักเตะมีความมั่นใจในตัวเองว่าจะสามารถเอาชนะทีมชาติไทยได้ ส่วนเรื่องหญ้าใบใหญ่ก็เป็นความคุ้นชินของพวกเขาเอง ผมเอาใจช่วย ใจอยากให้ชนะ แต่ยอมรับว่าโอกาสที่จะบุกไปชนะถึงถิ่น อาจจะยาก แต่ขอให้ได้สกอร์ที่ดี ได้อเวย์โกลกลับมา”
จากมุมมองของทั้ง โค้ชตุ้ม, อ๋อ วังโอ่ง และ เนม รัชนิพงศ์ อาจจะตกผลึกทางความคิดได้เบื้องต้นว่า คงไม่เกี่ยวกับอาถรรพ์แต่อย่างใด ผลการแข่งขันในสนามมันขึ้นอยู่กับความพร้อม สภาพจิตใจ บรรยากาศเสียงเชียร์ รวมทั้งรูปแบบหรือวิธีการเล่นมากกว่า
รอลุ้นกันว่าช้างศึกจะลบฝันร้าย และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ เมื่อไปเล่นที่ บูกิต จาลิล ได้หรือไม่?